ขั้นตอนการทำผ้าหม้อห้อม
วัตถุดิบในการทำผ้าหม้อห้อม
1. สีคราม หรือ หัวคราม ทำจากต้นครามหรือต้นห้อม มีวิธีทำดังนี้
1.1ตัดต้นคราม มาทำเป็นมัดๆมาแช่น้ำเปล่าให้ท่วม ทิ้ง ไว้ 1คืน
ตัดทำเป็นมัดๆ แช่น้ำ
แช่ทิ้งไว้ 2 คืน
1.2 หลังจากแช่ได้สองคืน นำเศษกิ่งและใบออก นำปูนขาวเข้าผสม แล้วตีฟองไปเรื่อยๆ จนฟอง เป็นสีน้ำเงิน แล้วจึงทิ้งให้เนื้อครามตกตะกอน กรองเอาตะกอนเก็บไว้เป็นหัวคราม ใช้ในการย้อมผ้า
รูปที่ 13 การกรองเอาเนื้อคราม
ที่มา : https://www.google.com/search?q=%
2. ผ้าฝ้ายทอมือ หรือ ผ้าดิบ สำหรับตัดเย็บเสื้อผ้าแล้วนำไปย้อมหม้อห้อม
รูปที่ 14 ผ้าฝ้าย,ผ้าดิบ ที่มา : https://www.google.com/search?q=%
3. น้ำด่างจากขี้เถ้า และปูนขาว
รูปที่ 15 ปูนขาว ที่มา : https://www.google.com/search?q=%
รูปที่ 16 กรองเอาน้ำด่างจากขี้เถ้า
ที่มา : https://www.google.com/search?q=%ขั้นตอนการทำเสื้อผ้าหม้อห้อม
1.นำผ้าฝ้ายสีขาว ( ผ้าดิบ) ตัดเย็บตามแบบที่ต้องการให้เรียบร้อย หรือ อาจตัดผ้าเป็นผืนก็ได้จากนั้น นำไปแช่ในโอ่งหรือถังน้ำสะอาดธรรมดา เพื่อให้แป้งที่ติดมากับเนื้อผ้าหลุดออกหมด จากนั้นนำผ้ามาตากแดดให้แห้งหมาด ๆ
2.นำผ้าดิบมาใส่ตะกร้า นำตะกร้าจุ่มลงในโอ่งที่บรรจุสีย้อมที่เตรียมไว้แล้ว สวมถุงมือยางขยำผ้า เพื่อทำให้สีของเนื้อผ้าสม่ำเสมอ จากนั้นนำผ้าที่ขยำเสร็จ มาผึ่งแดดไว้จนหมาด นำมาทำซ้ำอย่างเดิมอีกประมาณ 5 ครั้ง จนสีผ้าเป็นสีครามเข้ม สีครามที่ย้อมจะติดผ้าทั่วผืน สีเสมอกัน และสีที่ย้อมจะติดทนนาน
3. เมื่อผ้าที่ผ่านกระบวนการย้อมเย็นไปแล้วแห้งหมาดๆ ก็นำผ้ามาผ่านกระบวนการย้อมร้อน
(การเอาผ้าไปต้ม)ใส่ผ้าลงในกระทะจำนวนพอประมาณ แล้วใช้ไม้พาย คนให้ผ้าเข้ากับน้ำประมาณ 15-20 นาที จากนั้นจึงนำผ้าไปผึ่งแดดให้แห้งหมาดๆ
4.นำผ้าที่แห้งหมาดๆ มาพรมน้ำให้ทั่ว แล้วมาทำกระบวนการรีดด้วยเตารีดแบบถ่าน และให้ได้ความร้อนคงที่
ขั้นตอนการทอผ้า
1. ทำการสืบเส้นด้ายยืนเข้ากับแกนม้วนด้ายยืน แล้วร้อยปลายด้ายแต่ละเส้นเข้าในตะกอแต่ละชุด
2. นำเส้นด้ายยืนสอดเข้าไปในฟันหวีหรือฟืมแต่ละช่อง ฯ เรียงลำดับตามความกว้างของหน้าผ้า แล้วจัดเส้นยืนให้อยู่ห่างกันตามความละเอียดของผ้าฝ้าย
3. ต้องดึงปลายเส้นด้ายยืนทั้งหมดให้ม้วนเข้ากับแกนม้วนผ้าอีกด้านหนึ่ง พร้อมกับปรับความตึงและหย่อนให้พอเหมาะ แล้วก็กรอเส้นด้ายเข้ากระสวยเพื่อใช้เป็นด้ายสำหรับ “พุ่ง”
4. เมื่อเตรียมความพร้อมให้กับกี่กระตุกตามข้อ 1, 2 และ 3 แล้วจะเริ่มเข้าสู่การทอผ้าฝ้าย
5. เริ่มการทอโดยกดเครื่องแยกหมู่ตะกอ เส้นด้ายยืนชุดที่ 1 จะถูกแยก ออกและเกิดช่องว่าง ให้สอดกระสวยด้ายพุ่งผ่านสลับตะกอชุดที่ 1 ยกตะกอชุดที่ 2 แล้วสอดกระสวยด้ายพุ่งกลับทำสลับกันไปเรื่อย ๆ
6. การกระทบฟันหวี (ฟืม) เมื่อสอดกระสวยด้ายพุ่งกลับก็จะกระทบฟันหวี เพื่อให้ด้ายพุ่งแนบติดกัน ได้เนื้อผ้าที่แน่นหนา
7. การเก็บหรือม้วนผ้า เมื่อทอผ้าได้พอประมาณแล้วก็จะม้วนเก็บในแกนม้วนผ้า โดยผ่อนแกนด้ายยืนให้คลายออกและปรับความตึงหย่อนใหม่ให้พอเหมาะ
ขั้นตอนการทำหม้อห้อม
กระบวนการเรียนรู้ ขั้นตอนการผลิตหม้อห้อมแบบดั้งเดิม
กลุ่มชาวไทยพวนเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานจนเป็นกลุ่มชนที่ได้รับการยอมรับในความเป็นคนไทยแล้วก็ตาม แต่การทำผ้าหม้อห้อมแบบดั้งเดิมยังคงเหลือสืบทอดอยู่ที่บ้านทุ่งโฮ้งในปัจจุบันโดยมีวัตถุดิบ วัสดุอุปกรณ์และกรรมวิธีในการผลิตที่สำคัญ ดังนี้
วัตถุดิบที่ใช้ การทำผ้าหม้อห้อมแบบดั้งเดิมต้องมีการจัดเตรียมวัตถุดิบที่จำเป็นให้พร้อม ประกอบด้วยต้นห้อมสำหรับทำสีย้อมผ้า ผ้าฝ้ายทอมือสีขาว น้ำด่างและแป้งมัน โดยมีขั้นตอนการจัดเตรียมวัตถุดิบ ดังนี้
การทำสีย้อมผ้าจากต้นห้อมขั้นตอนรายละเอียดตลอดจนเทคนิคในการทำอย่างละเอียดค่อนข้างเป็นความลับ โดยช่างย้อมผ้าจะนำลำต้นและใบของต้นห้อม ซึ่งต้องปลูกไว้เป็นจำนวนมากในที่ดอน เนื่องจากต้นห้อมจะเติบโตได้ดี มาผูกเป็นมัดแช่น้ำไว้ในโอ่งน้ำขนาดใหญ่ประมาณ 2 – 3 วัน กระทั่งต้นและใบห้อมเน่าจนได้น้ำที่มีสีกรมท่าเข้ม แล้วจึงนำน้ำนี้มาผสมกับปูนขาวตีจนเป็นฟองให้เข้ากันแล้วกรองน้ำออกจะได้สีย้อมผ้าเป็นผงละเอียดสีกรมท่า นำสีที่ได้ไปละลายในน้ำด่างที่ทำมาจากขี้เถ้าในโอ่งขนาดใหญ่ที่สามารถนำผ้าลงมาย้อมได้สะดวก สัดส่วนของสีต่อน้ำด่างขึ้นอยู่กับความต้องการความเข้มของสีผ้าของช่างย้อม แต่ส่วนใหญ่นิยมให้ผ้าเป็นสีกรมท่าเข้มและเมื่อสีย้อมเจือจางลงจะเดิมผงสีเพิ่ม
น้ำด่างจากขี้เถ้าใช้เป็นตัวละลายสีที่ได้จากต้นห้อม น้ำขี้เถ้าได้จากการนำขี้เถ้าถ่านมาละลายน้ำคนให้ทั่วแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้ตกตะกอน น้ำด่างที่นำมาใช้เป็นน้ำใสที่อยู่ตอนบน
แป้งมันใช้สำหรับการลงแป้งเนื้อผ้าหม้อห้อมที่จัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนจำหน่ายจะนำมารีดให้ผ้าเรียบดูสวยงามยิ่งขึ้น
รูปที่ 5 การย้อมผ้าหม้อห้อม แหล่งที่มา : หม้อห้อมสู่สากล, กศน.อำเภอเมืองแพร่ 2544
