1. ความปลอดภัยในการประกอบอาชีพ
เรื่องที่ 1.1. การตรวจสอบความปลอดภัย
ความปลอดภัยในประกอบอาชีพมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต เนื่องจากในบางอาชีพจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายและปัญหาสุขภาพ เช่น โรคที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อมจากที่ทำงาน โรคที่เกิดจากการทำงานเป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าอาชีพเกษตรกรรม ประมง ก่อสร้าง หรืออุตสาหกรรมต่างๆ จะมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในการประกอบอาชีพ เช่น อันตรายจากอุบัติเหตุขณะทำงาน อันตรายจากสารเคมี เป็นต้น ดั้งนั้น หากรู้แนวทางในการปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยในการประกอบอาชีพก็จะทำให้เราได้ดำเนินชีวิตอย่างปลอดภัย ความปลอดภัยในการทำงาน (ความปลอดภัยทั่วไป)
ความปลอดภัยในการทำงาน (ความปลอดภัยทั่วไป)
การพัฒนาทัศนคติและนิสัยในการทำงานด้วยความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในการประกอบอาชีพ ความปลอดภัยจึงนับได้ว่าเป็นหัวใจของการทำงาน ผู้ที่ปฏิบัติงานได้ดีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยอยู่เสมอ จากการสำรวจบุคคลที่ได้รับอันตรายจากการทำงานส่วนใหญ่มักขาดความเอาใจใส่ในเรื่องความปลอดภัย จึงก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายและชีวิตของตนเอง เพื่อนร่วมงานและทรัพย์สิน ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าใจ และปฏิบัติตามหลักความปลอดภัยโดยเคร่งครัด แล้วเราจะปลอดภัยจาก
อันตรายหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ
สาเหตุของอุบัติเหตุจากการทำงาน
” อุบัติเหตุ " หมายถึง สิ่งที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า ไม่ได้ควบคุมหรือไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นมาได้
อุบัติเหตุจากการทำงานเป็นเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด อันเป็นผลมาจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สาเหตุโดยทั่วไปของอุบัติเหตุอาจแบ่งได้ดังนี้
1.ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มักเกิดกับบุคคลที่เข้าทำงานใหม่ ๆ หรือเข้าทำงานกับเครื่องมือ เครื่องจักรใหม่ โดยที่ไม่ได้รับคำอธิบายถึงการปฏิบัติและการทำงานของเครื่องมือเครื่องจักรโดยละเอียดจึงมักจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อย ๆ การสอนเกี่ยวกับความปลอดภัยยังไม่ดีพอ กฎความปลอดภัยไม่มีผลบังคับใช้ ไม่ได้วางแผนงานความปลอดภัยไว้เป็นส่วนหนึ่งของงาน จุดอันตรายต่าง ๆ ไม่ได้ทำการแก้ไข อุปกรณ์ความปลอดภัยไม่ได้จัดให้ ขาดความรู้หรือไม่ได้ตระหนักในเรื่องความปลอดภัย
2. ความประมาท เกิดจากมีความเชื่อมั่นมากเกินไปเนื่องจากทำงานมานาน การละเลยไม่เอาใจใส่หรือมีทัศนคติผิด ๆในเรื่องความปลอดภัย เครื่องป้องกันอันตรายหรือเครื่องกั้นจัดไว้ให้ แต่ไม่ใช้หรือถอดออก ใช้เครื่องมือเครื่องใช้ไม่ถูกต้องกับลักษณะของงานที่ทำ ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องมือที่ถูกต้องให้เลือกใช้ได้เหมาะสมก็ตาม ยกของด้วยวิธีผิด ๆ จนน่าจะเกิดอันตราย อิริยาบถ ในการเคลื่อนไหวน่าจะเกิดอันตราย เช่น การเดิน การวิ่ง การกระโดด การก้าว การปีนป่าย การหยอกล้อ หรือล้อเล่นในระหว่างการทำงาน
3. สภาพร่างกายของบุคคล เมื่อยล้า เนื่องจากทำงานตลอดเวลาโดยไม่มีการหยุดพัก อ่อนเพลีย เนื่องจากไม่สบายเป็นไข้ แล้วเข้าทำงานหนัก หูหนวก สายตาไม่ดี โรคหัวใจ สภาพร่างกายไม่เหมาะกับงาน
4. สภาพจิตใจของบุคคล ขาดความความตั้งใจในการทำงาน ขากความสามารถในการควบคุมอารมณ์ในขณะทำงาน ตื่นเต้นง่าย ขวัญอ่อน ตกใจง่าย
5. อุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องจักร มีข้อบกพร่อง อาจเนื่องจากสาเหตุ เช่น ใช้เครื่องมือไม่ถูกขนาด ใช้เครื่องมือที่สึกหรอชำรุด ที่ งอ หัก ใช้เครื่องมือที่ปราศจากด้ามหรือที่จับที่เหมาะสม ไม่ใช้เครื่องป้องกันอันตราย จับตั้งงานไม่ได้ขนาด และไม่มั่นคง ละเลยต่อการบำรุงรักษา เช่น น้ำมันหล่อลื่นไม่เพียงพอ
6. สภาพของบริเวณปฏิบัติงานที่ไม่ปลอดภัย เช่น แสงสว่างไม่เพียงพอ เสียงดังมากเกินไป การระบายอากาศที่ไม่เหมาะสม ความสกปรก บริเวณที่คับแคบ มีสารเคมี และเชื้อเพลิง พื้นที่ลื่น เนื่องจากคราบน้ำมัน หลุมและสิ่งกีดขวางทางเดิน การสูญเสียเนื่องจากการเกิดอุบัติเหตุ การที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นแต่ละครั้งย่อมหมายถึงการสูญเสียเกิดขึ้นทุกครั้ง เช่น การสูญเสียเงิน สูญเสียเวลา อย่างไรก็ดี คงไม่มีผู้ใดปรารถนาจะให้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
1.การสูญเสียโดยตรง
ได้รับบาดเจ็บ พิการ หรือตาย และอาจทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายด้วย ทำให้อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ตลอดจนทรัพย์สินอื่น ๆชำรุดเสียหาย การสูญเสียที่คิดเป็นเงินที่นายจ้างหรือรัฐบาลต้องจ่ายโดยตรง ให้แก่ผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุจากการทำงาน เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินทดแทนที่ต้องจ่ายโดยรัฐหรือโรงงาน ค่าทำขวัญ
2. การสูญเสียโดยทางอ้อม
คือ การสูญเสียซึ่งมักจะคิดไม่ถึง หรือไม่ค่อยได้คิดว่าเป็นการสูญเสียเป็นลักษณะการสูญเสียที่แฝงอยู่ไม่ปรากฏเด่นชัด เช่น สูญเสียแรงงานของลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บ จะต้องใช้เวลาพักฟื้นจนกว่าจะหาย สูญเสียเวลาของลูกจ้างคนอื่น ๆ ซึ่งหยุดทำงานในขณะเกิดอุบัติเหตุด้วยเหตุผลต่อไปนี้ ความอยากรู้อยากเห็นเข้าไปมุงดู ซักถามเหตุการณ์ด้วยความเห็นใจลูกจ้างผู้บาดเจ็บ ตื่นเต้น หรือช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในการทำปฐมพยาบาลหรือนำส่งโรงพยาบาล สูญเสียเวลาของแพทย์หรือพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ในการปฐมพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเครื่องจักรกล เครื่องมือ ทำให้ปริมาณผลผลิตขาดหายไป ผลิตให้ผู้ใช้ไม่ทันเวลา เงินรางวัล โบนัสประจำปีลดน้อยลงไป สูญเสียผลกำไรส่วนหนึ่งไป เนื่องจากลูกจ้างบาดเจ็บและเครื่องจักรหยุดทำงาน ทำให้คนงานขวัญเสีย เกิดความกลัว ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
อันตรายจากสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
การทำงานในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น จะต้องสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันไป ทำให้แต่ละคนได้รับพิษภัย และการเกิดโรคอันเนื่องมาจากการทำงานแตกต่างกันไปตามสถานะภาพ ในหน้าที่การงานของแต่ละคน อันตรายจากสิ่งแวดล้อมในการทำงานพิจารณาได้ดังนี้
เสียงดัง คนทำงานโดยทั่วไปประมาณวันละ 8 ชั่วโมง จะรับระดับเสียงได้ไม่เกิน 90 เดซิเบล ถ้าดังเกินไปจะทำให้หูตึง และอาจหูหนวกได้
แสงสว่าง แสงสว่างมากเกินไป อาทิ เช่น จากเตาหลอม ไฟเชื่อม ทำให้ตาฝ้า ตามัว และอาจบอดได้
ความร้อน ถ้าไม่มีการป้องกันความร้อนที่ดีแล้วอาจได้รับอันตรายจากความร้อน เช่น ทำให้อ่อนเพลียไม่มีแรง หน้ามืดบ่อย ๆ และอาจเป็นลมสลบได้
ความกดดัน อากาศในบริเวณปฏิบัติงานที่มีความกดดันสูงกว่าปกติ จะทำให้เกิดอาการปวดหู อาจทำให้เยื่อหูฉีกขาด และทำให้หูหนวกในที่สุด
ความสั่นสะเทือน อาจทำให้ เนื้อเยื่ออ่อนของมือ เกิดอาการอักเสบลุกลามไปถึงกระดูกข้อมือ หรือทำให้กล้ามเนื้อมือเป็นอัมพาตหรือทำให้อวัยวะบางส่วนลีบได้
สารเคมี ฝุ่น ไอ ควัน ละอองแก๊ส ของสารพิษสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทางคือ
โดยการหายใจ สารเคมีเมื่อเข้าไปถึงปอดจะถูกดูดซึมอย่างเร็วทำให้เกิดโรคปอดได้
โดยการดูดซึมทางผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเป็นแผล เกิดอาการเป็นพิษต่อ ระบบหมุนเวียนโลหิตของร่างกาย
โดยการกินเข้าไป
สิ่งที่อาจก่อให้เกิดอันตราย
การปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับวัสดุบางชนิดอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ วัสดุเหล่านี้ได้แก่ วัสดุที่มีขอบแหลมคม วัสดุที่วางไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น ไม่มีสิ่งจับยึด แขวนไว้เหนือศีรษะโดยไม่มีเครื่องป้องกันอันตราย หรือวางไว้เกะกะบนพื้น วัสดุที่ติดไฟได้ง่าย เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง ขยะมูลฝอย สารเคมีที่เป็นพิษ วัสดุที่มีอุณหภูมิสูง เช่น โลหะที่เผาจนร้อนจัด น้ำร้อน ไอน้ำหรืออากาศที่มีความดันสูง เช่น หม้อไอน้ำ เครื่องปั้มลม สื่อไฟฟ้าที่ปราศจากฉนวนหุ้ม บันไดที่หัก หรือนั่งร้านที่ไม่แข็งแรงนั่นเอง
หลักความปลอดภัยในการทำงานโดยทั่วไป
* จะต้องยอมรับ และปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยของโรงงานโดยเคร่งครัด
* ใช้เครื่องมือให้ถูกวิธี ถูกขนาด และถูกกับงาน
* แต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบของโรงงาน และใช้เครื่องป้องกันอันตรายทุกครั้งที่ปฏิบัติงานที่กำหนดให้ใช้เครื่องป้องกัน
* หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ เครื่องมือหรือเครื่องจักรที่ชำรุดเสียหาย หรืออยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมต่อการใช้งาน
* เก็บรักษาอุปกรณ์ และเครื่องมือที่ใช้ในการทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ เมื่อนำไปใช้งานต้องเก็บไว้ให้ถูกจุดทุกครั้ง
* รักษาความสะอาดทางเดินในโรงงาน และติดป้ายแสดงให้ชัดเจนที่บริเวณปฏิบัติงานที่มีอันตราย
* รู้จักตำแหน่ง หรือที่ติดตั้งเครื่องดับเพลิงตลอดจนวิธีการใช้
* ปฏิบัติตามคำเตือนหรือเครื่องหมายแสดงอันตรายใด ๆ ภายในโรงงาน
* อย่าวิ่งหรือหยอกล้อกันในโรงงาน
* ในกรณีเกิดอุบัติเหตุให้รีบช่วยเหลือทันที
เรื่องที่ 1.2. การดูแลสถานที่ หลัก 5 ส. เพื่อความปลอดภัย
กิจกรรม 5 ส (อันได้แก่ สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ และสร้างนิสัย) ซึ่งเป็นที่รู้จักและนิยมแพร่หลายในกิจการธุรกิจอุตสาหกรรมในปัจจุบันนี้ มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่ “ความปลอดภัย” เป็นเรื่องที่มีมานานกว่า มีการบัญญัติในกฎหมายตั้งแต่ พ.ศ. 2512 แต่กิจกรรม 5 ส ก็สร้างความนิยมได้ในเวลาอันรวดเร็วและแพร่หลายมาก เนื่องจากเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว นำไปปฏิบัติแล้วเห็นผลทันตารวดเร็วกว่าการสร้างเสริมความปลอดภัยในที่ทำงาน
ตอนนี้จึงมีคนพูดกันแต่ 5 ส จนอาจลืมนึกถึงความปลอดภัยกันแล้ว ทั้งที่ทั้ง 2 เรื่องนี้ มีความเกี่ยวข้องกันมาก และอาจพูดได้ว่าเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ด้วยซํ้าไป
5 ส คืออะไร ?
5 ส เป็นคำไทย ซึ่งบริษัทปูนซีเมนต์แห่งประเทศไทยได้บัญญัติขึ้น โดยแปลจากความหมายของ 5S ในภาษาญี่ปุ่น ดังนี้
ความหมายของ 5S
สะสาง (SEIRI : เซริ)5 ส สู่ความปลอดภัย
คือ การแยกให้ชัดระหว่างของที่จำเป็นกับของที่ไม่จำเป็น ของที่ไม่จำเป็นให้ขจัดทิ้งไป
สะดวก (SEITON : เซตง)
คือ การจัดวางสิ่งของให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ ง่ายต่อการนำไปใช้ และเก็บคืนที่เดิม (หายก็รู้ อยู่ก็เห็น ดูแล้วเป็นระเบียบ)
สะอาด (SEISO : เซโซ)
คือ การทำความสะอาดโดยการปัด กวาด เช็ดถูสถานที่ อุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องจักรให้สะอาดน่าดูอยู่เป็นนิจ
สุขลักษณะ (SEIKETSU : เซเกทสึ)
คือ สภาพที่สะอาดหมดจด ถูกสุขลักษณะโดยการรักษาและปฏิบัติ 3 ส แรกให้คงสภาพหรือดีขึ้นอยู่เสมอ
สร้างนิสัย (SEITSUKE : ซิสึเกะ)
คือ การปฏิบัติตามระเบียบวินัยที่กำหนดขึ้นมา จนติดเป็นนิสัย
ความปลอดภัยเป็นอย่างไร ?