- โอ่งดินขนาดใหญ่สำหรับการแช่หมักทำสีจากต้นห้อมและเป็นโอ่งใส่น้ำสีสำหับการย้อมผ้า โอ่งนี้เตรียมไว้หลายใบเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ในการย้อมผ้าจำนวนมากๆ ทำให้ช่วยกันย้อมได้หลายคน
- ถังแช่ขี้เถ้าและหม้อน้ำด่าง ในอดีตใช้ปี๊บหรือหม้อดินในการแช่ขี้เถ้าปัจจุบันนิยมใช้ถังพลาสติกเนื่องจากคงทนและราคาถูก ส่วนหม้อน้ำด่างยังคงใช้โอ่งปากกว้างขนาดเล็ก
- ภาชนะสำหับบรรจุนำธรรมดา ส่วนใหญ่ใช้กะละมังขนาดใหญ่ เพื่อแช่เสื้อผ้าดิบที่ตัดเย็บแล้ว
- ตะกร้าห่าง เป็นตะกร้าทำจากไม้ไผ่ โดยสานห่างๆ ปากกว้างขนาดพอดีที่จะวางครอบปากโอ่ง ก้นสอบ ใช้สำหับใส่ผ้าที่จะย้อมแล้วแช่ส่วนก้นของตะกร้าลงในสีย้อม
- ถุงมือ เป็นเครื่องมือสมัยใหม่ที่ใช้สำหรับป้องกันสีย้อมไม่ให้ติดมือในอดีตผู้ที่มีอาชีพการทำผ้าหม้อห้อมจะมีมือสีดำติดสีห้อม เนื่องจากใช้มือล้วงผ้าจากหม้อย้อมโดยตรง
- ราวตากผ้า นิยมใช้ราวไม้ไผ่ซึ่งหาได้ง่าย จดทำเป็นหลายราวตั้งไว้ในที่แดดจัด ใช้ตากผ้าที่ผ่านการย้อมเสร็จเรียบร้อยแล้วให้แห้งสนิท
รูปที่ 6 การย้อมผ้าหม้อห้อมและการตัดเย็บ
แหล่งที่มา : หม้อห้อมสู่สากล, กศน.อำเภอเมืองแพร่ 2544
ความยุงยากของการทำเสื้อผ้าหม้อห้อมแบบดั้งเดิมอยู่ที่การจัดทำสีย้อมจากต้นห้อม แต่หลังจากที่มีการจักเตรียมสีย้อมที่ได้จากต้นห้อมไว้ในโอ่งเรียบร้อยแล้วขั้นตอนการย้อมผ้าหม้อห้อมอย่างง่ายๆ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ตัดเย็บผ้าทอหรือผ้าดิบให้เป็นเสื้อผ้าตามแบบและขนาดที่ต้องการให้เรียบร้อย จะได้เสื้อผ้าสีขาวไปแช่ในน้ำสะอาดธรรมดาทิ้งไว้เป็นเวลา 1 – 2 คืน เพื่อให้เนื้อผ้าดูดซึมได้ทั่วถึง แล้วนำผ้าขึ้นจากน้ำมาผึ่งให้หมาดพร้อมจะนำไปย้อม
ขั้นตอนที่ 2 นำตะกร้าห่างมาวางสวมปากโอ่งที่บรรจุสีย้อมที่เตรียมไว้แล้ว แล้วนำผ้าที่ผึ่งไว้จนหมาดใส่ลงในตะกร้าตาห่าง ครั้งล่ะ 1 ผืน
ขั้นตอนที่ 3 ช่างย้อมสวมถุงมือยางกดผ้าลงในตะกร้าตาห่างให้สีย้อม ท่วมผ้าทั้งหมด เพื่อให้เนื้อผ้าดูดซึมซับสีให้ได้มากที่สุด แล้วใช้มือขยำผ้าให้สีติดสีย้อมจนทั่วทั้งผืนขั้นตอนนี้ในอดีตช่างย้อมใช้มือเปล่าขยำให้สีติดมือจนดำ
ขั้นตอนที่ 4 นำผ้าที่ได้รับการขยำย้อมสีจนทั่วแล้วออกจากตะกร้าตาห่างนำไปผึ่งแดดที่ราวตากผ้าจนแห้ง แล้วย้อมซ้ำตามขั้นตอนที่ 3 และขั้นตอนที่ 4 อีกจำนวน 5 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสีห้อมที่ย้อมติดผ้าทั่วผืนและสีเสมอกันดีแล้ว การย้อมซ้ำหลายครั้งมีข้อดีอีกประการหนึ่งคือสีที่ย้อมจะติดทนนาน
รูปที่ 7 ผลิตภัณฑ์แปรรูปผ้าหม้อห้อม แหล่งที่มา : หม้อห้อมสู่สากล, กศน.อำเภอเมืองแพร่ 2544
ข้อสังเกต หม้อห้อมแท้แบบดั้งเดิม เสื้อผ้าหม้อห้อมที่ผ่านกรรมวิธีการย้อมโดยใช้สีจากต้นห้อมซึ่งเป็นสีธรรมชาติ ถือเป็นหม้อห้อมแท้ของเมืองแพร่ ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือเมื่อสวมใส่ไปนานๆ สีของเนื้อผ้าจะดูสวยงามขึ้น หม้อห้อมแท้เมื่อนำไปซักในครั้งแรกจะสีตก ผู้ซักควรเทน้ำทิ้งหลายๆ ครั้งจนเกิดสีตกจางลง และสีจะอยู่ตัวเมื่อผ่านการซักหลายครั้งเป็นที่น่าเสียดายว่าในปัจจุบันการย้อมผ้าหม้อห้อมแท้ในจังหวัดแพร่ได้ลดน้อยลง ทั้งนี้เนื่องจากความยากลำบากในการเตรียมสีย้อม ตลอดจนต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าการใช้ผ้าที่สั่งจากโรงงาน ประกอบกับผู้ใช้ต้องการเสื้อผ้าที่ราคาถูก ทำให้ผ้าหม้อห้อมแท้มีผู้ต้องการลดลง ถึงแม้ชาวบ้านทุ่งโฮ้งที่ประกอบอาชีพการทำเสื้อผ้าหม้อห้อมจะปรับเปลี่ยนผ้าที่เป็นวัตถุดิบในการตัดเย็บไปจากเดิม แต่ชาวแพร่ทั่วไปยังคงพยายามสนับสนุนและอนุรักษ์รูปแบบของเสื้อผ้าหม้อห้อมเมืองแพร่ แบบดั้งเดิมไว้เป็นอย่างดี และพยายามพัฒนารูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้เสื้อผ้าหม้อห้อมเข้ากับความนิยมของทุกยุคสมัย ซึ่งจะช่วยให้อาชีพการทำเสื้อผ้าหม้อห้อมของชาวแพร่คงอยู่คู่ เมืองแพร่ตลอดไป
แหล่งผลิตเสื้อผ้าหม้อห้อมเมืองแพร่ ปัจจุบันผ้าหม้อห้อมในเมืองแพร่ มีแหล่งผลิตที่สำคัญ 3 แหล่งใหญ่ ดังนี้
1. บ้านทุ่งโฮ้ง ตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่
2. บ้านเวียงทอง ตำบลเวียงทอง อำเภอสูงเม่น
3. บ้านพระหลวง ตำบลพระหลวง อำเภอสูงเม่น
ชื่อเสียงของผ้าหม้อห้อมเมืองแพร่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป และถ้ามีการพูดถึงเรื่องผ้าหม้อห้อมแท้ต้องเป็นผ้าหม้อห้อมจากเมืองแพร่เท่านั้น ซึ่งชาวเหนือในจังหวัดต่างๆ นิยมใช้กันมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
วิธีการทำห้อม
1.ตัดต้นห้อม นำใบ และต้นมามัดรวมกัน
2.นำห้อมที่มัดไว้ลงในโอ่งแล้วเทน้ำลงไปให้ท่วมห้อม ใช้ไม้ขัดปิดฝาหม้อไว้ไม่ให้ห้อมลอยขึ้นมา แช่ไว้ 1 คืน แล้วพลิกห้อมด้านบนลงล่างแช่ทิ้งไว้อีก 1 คืน จนต้นห้อมเน่าเปื่อย เมื่อฮ่อมส่งกลิ่นเหม็นให้เก็บเศษก้านห้อมทิ้งเหลือไว้แต่น้ำ
3.นำต้นห้อมชุดใหม่ลงแช่ในน้ำเดิมอีกครั้ง แช่ไว้ 1 คืน จากนั้นก็พลิกต้นห้อมแล้วทิ้งไว้อีก 1 คืน แล้วบีบน้ำออกจากต้นห้อมที่เปื่อย แล้วนำเศษก้านทิ้ง น้ำที่ได้จะมีสีน้ำเงินและกลิ่นเหม็น