ความปลอดภัย (Safety) คือสภาพที่ไม่มีภัยหรืออันตราย ความปลอดภัยในการทำงานจึงหมายถึงการทำงานที่ไม่มีอันตรายไม่อยู่ในสภาพที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือไม่เป็นโรค แสดงว่า การทำงานอย่างปลอดภัย จะต้องไม่ก่อให้เกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดังต่อไปนี้
- การบาดเจ็บ พิการ หรือตาย
- การเจ็บป่วย หรือเป็นโรค
- ทรัพย์สินเสียหาย
- เสียเวลา
- ขบวนการผลิตหยุดชะงัก ไม่สม่ำเสมอ
- คนงานเสียขวัญและกำลังใจ
- กิจการเสียชื่อเสียง
ความปลอดภัยในการทำงานจะเกิดขึ้นได้เมื่อสภาพที่เป็นอันตราย หรือโอกาสเกิดอุบัติเหตุหมดไปโดยทั่วไปแล้ว เราจะต้องกำจัดที่สาเหตุมูลฐานของอุบัติเหตุ อันได้แก่ การกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Acts) และสภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Conditions)
5 ส สู่ความปลอดภัย
(1) 5 ส เป็นปัจจัยพื้นฐานในการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ
กิจกรรม 5 ส คือพื้นฐานของการบริหารการผลิตอย่างแท้จริง ถ้าเราแบ่งปัจจัยการผลิตทั้ง 3M คือ Man (คน), Material (วัสดุ) และ Machine (เครื่องจักร) ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นสิ่งมีชีวิต คือ คนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต คือ วัสดุและเครื่องจักรแล้ว จะเห็นว่าการผลิตที่มีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นเมื่อปัจจัยการผลิตทั้ง 2 กลุ่มได้รับการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพโดยมีกิจกรรม 5 ส เป็นพื้นฐานในการจัดการตามรูปที่ 1
(2) 5 ส เป็นปัจจัยพื้นฐานของการเพิ่มผลผลิต
เป้าหมายของการผลิตที่สำคัญที่สุดคือ “คุณภาพ” ในที่นี้หมายถึงคุณภาพของสินค้าหรือบริหารที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า โดยไม่มีของเสียเลย
เมื่อเราพิจารณาจากแบบจำลอง “บ้านแห่งการเพิ่มผลผลิต” (Productivity House) ตามรูปที่ 2 แล้ว จะเห็นว่ากิจกรรม 5 ส เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตโดยยึดคุณภาพเป็นเป้าหมายสูงสุด
(3) ความปลอดภัยก็เป็นปัจจัยพื้นฐานในการเพิ่มผลผลิต
การผลิตอย่างมีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขบวนการผลิตนั้นไม่มีความปลอดภัย อุบัติเหตุอันตรายที่แฝงอยู่ในสภาพแวดล้อมและการกระทำที่ไม่ปลอดภัยจะทำให้การผลิตสะดุดหยุดลง เป็นการเพิ่มต้นทุนค่าใช้จ่ายแก่เจ้าของกิจการ และก่อให้เกิดความสูญเสียต่างๆ มากมาย ตามรูปที่ 3 และ 4
กล่าวคือ – การผลิตที่มีประสิทธิภาพ คือการผลิตอย่างปลอดภัย
- ความปลอดภัยจะต้องสอดแทรกเข้าไปในทุกๆ
วิธีการปฏิบัติเพื่อที่จะได้มาซึ่งปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ
(4) การผลิตที่สมบูรณ์แบบ
กิจกรรม 5 ส จะเน้นถึงความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสถานที่ทำงานโดยผลที่ได้จะเป็นฐานนำไปสู่เป้าหมายการผลิตที่สมบูรณ์แบบ (Perfect Production) อันได้แก่ การผลิตที่
- ไม่มีอุบัติเหตุอันตราย (Zero Accident)
- ไม่มีของเสีย (Zero Defect)
- ไม่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพ (No Claim)
- มีสินค้าระหว่างผลิตจำนวนน้อยที่สุด (Least Work in Process)
- ประหยัดทรัพยากร ประหยัดพื้นที่ และประหยัดพลังงาน
- ขจัดปัญหาเครื่องเสียบ่อยๆ
- ลดเวลาในการตั้งเครื่องจักร และเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน
- สร้างคุณภาพของคนในองค์การ
- มุ่งสู่ “การควบคุมคุณภาพทั่วทั้งองค์การ” TQC : Total Quality Control)
- มุ่งสู่การเป็นโรงงานและสำนักงานระดับมาตรฐาน
(5) กิจกรรม 5 ส และความปลอดภัย : คนละเรื่องเดียวกัน ?