4.ผสมปูนขาวที่ใช้ทานกับหมากและกวนให้เขากัน จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 2 – 3ชั่วโมง น้ำห้อมจะตกตะกอนให้เทน้ำใสๆทิ้งไป กรองเอาแค่ส่วนที่เป็นตะกอนเก็บไว้ทั้งเปียกๆ สามารถเก็บไว้ในโหลหรือกระป๋องปิดฝาให้มิดชิด เก็บไว้ใช้ได้หลายปี
5.นำตะกอนห้อมที่ได้มาผสมกับน้ำด่างที่ได้จากขี้เถ้าและปูนขาวในสัดส่วนที่พอดีแล้วคนให้เข้ากันจนเกิดฟอง ถ้าฟองยังไม่มีฟองก็เติมปูนขาวเข้าไปอีกจนกว่าจะเกิดฟองและน้ำมีสีเขียวเข้ม ทิ้งไว้ 1 คืน ก็สามารถนำมาย้อมผ้าได้ ซึ่งจะได้สีที่ติดทนทาน
การเตรียมผ้าสำหรับย้อม ก่อนจะนำผ้าไปย้อมห้อมนั้น จะต้องทำการกำจัดสิ่งสกปรก เช่นกาวหรือไขมันออกจากผ้าก่อน
1.นำผ้าไปแช่ในน้ำผงซักฟอกทิ้งไว้สักครู่
2.จากนั้นนำผ้าไปต้มที่อุณหภูมิ 60-70 องศาเซลเซียส ประมาณ 1 ชั่วโมง
3.หลังจากต้มเสร็จแล้วให้นำผ้าไปซักล้างด้วยน้ำสะอาดประมาณ 6 – 7 ครั้ง
4.นำผ้าไปตากไว้จนแห้ง
รูปที่ 8 การย้อมผ้าหม้อห้อมที่มา : https://www.google.com/search?q=%
อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตผ้าหม้อห้อม
1. โอ่งขนาดใหญ่ สำหรับก่อหม้อน้ำย้อม ควรเตรียมหลาย ๆใบ ขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิต
2. ถัง กรองน้ำด่าง ในสมัยก่อนนิยมใช้หม้อดิน หรือปิ๊บ ปัจจุบันนิยมชั้งพลาสติกเนื่องจากมีราคาและความคงทน ส่วนหม้อน้ำด่างยังคงใช้โอ่งเนื่องจากมีความคงทน
3. โอ่งแช่ผ้าดิบ ก่อนย้อม
4. ตะกร้าห่าง ทำจากไม้ไผ่สานห่างๆ ปากตะกร้ากว้างพอที่จะครอบปากโอ่ง ใช้สำหรับใส่ผ้าที่ย้อมลงในโอ่งย้อม เพื่อไม่ให้ผ้าที่ย้อมหล่นลงไปก้นโอ่ง
5. ถุงมือยาง สำหรับสวมย้อมผ้า
6. ราวตากผ้า นิยมใช้ไม้ไผ่ เพราะหาได้ง่าย และราคาถูก
ขั้นตอนการทำหม้อห้อม
1. นำผ้าทอ และผ้าดิบมาตัดตามรูปแบบ และขนาดที่ต้องการแล้วนำไปแช่ในน้ำสะอาด ทิ้งไว้ประมาณ 1 – 2 คืน แล้วล้างน้ำให้สะอาดนำผ้ามาผึ่งไว้ให้หมาดๆ เพื่อให้เนื้อผ้าดูดสีย้อมอย่างทั่วถึง
2. สวมถุงมือยาง นำตะกร้าสวมไว้ที่ปากโอ่งย้อม จึงนำผ้าที่หมาดแล้วลงย้อมในตะกร้าครั้งละประมาณ 5ผืน โดยขยำผ้าให้สีเข้าเนื้อผ้าจนทั่วผืนประมาณ 10นาที แล้วนำไปตากให้แห้ง แล้วนำกลับมาย้อมและตากอีกจนกว่าจะได้สีที่พอใจ
3. หลังจากการย้อมครั้งสุดท้ายแล้ว นำไปซัก - รีด และบรรจุถุง เพื่อจำหน่าย
การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการย้อมผ้าหม้อห้อม
อุปกรณ์การย้อมคราม
1. วัสดุอุปกรณ์ในการย้อม
วัสดุที่ใช้
1. เนื้อคราม หมายถึง ของแข็งผสมระหว่างปูนกับสีครามในรูปออกซิไดส์ (Indigo blue) สีน้ำเงินได้จากการตกตะกอนจากการกวนน้ำคราม
2. น้ำขี้เถ้า หมายถึง สารละลายจากขี้เถ้า เตรียมจากภาชนะเจาะรูด้านล่างและรองด้วยใยวัสดุเพื่อกรองขี้เถ้า บรรจุขี้เถ้าชื้นให้เต็มภาชนะแล้วกดขี้เถ้าให้แน่น เติมน้ำให้เต็มภาชนะและรองเอาน้ำขี้เถ้าครั้งที่ 1 เติมน้ำอีกเท่าเดิมแล้วกรอง รวมน้ำขี้เถ้าทั้ง 2 ครั้ง
3. ปูนขาว หมายถึง สารเคมีที่ได้จากการเผาหินปูนจนสุก ทิ้งให้เย็น โดยทั่วไปใช้กินกับหมากและแช่ผลไม้ เพื่อดองและแช่อิ่ม
อุปกรณ์ที่ใช้
1. หม้อดิน ใช้ในการแช่ครามและการย้อมคราม เลือกใช้โอ่งดินขนาดจุ 30 ลิตร เหตุที่เลือกหม้อดิน เนื่องจากน้ำย้อมที่เย็นกว่าจะติดสีได้ดีกว่า ในฤดูร้อนอุณหภูมิสูง การซึมของน้ำจากโอ่งดินจะทำให้น้ำย้อมเย็นกว่าบรรยากาศ หม้อครามจะดี รักษาสีย้อมไว้ได้นาน
2. เส้นฝ้าย เป็นฝ้ายที่ได้จากพืชที่เติบโตได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ตั้งแต่ดินทรายจนถึงดินเหนียวหรือดินที่มีความเป็นกรด-ด่าง ปานกลาง แต่ฝ้ายต้องการความชื้นในดินสูง โดยเฉพาะช่วงที่ออกดอกเป็นสมอ ดังนั้นดินที่อุ้มน้ำได้ดีจึงเหมาะสมมากกว่า นอกจากนี้ฝ้ายยังต้องการแสงแดดจัด ต้องการอุณหภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซียส นานกว่า 150 วัน แหล่งปลูกฝ้ายจึงอยู่ในเขตร้อน ฝ้ายให้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น เส้นใยของเมล็ดทำเครื่องนุ่งห่ม น้ำมันจากเมล็ดฝ้ายใช้บริโภคได้ ส่วนกากเมล็ดเป็นแหล่งโปรตีนในอาหารสัตว์ที่มีกระเพาะหมัก เช่น วัว ควาย
4. ขัน เพื่อช่วยในการโจกครามและตักน้ำคราม
5.ส้อมกวนคราม คือ อุปกรณ์ไม้ไผ่สารด้านหนึ่งของปลายไม้ไผ่จะถูกสานคล้ายกรวยโดยจะใช้สำหรับตีน้ำครามขณะที่เติมปูนขาว ในการทำเนื้อคราม
6. ตะแกรงกรองคราม คือ ตะแกรงลวดที่ใช้ร่อนแป้ง หรือตะแกรงที่มีรูขนาดใหญ่กว่าที่กรองแป้ง ใช้สำหรับกรองระหว่างน้ำแช่ครามแยกออกจากกากคราม
2. อุปกรณ์การย้อมสีด้วยสารเคมี
1.น้ำสะอาด 30 ลิตร
2. สารช่วยการย้อมสี (สบู่เทียม) 3 กรัม
3. สีแอสิค (ชนิดผง) 10 – 35 – 60 กรัม (ปริมาณที่ใช้ขึ้นอยู่กับระดับความเข้มของสีย้อมที่ต้องการ)
4. เกลือแกง 50 – 75 – 100 กรัม
5.กรดน้ำส้ม (เข้มข้น) 30 – 45 – 60 ซีซี
สีเคมีเป็นสีที่ที่มีความบริสุทธิ์ของตัวสีมาก สามารถนำสีเหล่านี้มาผสมเพื่อให้ได้สีที่ต้องการ และปรับระดับความเข้มของสีได้ วิธีการย้อมทำได้ง่ายและสะดวก สีที่ย้อมได้จะมีความสดสวยและมีความทนทานของสีดี สีเคมีที่นำมาย้อมเส้นไหมมีหลายประเภท ได้แก่ สีแอสิค (Acid Dyestuff) สีเมตัลคอมเพลกซ์ (Metal Complex Dyestuff) สีเบสิค (Basic Dyestrff) สีโครมอร์แดนท์ (Chrom Mordant Dyestuff) สีไดเร็กท์ (Direct Dyestuff) และสีรีแอ็คทีฟ (Reactive Dyestuff)
2.1 การย้อมสีเส้นไหมใช้สีย้อมประเภทสีแอสิค
สีแอสิคเป็นสีย้อมประเภทหนึ่งที่นิยมใช้ย้อมสีไหมและเส้นใยโปรตีนชนิดอื่น ๆ เป็นสีที่มีความสว่าง
สดใสมากและมีเฉดสีต่าง ๆ มากสามาระละลายตัวได้ง่ายและรวดเร็วในน้ำร้อน ดูดซึมติดเส้นใยได้ง่ายและรวดเร็ว มีคุณสมบัติคงทนต่อแสงแดด การขัดถูก เหงื่อ น้ำและการซักฟอกอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงดีมาก
อัตราส่วนสารที่ใช้ในการย้อมสีแอสิค (สำหรับเส้นไหมที่ฟอกแล้ว 1 กิโลกรัม
2.2 วิธีการเคมี
นำเส้นไหมที่ผ่านการฟอกกำจัดกาวและฟอกขาวมาแล้ว จำนวน 1 กิโลกรัม แบ่งเป็น 3 – 4 ส่วนใส่ห่วงฟอกย้อม นำเส้นไหมแช่น้ำให้เข็ดเส้นไหมเปียกอย่างสม่ำเสมอ ทำการบิดให้หมาด กระตุกเส้นไหมเพื่อให้เรียงตัว จัดแต่งไพเชือกรัดเข็ดเส้นไหมให้เรียบร้อย นำสีย้อมและสารช่วยย้อมสีต่างสัดส่วนที่กำหนดผสมลงในน้ำเดือด 1 ลิตร กวนให้ละลายผสมกันทำการต้มน้ำสะอาด 30 ลิตร ในถังย้อมให้เป็นน้ำอุ่น (อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส) เติมสารละลายย้อมไหมที่ผสมกันเรียบร้อยแล้วลงไปโดยให้ผ่านผ้ากรอง กวนผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน ใส่ตะแกรงรองก้นภาชนะให้เรียบร้อย จากนั้นจึงนำเข็ดไหมลงย้อมสีพร้อมๆ กัน ในน้ำย้อมที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ทำการกลับเข็ดเส้นไหมทั้งชุดตลอดเวลาเป็นระยะเวลาประมาณ 10 นาที นำเข็ดเส้นไหมทั้งชุดขึ้นพักในภาชนะที่สะอาดละลายเกลือในน้ำเย็นและเติมลงไปในถังย้อม คนให้ละลายทั่วกันใส่เข็ดไหมทั้งหมดลงย้อมต่อประมาณ 10 นาที ที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส และค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิน้ำย้อมจนถึง 90 องศาเซลเซียส ภายใน 20 – 25 นาที โดยทำการกลับเข็ดเส้นไหมทั้งชุดตลอดเวลา ย้อมเส้นไหมที่อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส เป็นเวลาประมาณ 20 นาทีหรือสังเกตว่าน้ำย้อมใสจางลงอย่างเห็นได้ชัด จึงนำเส้นไหมทั้งชุดขึ้นพักในภาชนะที่สะอาด ลดอุณหภูมิในถังย้อมลงเหลือประมาณ 80 องศาเซลเซียส โดยเติมน้ำเย็น 3 ลิตร และลดเชื้อเพลิง แบ่งกรดน้ำส้มออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเติมลงไปในน้ำย้อม คนให้ละลายทั่วกัน นำเข็ดไหมลงย้อมที่อุณหภูมิประมาณ 80 องศาเซลเซียส โดยกลับเข็ดไหมตลอดเวลา ประมาณ 5 นาที แล้วนำขึ้นพักในภาชนะที่สะอาดเติมกรดน้ำส้มส่วนที่เหลือลงในน้ำย้อมคนให้ทั่ว นำเส้นไหมมาย้อมต่ออีกประมาณ 5 นาที จากนั้นเร่งอุณหภูมิของน้ำย้อมให้สูงขึ้นถึง 90 องศาเซลเซียส ภายในระยะเวลาประมาณ 10 นาที ย้อมเส้นไหมที่อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส โดยกลับเส้นไหมเป็นช่วง ๆ ตลอดเวลาเป็นระยะเวลาประมาณ 20 นาทีหรือจนน้ำย้อมใสจางมากที่สุดนำเส้นไหมขึ้นมาบิดให้หมาดและนำไปซักล้างในน้ำเย็นสลับกับการบิดให้หมาด 3 – 4 ครั้งหรือจนกว่าน้ำที่ใช้ในการซักล้างจางใสที่สุดจากนั้นนำเส้นไหมทั้งชุดไปแช่ในสารละลายผลิตภัณฑ์สำหรับการผนึกสีย้อมที่อุณหภูมิประมาณ 40 – 50 องศาเซลเซียส โดยทำการกลับเข็ดไหมเป็นช่วง ๆ เป็นระยะเวลาประมาณ 15 – 20 นาที แล้วทำการบิดเข็ดเส้นไหมให้หมาดที่สุดนำเส้นไหมไปซักล้างในน้ำเย็น 2 – 3 ครั้ง สลับกับการบิดให้หมาดกระตุกเพื่อให้เส้นไหมเรียงตัวคืนสู่สภาพเดิมแล้วนำผึ่งให้แห้งด้วยลมในที่ร่ม
2.3 การผนึกสีย้อม
การผนึกสีย้อมเป็นขั้นตอนที่จำเป็นอย่างมากสำหรับการย้อมไหมโดยใช้สีย้อมประเภทสีแอสิค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย้อมสีระดับปานกลางและสีเข้ม
2.4 สูตรการเตรียมสารละลายผลิตภัณฑ์สำหรับผนึกสีย้อม
1.น้ำสะอาด 15 ลิตร
2. ผลิตภัณฑ์สำหรับผนึกสีย้อม 30 – 45 ซีซี
3. กรดน้ำส้ม (เข้มข้น) 10 ซีซี
หมายเหตุ :ในการย้อมสีเป็นสีอ่อนมาก ๆ ควรแบ่งสารละลายสีย้อมและเกลือออกเป็น 2 – 3 ส่วน ตามความเหมาะสม ด้วยวิธีการแยกใส่ลงไปใสน้ำย้อมและย้อมสีเป็นช่วง ๆ ที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ภายในระยะเวลา 10 นาที ตามที่กำหนด
2.5 การย้อมสีเส้นไหมโดยใช้สีย้อมประเภทสีเมตัลคอมเพลกซ์
สีเมตัลคอมเพลกซ์เป็นสีย้อมอีกประเภทหนึ่งซึ่งนิยมใช้ย้อมสีไหมและเส้นใยโปรตีนชนิดอื่น ๆ เป็นสีที่มีความสว่างสดใสค่อนข้างต่ำ และมีเฉดต่าง ๆ ให้เลือกใช้ประโยชน์ได้น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสีแอสิค มีคุณสมบัติเกี่ยวกับความคงทนต่อแสงแดด การขับถู เหงื่อ น้ำ และการซักฟอกอยู่ในเกณฑ์ดีจนถึงดีมาก
กรรมวิธีการย้อมจะคล้ายคลึงกันมากกับการย้อมสีประเภทสีแอสิคโดยย้อมในสภาวะเป็นกรด