ส 3 ตัวแรก คือ สะสาง สะดวก สะอาด เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บและดูแลทำความสะอาดวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร สถานที่ โดยมีคำขวัญติดปากว่า “หายก็รู้ อยู่ก็เห็น ดูแล้วเป็นระเบียบ”
ส 2 ตัวหลัง คือ สุขลักษณะ และสร้างนิสัย จะเกี่ยวข้องกับคนที่ปฏิบัติตาม 3 ส แรกอย่างต่อเนื่องจนติดเป็นนิสัย และทำให้สถานที่ทำงานถูกสุขลักษณะ
ความปลอดภัยเป็นเรื่องที่ครอบคลุมกว้างขวางกว่ากิจกรรม 5 ส เพราะเกี่ยวข้องกับการกำจัดสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย (เช่น ความรกรุงรังไม่เป็นระเบียบของการจัดเก็บวัสดุสิ่งของ เครื่องจักรไม่มีอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนที่เคลื่อนไหว ระบบไฟฟ้าชำรุดบกพร่อง แสงสว่างไม่เพียงพอ เสียงดัง ฝุ่นละอองสารเคมีเป็นพิษ เป็นต้น) และการกำจัดการกระทำที่ไม่ปลอดภัย (เช่น ทัศนคติไม่ถูกต้อง ปฏิบัติงานโดยขาดความรู้ความชำนาญ ประมาท ละเลยกฎระเบียบ ฯลฯ)
ดังนั้น ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสถานที่ทำงาน (Good house Keeping and Layout) ในส่วนของการสร้างเสริมความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งมีคำขวัญในภาษาอังกฤษว่า
“Everything has its place” และ “Everything should be in place” (ของทุกอย่างต้องเก็บเข้าที่) กล่าวคือ วัสดุ สิ่งของ จะต้องจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ เครื่องจักรจะต้องออกแบบวางผังติดตั้ง อย่างเป็นสัดส่วนเหมาะสมกับขบวนการผลิต ซึ่งรวมถึงความสะอาดของสถานที่ทำงานด้วย เพราะความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสะอาดเป็นของคู่กัน ในส่วนนี้จึงตรงกับ สะสาง สะดวก และ สะอาด นั่นเอง
การกระทำที่ไม่ปลอดภัยอันเป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุ ต้องเริ่มจากการพัฒนาจิตสำนึกและสั่งสมทัศนคติที่ถูกต้องเพื่อจะได้ทำงานอย่างปลอดภัย นิสัยรักความสะอาด เป็นคนมีระเบียบวินัย จะแสดงถึงการเป็นผู้มีจิตสำนึกและทัศนคติที่ดีต่อความปลอดภัย เช่นเดียวกับการทำ 3 ส แรกอย่างต่อเนื่องจนเกิดสุขลักษณะและสร้างนิสัยขึ้นติดตัวผู้ทำนั่นเอง
(6) กิจกรรม 5 ส เป็นบันไดสู่ความปลอดภัย
สภาพที่ทำงานที่เป็นระเบียบมีความสะอาดเป็นสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและถูกสุขอนามัย เอื้ออำนวยให้เกิดบรรยากาศที่ดีเหมาะแก่การทำงาน มีความพร้อมต่อการเพิ่มผล ผลิตอย่างเต็มที่ ลองนึกถึงภาพที่ทำงานที่ไม่เป็นระเบียบ วัสดุสิ่งของวางเกะกะกระจัดกระจาย เครื่องจักรอุปกรณ์ติดตั้งไม่เป็นสัดส่วน กีดขวางทางเดิน พื้นที่ทำงานสกปรกรกรุงรังแล้ว โอกาส เกิดอุบัติเหตุจากการเดินชน หกล้ม หรือได้รับอันตรายต่างๆ ก็มีมากขึ้น บรรยากาศจะไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงาน ความกระตือรือร้น ความสดชื่นแจ่มใสลดน้อยลง สภาพที่เลวร้ายเช่นนี้จะมีความปลอดภัยได้อย่างไร
กิจกรรม 5 ส และความปลอดภัย สามารถปฏิบัติและดำเนินการควบคู่พร้อมกันไปได้โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการขจัดอุบัติและความไม่ปลอดภัยให้หมดสิ้นไป ดังตัวอย่าง
- สถานที่ทำงานที่ปราศจากสิ่งสกปรกหรือสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ สุขภาพอนามัย และความปลอดภัยจะอยู่ในระดับสูง
- พื้นโรงงานที่ปราศจากคราบนํ้ามันจะไม่ลื่น การหกล้มบาดเจ็บจะไม่เกิดขึ้น
- การจัดวางสิ่งของเป็นระเบียบ ไม่เกะกะกีดขวางทางเดิน จะไม่ทำให้เกิดการล้มหรือกลิ้งทับ การเดินชนมุมแหลมคมจนบาดเจ็บจะไม่เกิดขึ้น
- ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาวัสดุอุปกรณ์ เพราะหายก็รู้ อยู่ก็เห็น ไม่ทำให้อารมณ์เสีย อุบัติเหตุก็ไม่เกิด
- ของที่มีอันตราย มีป้ายแสดงอย่างชัดเจน การหยิบใช้จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ
- การใช้สีต่างๆ เป็นสัญลักษณ์แยกแยะท่อก๊าซ ส่วนเคลื่อนไหวของเครื่องจักร บริเวณอันตราย ฯลฯ จะช่วยลดความผิดพลาดและอุบัติเหตุได้
- ไม่มีสินค้าหรือวัตถุดิบวางปิดกั้นทางออกฉุกเฉิน เมื่อมีเหตุฉุกเฉินก็ใช้ทางออกได้ทันเหตุการณ์
- ไม่มีการเก็บวัสดุสิ่งของที่ไม่ต้องการหรือไม่จำเป็นมากเกินไป โดยเฉพาะสิ่งที่อาจก่อให้เกิดอัคคีภัยได้ง่าย เช่น นํ้ามัน สี ทินเนอร์
- ถังดับเพลิงติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่กำหนดไว้ (ที่ซึ่งเห็นได้ชัดเจนและหยิบใช้ได้สะดวก) เมื่อเกิดอัคคีภัย สามารถหยิบใช้ได้ทันที
- อื่นๆ อีกมากมาย
กิจกรรม 5 ส คือ สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ และสร้างนิสัย เป็นปัจจัยพื้นฐานของการสร้างเสริมความปลอดภัยในการทำงานและป้องกันอุบัติเหตุอันตราย ความสำเร็จ ในการบริหารการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยทั้งกิจกรรม 5 ส และความปลอดภัย โดยดำเนินการควบคู่พร้อมกันไป
หลัก 5 ส.เพื่อความปลอดภัย
1) สะสาง : เป็นการแยกของที่ใช้กับของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ออกจากกัน เมื่อแยกเรียบร้อยแล้ว ให้นำของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทิ้งไป โดยปฏิบัติดังนี้
-สำรวจของใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ และเอกสารในสถานที่ทำงาน
-แยกของที่ต้องใช้กับของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ออกจากกัน
-นำของที่ไม่จำเป็นต้อใช้ทิ้ง
2) สะดวก : เป็นการนำของที่จำเป็นต้องใช้มาจัดวางในที่ทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งาน โดยปฏิบัติดังนี้
-ศึกษาวิธีการเก็บ การจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ โดยคำนึงความปลอดภัยคุณภาพและประสิทธิภาพ
-กำหนดหรือเลือกจุดที่วางสิ่งของให้ชัดเจน โดยคำนึงความสะดวกและการใช้เนื้อที่
-ติดสัญลักษณ์หรือเขียนป้ายชื่อแสดงสถานที่วางและจัดเก็บสิ่งของเครื่องใช้ เพื่อความสะดวกในการหยิบเลือกใช้งาน
3) สะอาด : เป็นการเช็ด ถู ปัดกวาดสถานที่ทำงาน เครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ รวมถึงการตรวจสอบเพื่อขจัดสาเหตุของความไม่สะอาดนั้นๆ โดนปฏิบัติดังนี้
-ทำความสะอาดสถานที่ทำงาน รวมทั้งบริเวณรอบๆที่ทำงาน
-กำหนดแบ่งเขตพื้นที่การทำความสะอาด
-ขจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดความสกปรก เลอะเทอะ
-ตรวจเช็ค พร้อมทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้
4) สุขลักษณะ : เป็นการรักษาความสะอาดสถานที่ทำงานและการปฏิบัติตนให้ถูกสุขลักษณะ โดยปฏิบัติดังนี้
-ขจัดมลภาวะที่จะก่อให้เกิดอันตรายหรือปัญหาสุขภาพต่อร่างกายและจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน เช่น อากาศเป็นพิษ เสียงดัง แสงสว่างมากเกินไปเป็นต้น
-จัดสถานที่ทำงานให้เป็นระเบียบ สร้างบรรยากาศภายในที่ทำงานให้ร่มรื่น น่าทำงาน
-ผู้ปฏิบัติงานแต่งกายให้สะอาด ถูกระเบียบ
5) สร้างนิสัย : เป็นการฝึกฝนในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ได้ตกลงกันไว้ และมีวินัยในการทำงาน โดยปฏิบัติดังนี้
-ฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ ความเข้าใจต่อกฎระเบียบมาตรฐานการทำงาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัย และนำไปปฏิบัติจนเป็นนิสัย พร้อมทั้งการย้ำในเรื่องนี้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องเป็นประจำ
กิจกรรม
- ให้นักศึกษาศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องการดูแลสถานที่ หลัก 5 ส. เพื่อความปลอดภัย
และสรุปเป็นรายงานส่งครู ตามกำหนด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เรื่องที่ 1.3. สภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตราย
ภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
การเกิดอุบัติเหตุ อุบัติอภัยจากการประกอบอาชีพเป็นความไม่ปลอดภัยที่เกิดจากสถานการณ์เสี่ยงในการดำเนินชีวิตประจำวันซึ่งเราสามารถแก้ไขหรือหาวิธีป้องกันต่อสถานการณ์เสี่ยงนั้นๆได้ หากเรารู้สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ และช่วยกันขจัดสถานการณ์เสี่ยง ทำให้เกิดความปลอดภัยในการทำงาน การดำเนินชีวิตต่อตนเองและบุคคลอื่นๆในสังคม
สภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการประกอบอาชีพ
ความเสี่ยง หมายถึง ความน่าจะเป็นของการเจ็บป่วย การบาดเจ็บหรือการสูญเสียโดยคำนวณค่าความเสี่ยงได้จากความน่าจะเป็น หรือโอกาสของการเกิดเหตุการณ์นั้นคูณกับความรุนแรงของผลจากเหตุการณ์ดั่งกล่าว