อัตราส่วนสารที่ใช้ในการย้อมสีเมตัลคอมเพลกซ์ (สำหรับเส้นไหมที่ฟอกแล้ว 1 กิโลกรัม)
1. น้ำสะอาด 30 ลิตร
2. สารช่วยการย้อมสี (สบู่เทียม) 3 กรัม
3. สีเมตัลคอมเพลกซ์ 10 – 35 – 60 กรัม (ปริมาณที่ใช้ขึ้นอยู่กับระดับความเข้มของสีย้อมที่ต้องการ)
4. เกลือแกง 50 – 100 – 150 กรัม
5. กรดน้ำส้ม (เข้มข้น) 30 – 50 – 70 กรัม
วิธีการ
1. นำเส้นไหมที่ผ่านการฟอกกำจัดกาวและฟอกขาวมาแล้ว จำนวน 1 กิโลกรัม แบ่งออกเป็น 3 – 4 ส่วน ใส่ห่วงฟอกย้อม นำไปแช่ในน้ำให้เส้นไหมเปียกอย่างสม่ำเสมอ บิดให้หมาด และกระตุกให้เส้นไหมเรียงตัวขนานกันคืนสู่สภาพเดิม
2. ละลายสีย้อมและสารช่วยย้อมสีในน้ำเดือด 1 ลิต คนให้ละลายแล้วเติมโดยผ่านผ้ากรองลงไปในถังย้อมซึ่งมีน้ำสะอาด 30 ลิตร ที่ต้มไว้แล้วที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส คนให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกันแล้วใส่ตะแกรงรองก้นภาชนะให้เรียบร้อย
3. นำเข็ดเส้นไหมลงย้อมเป็นระยะเวลาประมาณ 10 นาที โดยทำการกลับเข็ดไหมตลอดเวลา จากนั้นนำขึ้นพักในภาชนะที่สะอาด เติมสารละลายเกลือแกงลงในถังย้อมโดยผ่านผ้ากรองและคนให้เป็นเนื้อเดียวกันนำเส้นไหมลงย้อมต่อที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส โดยกลับเข็ดไหมตลอดเวลาประมาณ 10 นาที หลักจากนั้นเร่งอุณหภูมิน้ำย้อมให้ค่อน ๆ สูงขึ้น จนอุณหภูมิน้ำย้อมสูงถึง 95 องศาเซลเซียส ภายใน 20 – 25 นาที โดยทำการกลับเข็ดเส้นไหมทั้งชุดตลอดเวลาและย้อมต่อไปโดยกลับเข็ดไหมเป็นช่วง ๆ อีกประมาณ 20 นาที หรือนายกว่าจนน้ำย้อมใสจางลงจึงนำเข็ดไหมทั้งชุดขึ้นพักในภาชนะที่สะอาด
4. ทำการลดอุณหภูมิน้ำย้อมโดยเติมน้ำเย็นลงไป 3 ลิตร และลดปริมาณเชื้อเพลิงจนเหลืออุณหภูมิน้ำย้อม 80 องศาเซลเซียส เติมกรดน้ำส้มเข้มข้นจำนวนครึ่งส่วนแรกและคนให้เข้ากันนำเข็ดไหมลงย้อมโดยกลับเข็ดไหมตลอดเวลา 5 นาที แล้วนำขึ้นพักในภาชนะที่สะอาด
5. นำกรดน้ำส้มเข้มข้นครึ่งส่วนที่เหลือลงเติมในน้ำย้อม คนให้เข้ากันแล้วนำเข็ดไหมลงย้อมต่อโดยกลับเข็ดไหมตลอดเวลาอีก 5 นาที ที่อุณหภูมิประมาณ 80 องศาเซลเซียส แล้วเร่งอุณหภูมิน้ำย้อมให้สูงขึ้นอย่างช้า ๆ จนถึง 95 องศาเซลเซียส ภายในเวลา 10 นาที โดยกลับเข็ดไหมขณะย้อมตลอดเวลา รักษาระดับอุณหภูมิน้ำย้อมและย้อมต่ออีกประมาณ 20 นาที หรือนานกว่าจนน้ำย้อมใสจางมากที่สุด
6. นำเข็ดไหมทั้งชุดขึ้นพักในภาชนะสะอาด บิดให้หมาดแล้วนำไปล้างในน้ำเย็น 3 –ครั้งสลับกับการบิดให้หมาดจนกว่าน้ำที่ใช้ล้างจะใสจาง แล้วนำไปล้างในน้ำอุ่นอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ประมาณ 5 นาที่ บิดให้หมาด แล้วล้างในน้ำเย็นอีก 1 – 2 ครั้ง บิดให้หมาด กระตุกเพื่อให้เส้นไหมเรียงตัวคืนสู่สภาพเดิม แล้วนำไปผึ่งตากให้แห้งในที่ร่ม
7. ในกรณีที่สีตกมาก ซึ่งสังเกตจากมีสีเจือปนในน้ำที่ใช้ทำการซักล้างมากผิดปกติ สามารถแก้ไขให้ดีขึ้น
1. ผ้ามัสลิน ผ้าป่าน ผ้าฝ้าย
2. กรอบไม้บาติก
3. เทียนขี้ผึ้งผสมพาราฟินสำเร็จ
4. ปากกาเดินเทียน (จันติ้ง) เลือกเบอร์0 หรือ เบอร์ 2
5. ลายผ้าบาติก ดินสอ 6 B
6. โซเดียมซิลิเกท ( เคลือบสี )
7. สีบาติก
8. แปรงทาสีขนาด 1 นิ้ว
9. เตาไฟฟ้า
10. หม้อเคลือบทนความร้อนสูง
11. หม้อต้มน้ำ
12. ไม้สำหรับคนผ้า
13. พู่กัน เบอร์ 4,6,12
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้มีดังนี้
3.1 ผ้าที่ใช้ทำผ้าบาติกควรเป็นผ้าที่ทอจากเส้นใยธรรมชาติและมีเนื้อบาง ในปัจจุบันนิยมใช้ทั้งผ้าชนิดเนื้อบางจนถึงเนื้อหนาขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ทำได้แก่ ผ้าซันฟอร์ไรด์ ผ้าลินิน ผ้าไหม ผ้าแพรเยื่อไม้ เป็นต้น
3.2 สีที่ใช้ในงานบาติกมีหลายชนิด ที่นิยมใช้ในปัจจุบันเป็นสีย้อมผ้าประเภทย้อมเย็นละลายน้ำได้และมองเห็นสีโดยตรง โดยมากมักจะอยู่ในกลุ่มสีรีแอคทีฟเนื่องจากใช้สะดวกและมีกระบวนการไม่ยุ่งยาก
3.3 เทียนที่ใช้เขียนผ้าประกอบด้วยขี้ผึ้งมากเทียนจะเหนียว ถ้าผสมพาราฟีนมากเทียนจะเปราะหรืออาจใช้เทียนผสมสำเร็จที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปก็ได้
3.4 ปากกาเขียนเทียน(JANTING)เป็นเครื่องมือสำหรับใช้เขียนลวดลายเทียนลงบนผ้า มีขนาดแตกต่างกันทั้งเส้นเล็กเส้นกลาง และเส้นใหญ่หรืออาจใช้แปรงทาเล็กเบอร์แบ่งเป็นซีกๆ จุ่มเทียนเขียนลายบนผ้าก็ได้ แต่วิธีนี้ใช้จะได้เส้นใหญ่ไม่สามารถเขียนลายที่ละเอียดได้ ที่นิยมใช้คือเบอร์ 2-3
3.5 กรอบไม้ เป็นกรอบไม้สี่เหลี่ยมมีหลายลักษณะใช้สำหรับขึงผ้าในเวลาเขียนผ้าในเวลาเขียนเทียน
3.6 พู่กัน พู่กันสำหรับระบายสีใช้ได้ทั้งชนิดกลมและชนิดแบนควรเตรียมไว้หลายขนาด
3.7 ภาชนะผสมสีอาจใช้ถ้วยพลาสติก ถ้วยแก้ว ถ้วยสแตนเลส แล้วแต่ต้องการและควรให้มีปริมาณเพียงพอที่จะใช้
3.8 โซเดียมซิลิเกรตใช้สำหรับทาบนผ้า เพื่อให้สีติดทนนาน ซึ่งควรผสมกับน้ำเพื่อให้ไม่หนืดเกินไปเวลาทา
อุปกรณ์การทำผ้าหม้อห้อมบาติก
พาราฟิน หรือ เคโรซีน เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมซึ่งกลั่นแยกออกจากน้ำมันดิบ จุดหลอมเหลวประมาณ 47–64 องศาเซลเซียส จุดเดือดประมาณ 150-275 องศาเซลเซียส ไม่ละลายในน้ำ สามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย และ มีหลายสถานะด้วยกันใช้สำหรับกั้นสีไม่ให้ซึมเข้าหากันโดยใช้ปากกาเขียนเทียนลากเส้นตามรูปภาพที่ต้องการ เทียนเขียนบาติกมี 2 ชนิด ด้วยกัน คือ
1. ชนิดที่ใช้พาราฟินกับยางสนและขี้ผึงแท้ผสมกัน ในอัตราส่วน 5 ต่อ 3 ต่อ 2 จะได้เทียนสำหรับเขียนผ้าบาติกที่มีคุณสมบัติเหนียว เส้นริมขอบของเส้นเทียนมีความคมเรียบ ลักษณะขาวขุ่นมีกลิ่นของยางสนและขี้ผึงหากดมดู ราคาค่อนข้างแพง
2. ชนิดที่ใช้พาราฟินกับขี้ผึ้งเทียม ผสมอัตราส่วน 3 ต่อ 2 ส่วน เส้นเทียนจะเปราะแตกหักง่าย หากอากาศมีความชื้นหรือมีฝนตก ในขณะเขียนจะทำให้สีกัดขอบเส้นเทียนทะลุผ่านเส้นเทียนและจะทำให้งานเสีย มีลักษณะขาวใสไม่มีกลิ่น ราคาถูก
พาราฟิน แว็กซ์พาราฟิน แว็กซ์ (Paraffin wax)คือ เป็นชื่อสามัญของแว็กซ์ที่เป็นสารประกอบประเภทไฮโดรคาร์บอน เป็นแว็กซ์ที่จัดอยู่ในกลุ่มปิโตรเลียมแว็กซ์ (Petroleum wax) โดยมีสูตรโครงสร้างทางเคมี คือ CnH2n+2 จำนวนคาร์บอนในห่วงโซ่โมเลกุล 19-36 อะตอม (C19-C36) มีลักษณะเป็นของแข็ง มีสีเหลืองอ่อนถึงขาว มีจุดหลอมเหลว อยู่ที่ระหว่าง 48-68 องศาเซลเซียส คุณสมบัติทางเคมีของพาราฟิน แว็กซ์ ลักษณะ/รูปร่าง แบบแผ่น/แบบเม็ด สี ขาว ค่าพีเฮช ความเป็นกรด/ด่าง 5.8-6.3ปริมาณน้ำมันในแว็กซ์ (%ของน้ำหนักแว็กซ์) 0.1%-5% กลิ่น เล็กน้อยค่าความถ่วงจำเพาะ (กรัม ต่อลบ.ซม.) 0.82-0.92จุดหลอมเหลว (องศาเซลเซียส) 48-68 จุดเริ่มกลับแข็งตัว (วุ้น) (องศาเซลเซียส) 66-69 จุดวาบไฟ (องศาเซลเซียส) 204-271จุดเริ่มติดไฟ (องศาเซลเซียส) 238-263จุดเดือด (องศาเซลเซียส) 350-430ค่าความหนืดที่ 100 องศาเซลเซียส (เซนติสโตก) 3.1-7.1จำนวนคาร์บอนในห่วงโซ่โมเลกุล - 9-36 ค่าความอ่อนแข็งที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส 20 max/ค่าสูงสุดการจำแนกประเภทพาราฟิน แว็กซ์ แบ่งเกรดโดยการใช้ปริมาณน้ำมันในแว็กซ์ (Oil Content) โดยแบ่งออกได้เป็น 3 เกรด ดังนี้
พาราฟิน แว็กซ์ฟูลลี่ รีไฟน์ (Paraffin wax Fully refined) จะมีค่าของปริมาณน้ำมันในแว็กซ์ ตั้งแต่ 0.1% - 0.5%ของน้ำหนักพาราฟิน แว็กซ์ (%wt)
พาราฟิน แว็กซ์ เซมิ รีไฟน์ (Paraffin wax Semi refined) จะมีค่าของปริมาณน้ำมันในแว็กซ์ ตั้งแต่ 0.5% -1.5% ของน้ำหนักพาราฟิน แว็กซ์ (%wt)
พาราฟิน แว็กซ์ เซมิ รีไฟน์ (Paraffin wax Semi refined) หรือ สแลคแว็กซ์ (Slack wax) จะมีค่าของปริมาณน้ำมันในแว็กซ์ ตั้งแต่ 3 % - 5% ของน้ำหนักพาราฟิน แว็กซ์ (%wt)
พาราฟิน แว็กซ์ แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
- พาราฟิน แว็กซ์แบบแผ่น (Slab form)
- พาราฟิน แว็กซ์แบบเม็ด (Granule form)
กระบวนการผลิตพาราฟิน แว็กซ์
พาราฟิน แว็กซ์ เป็นแว็กซ์ที่ได้มาจากกากส่วนที่เหลือ ที่ได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ โดยกระบวนการกลั่นน้ำมันแบบหอกลั่นลำดับส่วน ไขหรือกากแว็กซ์ที่ได้จากกระบวนการกลั่นนี้ เรียกว่า สแลคแว็กซ์ (Slack wax) ซึ่งยังมีปริมาณน้ำมันในแว็กซ์สูง นำสแลคแว็กซ์ ที่ได้ มาผ่านกระบวนการการสกัดน้ำมันออกจากแว็กซ์ เพื่อให้ได้พาราฟิน แว็กซ์ ที่มีปริมาณน้ำมันในแว็กซ์ตามค่ามาตรฐานของพาราฟิน แว็กซ์ที่สามารถนำมาใช้ทำเทียนและใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ
2. เตาแก๊ส”
ถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ในห้องครัว เพราะครัวส่วนใหญ่ในประเทศไทยนิยมใช้เตาแก๊สในการประกอบอาหาร ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเตาแก๊สได้มีการพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันจะให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัย, ประหยัดเชื้อเพลิง, ความแรงของไฟ และเรื่องการทำความร้อนโดยที่ภาชนะไม่ดำ และทาง คิทเช่นฟอร์ม ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายเตาแก๊ส หลายรุ่น หลายยี่ห้อ มีฟีเจอร์ที่แตกต่างกันไป ตามความต้องการของผู้ใช้ ผู้อ่านหลายท่านคงเคยสงสัยว่าเตาแก๊สที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มีมีที่มาที่ไปอย่างไรทำไมถึงมีเตาแก๊สเกิดขึ้นได้ และคนสมัยก่อนเวลาประกอยอาหารโดยไม่มีเตาแก๊สทำกันอย่างไร คิทเช่นฟอร์ม จะมาเล่าถึงที่มาที่ไปของเตาแก๊สว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มีวิวัฒนาการอย่างไร และผู้ที่คิดค้นเค้าเป็นใคร
ประวัติเตาแก๊ส
เตาแก๊ส (Gas Stove) ที่เราใช้ๆกันอยู่ทุกวันนี้ ก่อกำเนิดเมื่อปี พ.ศ. 2363 แต่เตาแก๊สตัวแรกที่ได้กำเนิดขึ้นยังไม่สามารถใช้ได้จริงเพราะว่ายังเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการทดลองทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น และต่อมาประมาณ 6 ปี นายเจมส์ชาร์ป ซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศอังกฤษได้จดสิทธิบัตรและเปิดโรงงานผลิตเตาแก๊ส ในที่สุดเตาแก๊สรุ่นแรกของโลกก็ได้กำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2373 ซึ่งป็นที่ฮือฮาของผู้คนในยุคนั้นมาก