ดังนั้นความเสี่ยงจึงหมายถึงผลลัพธ์ของความน่าจะเกิดอันตรายและผลจากอันตรายนั้นๆ
การคำนวณค่าความเสี่ยง ต้องทราบเกี่ยวกับ
1.ค่าโอกาสเสี่ยงของการเกิดเหตุการณ์ ซึ่งก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรือค่าความน่าจะเป็นโดยสามารถแบ่งโอกาสเสี่ยงออกเป็น เกิดบ่อยครั้ง เกิดบางครั้ง เกิดนานๆครั้ง และไม่เคยเกิด หรืออาจแบ่งค่าโอกาสเสี่ยงหรือค่าความน่าจะเป็นออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1=0.25 ระดับที่ 2=0.50 ระดับที่ 3=0.75 ระดับที่ 4=1.00
2.ค่าความรุนแรง มีการวัดออกมาเป็นจำนวนคนที่คาดว่าอาจได้รับการบาตรเจ็บจากเหตุการณ์นั้น โดยแบ่งระดับความรุนแรงออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับ 1 ถึง 4
ในการประกอบอาชีพ ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่บุคคลต้องการ นั่นคือ การที่อุบัติเหตุเป็นศูนย์ เพราะจะทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีผลผลิตสูง ดังนั้นการวิเคราะห์สถานการณ์เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อหาทางกำจัดหรือลดสถานการณ์เสี่ยงก่อนเกิดอุบัติเหตุและความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมมีความเสี่ยงสูงมากกว่ากรณีอื่นๆ
สถานการณ์เสี่ยง
สถานการณ์เสี่ยง คือสภาพของงานที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดอุบัติเหตุ ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต ดังตัวอย่างสถานการณ์เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการประกอบอาชีพ ดังนี้
1.ใช้เครื่องจักรที่ไม่มีอุปกรณ์ความปลอดภัย
2.การแต่งกายของคนงานไม่เหมาะสมกับลักษณะของงานที่ปฏิบัติ
3.ขาดอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล หรือพนักงานไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกัน เนื่องจากไม่ถนัดไม่สะดวกหรือไม่เคยชิน
4.การระบายอากาศไม่ดีพอหรือขาดการระบายอากาศ
5.ระบบความปลอดภัยไม่มีประสิทธิภาพ
6.ขาดการบำรุงรักษาเครื่องจักร ทำให้เสื่อมสภาพ ไม่พร้อมใช้งาน หรือชำรุดแล้วยังไม่ได้ซ่อมแซม
7.การจัดเก็บสารที่เป็นอันตรายไม่ถูกต้อง ไม่ถูกที่
8. มีเสียงดังเกินมาตรฐาน
9.แสงสว่างไม่เพียงพอ
10.ฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน
1.2 การประเมินความเสี่ยง
การประเมินความเสี่ยง เป็นเครื่องมือในระบบความปลอดภัย ที่จะบ่งชี้ถึงอันตรายต่างๆเพื่อจักทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยง โดยใช้แบบตรวจสอบ เพื่อหาแนวโน้มอันตรายในการทำงานและอุปกรณ์การทำงาน
การประเมินความเสี่ยง ควรทำการวิเคราะห์สถานการณ์เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การวิเคราะห์ความเสี่ยงของอุบัติเหตุ โดยการวิเคราะห์สถานการณ์เสี่ยงเป็นการตรวจสอบสถานการณ์เสี่ยงของอุบัติเหตุในชุมชน ว่ามีปัญหาอุบัติเหตุด้านใดที่ยังไม่ดำเนินการแก้ไข และมีความเป็นไปได้ในกี่จัดทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาหรือไม่ ต้องใช้ทรัพยากรมากน้อยเพียงใด แล้วนำมากำหนดเป็นแผนปฏิบัติการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
1.การสำรวจสถานการณ์เสี่ยง
2. การประเมินปัญหา นโยบาย และทรัพยากรของชุมชน
- เพื่อประเมินปัญหาอุบัติเหตุ และเก็บรวบรวมข้อมูล
- เพื่อประเมินนโยบายและกฎหมาย เพื่อทบทวนการวิเคราะห์อุบัติเหตุ
3. ศึกษาข้อมูลสถิติการเกิดอุบัติเหตุโดยแยกอุบัติเหตุ เช่น การจัดอุบัติเหตุจากการล้มในพื้นระดับราบ การชนกระแทกวัสดุแล้วล้ม การบาดเจ็บจากการถูกกระแทกให้อยู่ในอุบัติเหตุประเภทเดียวกัน เป็นต้น
4. ศึกษาสถานที่ที่เกิดการบาดเจ็บ เช่น อาคารโรงงาน ห้องโถง ห้องเครื่อง เป็นต้น
5. ประเมินสรุปความเสี่ยง สถานการณ์เสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุ พร้อมเสนอแนวทางป้องกันแก้ไขอุบัติเหตุนั้นๆ
2. การป้องกันแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจากการประกอบอาชีพ
อุบัติเหตุ (Accident) เป็นเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีแผนไว้ล่วงหน้าหรือไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดขึ้น หรือขาดการควบคุม แต่เมื่อเกิดแล้ว ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างรวมกัน ทั้งต่อคน ทรัพย์สิน หรือสภาพแวดล้อม เช่น การเสียชีวิต การบาตเจ็บ การเจ็บป่วย ความเสียหายต่อทรัพย์สิน ผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม และต่อสาธารณชน เป็นต้น
เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ (Near miss) เป็นเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า ไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดขึ้น แต่ผลของเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดความสูญเสีย เพียงแต่ทำให้ตกใจหรือหวาดเสียว
อุบัติการณ์ (Incident) คือเหตุการณ์ที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดแล้วอาจทำให้เกิดความสูญเสีย หมายรวมถึง เหตุการณ์ที่เป็นทั้งอุบัติเหตุและเหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ
2.1 อุบัติเหตุจากการทำงาน
อุบัติเหตุจากการทำงาน (Occupational Accidents) เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในขณะทำงานทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งอุบัติเหตุส่วนใหญ่มีสาเหตุดังนี้
1.การกระทำที่ไม่ปลอดภัย เช่น ไม่ปฏิบัติตามกฏความปลอดภัยในการทำงาน ไม่สวมอุปกรณ์ป้องกันอันตราย เช่น หน้ากากนิรภัย ถุงมือป้องกันสารละลาย ที่อุหู ที่ครอบหูเพื่อป้องกันเสียง แว่นกรองแสง หมวกแข็ง ตาข่ายครอบผม รองเท้ายาง เป็นต้น สวมใส่เครื่องแต่งกายไม่เหมาะสม ทำการถอดอุปกรณ์ความปลอดภัยออก การหยอกล้อกันขณะทำงาน เป็นต้น
2.สภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย
1. ลักษณะงานที่ไม่ปลอดภัย ได้แก่ งานก่อสร้างอาคาร ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการพลัดตกจากที่สูง วัสดุตกใส่ การพังของนั่งร้าน เป็นต้น และงานในโรงงานอุตสาหกรรม มีโอกาสเสี่ยงต่อสารพิษจากวัตถุดิบ เครื่องจักร เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมในการทำงานไม่ปลอดภัย เช่น แสงที่จ้าหรือมัวเกินไป เสียงดังมากเกินไป ฝุ่น ควันมาก มีความสั่นสะเทือน สภาพเครื่องจักรที่เก่าและขาดการบำรุงรักษา เป็นต้น
2.2 แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ อุบัติภัยจากการประกอบอาชีพ
1. เปิดโอกาสให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังอุบัติเหตุและตรวจสอบระบบการป้องกันอุบัติเหตุในโรงงานอุตสาหกรรม
2. โรงงานอุตสาหกรรมได้สร้างอาคารถูกต้องตามหลักวิศวกรรม รวมถึงมีการออกแบบและติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยอย่างเหมาะสม
3. มีการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย กฎระเบียบและหลักความปลอดภัยในการทำงาน
4. รณรงค์ให้นายจ้างและลูกจ้างในสถานประกอบการ ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันอุบัติเหตุ ให้มีความรู้และมีทักษะในการป้องกันอุบัติเหตุ อุบัติภัย และโรคที่เกิดจากการทำงาน
5. เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ดูแลความปลอดภัยให้คำปรึกษากับนายจ้าง ตรวจตราสถานการณ์และความเสี่ยงในการทำงาน และแนะนำลูกจ้างและแนะนำลูกจ้างในการดูแลตนเองขณะทำงานไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหรือป้องกันไม่ให้เป็นโรคจากการทำงาน
6. มีการดำเนินงานตามมาตรฐานสากลทางด้านความปลอดภัย อนุกรมมาตรฐานคุณภาพ (ISO 9000) อนุกรมมาตรฐานการจัดการระบบอาชีวอนามัยความปลอดภัย (มอก. 18000)
กฎ 10 ประการเพื่อความปลอดภัยในการประกอบอาชีพ
1.ปฏิบัติตามกฎ ข้อบังคับในการทำงานหรือระเบียบของสถานประกอบการอย่างเคร่งครัด
2.เชื่อฟังคำแนะนำ คำสอนและนโยบายความปลอดภัย
3.ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์อย่างถูกต้องและถูกวิธี
4.สวมเครื่องป้องกันอันตรายส่วนบุคคลในขณะปฏิบัติงาน และดูแลบำรุงรักษาอุปกรณ์นั้นๆ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา
5.ดูแลรักษาเครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยปลอดภัย
6.ห้ามหยอกล้อหรือเล่นกันในขณะทำงาน
7.รายงานสภาพที่ไม่ปลอดภัยในโรงงานทันทีเมื่อพบเห็น
8.รายงานการบาดเจ็บทั้งหมดที่เกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ควรแจ้งให้ทราบด้วย
9.รักษาความสะอาดและส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงาน
10.การยกของหนักควรมีคนช่วยและยกให้ถูกวิธี