ในปี พ.ศ. 2388 ได้มีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับเตาแก๊สเป็นครั้งแรกของโลก ที่ไฮด์พาร์คในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยในการจันิทรรศการครั้งนี้มีผู้ร่วมงานมากกว่า 6 ล้านคนเลยทีเดียว แต่ว่าเตาแก๊สในสมัยนั้นยังไม่มสามารถขายได้ดีอย่างที่นายเจมส์ชาร์ปได้วางไว้ เป็นเพราะว่าความเจริญและข้อจำกัดหลายๆด้านที่ทำให้ผู้คนทั่วไปไม่นิยมนำเตาแก๊ส มาใช้แทนเตาฝืนและเตาถ่าน โดยเหตุผลหลักหลักๆคือเตาแก๊สในสมัยนั้นยังไม่มีระบบความปลอดภัยอย่างเพียงพอ แต่ผู้พัฒนาเตาแก๊สหลายๆท่านก็ได้พยายามพัฒนาด้านความปลอดภัยและต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงจนสามารถ ทำการผลิตเตาแก๊สในเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2423 และได้มีการพัฒนาเตาแก๊สให้มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้
การเลือกซื้อเตาแก๊ส
1. สำหรับในปัจจุบันนั้นมีเตาแก๊สหลากหลายยี่ห้อที่วางจำหน่ายตามท้องตลาด แน่นอนว่าจะมีทั้งเตาแก๊สที่มีคุณภาพดี และเตาแก๊สที่ลดต้นทุนการผลิต จนทำให้คุณภาพการใช้งานและความคงทนลดลงไปด้วย ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา คิทเช่นสามารถสรุปหลักการเลือกซื้อเตาแก๊สได้ดังนี้
2. อย่างแรกที่ต้องคำนึงถึงเมื่อต้องเลือกซื้อเตาแก๊สคือความสามารถในการทำความร้อน ซึ่งในปัจจุบัน ความสามารถในการทำความร้อนของเตาแก๊สจะวัดออกมาเป็นวัตต์ โดยส่วนใหญ่ความร้อนจะเริ่มต้นที่ 1,000 วัตต์ ซึ่งถือเป็นความร้อนที่น้อยมาก จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเคียวอาหารนานๆ แต่ถ้าต้องการใช้ในการประกอบอาหารที่ต้องการใช้กำลังไฟมากๆอย่างเช่น การต้ม การผัด กำลังเท่านั้นจะไม่สามารถทำได้ ฉะนั้นการเลือกซื้อเตาแก๊สทุกครั้งต้องเลือกที่กำลังไฟสูงๆไว้ก่อน ซึ่งในปัจจุบันกำลังไฟต่อ 1 หัวที่ทำความร้อนได้สูงสุดจะอยู่ที่ 5,000 วัตต์ ซึ่งจะสามารถประกอบอาหารได้ทุกประเภท
3. ระบบความปลอดภัยในการตัดแก๊ส ซึ่งหลายๆแบรนด์จะตั้งชื่อระบบความปลอดนี้แตกต่างกันไป เช่น ระบบเซฟฟตี้วาวล์ว, ระบบเซฟตี้เทอร์โมคัพเพิล, ระบบเซฟตี้คัทอ๊อฟ แต่ทั้งหมดที่ว่าก็คือระบบการตัดการปล่อยแก๊สอัตโนมัติทันทีเมื่อเปลวไฟบนหัวเตาดับลง ก่อนการตัดสินใจซื้อเตาแก๊ส ผู้ซื้อควรเลือกซื้อเฉพาะเตาแก๊สที่มีระบบการตัดแก๊สอัตโนมัติเท่านั้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจได้ว่า ผู้อาศัยและทรัพย์สินจะไม่ได้รับอันตรายจากเหตุอัคภัยที่ต้นเหตุมาจากเตาแก๊ส
4. วัสดุที่ใช้ในการผลิต ปัจจุบันนอกจากเตาแก๊สจะพัฒนาในด้านกำลังไฟและระบบความปลอดภัยแล้ว ยังได้มีการพัฒนาในด้านการดีไซน์เข้าไปด้วย เตาแก๊สที่ทนทานไม่จำเป็นต้องทำจากสแตนเลสเสมอไป เพราะว่าในปัจจุบันได้พัฒนาฐานเตาที่ผลิตจากกระจกและเซรามิคเข้ามาเพิ่มด้วย ซึ่งความคงทนมากที่สุดคือสแตนเลส ถ้าเป็นความสวยงามมากที่สุดคือฐานเตาที่ผลิตจากกระจก แต่ถ้าจะเลือกฐานเตาที่ให้ทั้งความคงทนและความสวยงามเสมือนว่าสแตนเลส+ กระจก ต้องเลือกใช้ฐานเตาแก๊สที่ผลิตจากเซรามิคเพราะว่าจะมีความสวยงาม ทำความสะอาดง่าย และสามารถทนความร้อนได้สูงประมาณ 800 องศาเลยทีเดียว
5. หัวเตาถือเป็นชิ้นส่วนที่ต้องสัมผัสกับความร้อนโดยตรง จึงจำเป็นต้องเลือกหัวเตาที่ผลิตจากวัสดุที่ทนความร้อนสูง ซึ่งในปัจจุบันวัสดุหัวเตาที่ดีที่สุดคือทองเหลืองเนื่องจากทองเหลืองเป็นตัวนำความร้อนได้ดี และทนความร้อนสูง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานไม่ก่อให้เกิดสนิม ผู้ผลิตเตาแก๊สที่เน้นคุณภาพและความทนทานจึงเลือกใช้หัวเตาแก๊สที่ผลิตจากทองเหลือง
6. ระบบจุดติด ในปัจจุบันระบบจุดติดไฟมีอยู่ 2 แบบหลักๆ คือแบบใช้ไฟบ้านซึ่งแบบนี้จะทำให้การจุดติดของแก๊สง่ายแต่จะมีความยุ่งยากในด้านการเดินสายไฟ และถ้าไฟในบ้านดับก็ไม่สามารถจุดเตาแก๊สได้แต่ก็สามารถนำปืนยิงแก๊สหรือไฟแช็คมาจุดแทนได้ และอีกแบบคือการจุดติดโดยใช้แบตเตอร์รี่หรือถ่านไฟฉายวิธีการนี้จะดีในด้านไม่ต้องเดินสายไฟให้ยุ่งยาก แต่จะมีข้อจำกัดหลายด้านคือ ถ้าหัวเตามีความชื้นจะจุดติดลำบากเพราะว่ากำลังไฟมีน้อย และปัญหาอีกอย่างคือต้องคอยเปลี่ยนแบตเตอร์รี่อยู่เรื่อยๆ
7. ระบบการทำงานของหัวเตาแก๊สก็ถือเป็นเรื่องสำคัญอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม เพราะว่าจะเป็นตัวกำหนดการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง ถ้ามีเผาไหม้อย่างสมบูรณ์แบบภาชนะที่นำมาประกอบอาหารจะไม่มีคราบเขม่าติด และจะประหยัดเชื้อเพลิงได้อีกด้วย ซึ่งวิธีสังเกตระบบการทำงานของหัวแก๊สง่ายๆคือการดูสีของเปลวไฟ ต้องเลือกเปลวไฟที่เป็นสีฟ้าและไม่มีสีแดงมาปะปนเพราะถ้ามีสีแดงมาปะปนจะแสดงว่ามีการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์เป็นเหตุให้ภาชนะทำความสะอาดยากและเก่าเร็วกว่าปกติ และจะทำให้มีความสิ้นเปลืองแก๊สมากกว่าปกติด้วย
ทั้ง 7 ข้อที่กล่าวมาคือวิธีการเลือกซื้อเตาแก๊สที่ถูกต้องตามหลัก ฉะนั้นผู้ที่กำลังมองหาเตาแก๊สเพื่อนำไปใช้ในห้องครัวควรมีการเลือกอย่างพิถีพิถัน เพราะว่าเตาแก๊สถือเป็นหัวใจของห้องครัวก็ว่าได้เพราะไม่ว่าจะทำอาหารประเภทใดก็ต้องใช้เตาแก๊สกันเป็นส่วนใหญ่ และถ้าเลือกเตาแก๊สที่ดีมีคุณภาพแล้ว จะทำให้มั่นใจในด้านความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินภายในบ้าน
4. แม่พิมพ์ผ้าบาติก
การทำผ้าบาติกลายพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์โลหะ ในประเทศไทยนั้น จากการสำรวจพื้นที่ในเขต สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ จังหวัด ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส พบว่า มีโรงงานผลิตผ้าบาติกในเขต จังหวัดนราธิวาส และเนื่องจากวัสดุที่ใช้ในการทำพิมพ์เป็นโลหะ จึงมีการยุบตัวของชิ้นโลหะที่นำมา ประกอบ เป็นแม่พิมพ์อันนื่องมาจากการกระแทก ของแม่พิมพ์กับวัตถุอื่น หรือแม่พิมพ์ชิ้นอื่นใน ขั้นตอน การจัดเก็บ อีกทั้งยังมีการหลุดของชิ้นส่วนโลหะที่นำมาประกอบ เป็นลวดลายบนแม่พิมพ์ อันเนื่องจาก โลหะบัดกรี ไม่ยึดตึดติดกับโลหะที่นำมาประกอบเป็นลวดลายบนแม่พิมพ์ ซึ่งนายยา บินดอเลาะห์ ช่างทำแม่พิมพ์ผ้าบาติกชาวไทย ได้กล่าวไว้ว่า การทำและซ่อมแซมแม่พิมพ์ ต้องใช้ความประณีต และความชำนาญ แม่พิมพ์บางชิ้น สามารถซ่อมแซมได้ แต่อีกหลายชิ้นต้องทิ้งไปเพราะไม่สามารถซ่อมได้ ถึงแม้จะมีบางส่วนบนแม่พิมพ์ที่ยังใช้งานได้อยู่ และเนื่องจากราคาในการทำและซ่อมแซม แม่พิมพ์ แต่ละชิ้นมีราคาที่ค่อนข้างสูง ผู้ผลิตผ้าบาติกลายพิมพ์จึงนิยมใช้แม่พิมพ์วนไปเรื่อยๆ เราจึงไม่ค่อยเห็น ผ้าบาติกลายพิมพ์ที่มีลวดลายแปลกใหม่ในท้องตลาด
จากการศึกษาและรวบรวม ข้อมูลลวดลายบนแม่พิมพ์โลหะสามารถแบ่งลวดลายบนแม่พิมพ์โลหะ ออกเป็น 6 ชนิด ดังนี้
1) ลวดลายพฤกษาพรรณ
2) ลวดลายเรขาคณิต
3) ลวดลายผสมระหว่าง พฤกษา พรรณ และเราขาคณิต
4) ลวดลายวัตถุสิ่งของ
5) ลวดลายสัตว์
6) ลวดลายตัวอักษรและตราสัญลักษณ์
5. ยางรัด
ยางรัด (อังกฤษ: rubber band) เป็นยางเส้นขนาดเล็ก ลักษณะเป็นวง มีความยืดหยุ่น ทำจากยางพารา นิยมนำมาใช้รัดวัสดุสิ่งของขนาดเล็กไว้ด้วยกัน หรือใช้แทนไขลานสำหรับของเล่นขนาดเล็กๆ และยังมีการนำมาใช้รัดอวัยวะเพศเพื่อทำหมันสัตว์อื่น
4. อุปกรณ์ย้อมเย็น
ในการย้อมสีผ้านั้น เมื่อสีละลายน้ำสามารถจะซึมเข้าไปภายในเส้นใยได้ แต่ค่อนข้างช้า ความสม่ำเสมอ และความคงทนของสีจะต่ำกว่าปกติ จำเป็นต้องใช้สารเคมีเพิ่มลงในน้ำย้อมเพื่อเร่งปฏิกิริยาให้เร็วขึ้น ย้อมให้สีติดทนทานสม่ำเสมอ เราเรียกสารเคมีเหล่านี้ว่า “สารช่วยย้อม (Dye auxiliaries)” ซึ่งในการย้อมสีนั้นมีใช้อยู่หลายตัวด้วยกัน ที่สำคัญๆได้แก่
4.1.1 คราม หรือนาโค ชื่อวิทยาศาสตร์: Indigoferatinctoriaอยู่ในวงศ์ Leguminosaeเป็นไม้พื้นเมืองในเอเชีย เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ฝักตรงหรือโค้งงอเล็กน้อย ใบประกอบแบบขนนก ดอกช่อ ใช้ทำสีย้อม ต้นครามมีกลูโคไซด์อินดิแคน เมื่อนำต้นไปแช่น้ำ สารน้ถูกเปลี่ยนเป็นอินดอกซิลและเมื่อถูกอากาศจะถูกเปลี่ยนเป็นอินดิโก-บลู ให้สีคราม ใช้เป็นยารักษาอาการทางประสาท บรรเทาอาการปวดแผลที่เกิดในบริเวณเยื่ออ่อน
คนสมัยโบราณนิยมนำกิ่งครามทั้งใบมาแช่น้ำด่าง เพื่อหมักเอาน้ำคราม มาย้อมผ้า สีที่ได้คือสีน้ำเงินเข้ม เรียกว่า สีคราม นั่นเอง แต่ต้องย้อมซ้ำหลายครั้ง ครั้งแรก ๆ อาจได้เป็นสีฟ้าเข้ม ในการหมักนั้นมีกรรมวิธีที่เรียกว่าการ 'เลี้ยงคราม' หากทำไม่ถูกขั้นตอน ครามจะไม่ให้สี เรียกว่า 'ตาย' น้ำสีที่ยังไม่สมบูรณ์จะเห็นเป็นสีเขียวเข้ม เมื่อโดนอากาศ จะเข้มขึ้นจนเป็นสีน้ำเงิน ถึงสีครามในที่สุด ชาวอีสานเรียกสีครามว่าสีนิล สีหม้อ หรือสีหม้อนิล ชาวอีสานตอนบนนิยมนำไปย้อมผ้า และมัดเป็นลาย เรียกว่า ผ้าย้อมคราม แหล่งผลิตผ้าทอมือย้อมครามที่มีคุณภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งคือจังหวัดสกลนครเนื่องจากเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวผู้ไทและมีการต่อยอด ออกแบบสีและลวดลายให้มีความปราณีตสวยงาม[ต้องการอ้างอิง]
4.1.2 ไฮโดรซัลไฟต์
เป็นสารช่วยย้อมในการย้อมเส้นใยโปรตีนและไนลอนด้วยสีแอซิค (Acid dyestuffs) เป็นตัวช่วยให้ทำละลายสีและทำให้ประจุไฟฟ้าลบ ในเส้นใยน้อยลงและเพิ่มประจุไฟฟ้าบวก แอนไอออนจึงสามารถเข้าไปติดภายในเส้นใยได้ ตัวสีที่ดูดซึ่มได้น้อยต้องเพิ่มกรดให้มากขึ้น ทำให้ตัวสีซึมกระจายตัว จากบริเวณที่ติดสีมากไปยังบริเวณที่ติดสีน้อย ทำให้สีย้อมสม่ำเสมอ เวลาซักสีจะตกออกได้ง่าย สีประเภทนี้ต้องการกรดแก่เพื่อสามารถซึมเข้าไปในเส้นใยได้มากขึ้น กรดที่นิยมใช้ในการย้อมได้แก่ กรดซิตริกกรดอะซิติก เป็นต้น
สารฟอกขาวเป็นสารเคมีประเภทหนึ่งที่มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลายในการผลิตอาหารหลายประเภท ทั้งในอาหารที่อนุญาตให้ใส่สารฟอกขาว โดยพบการตกค้างปริมาณสูงในอาหารหลายชนิดทั้งที่จำหน่ายภายในประเภทและอาหารส่งออก จึงถูกจัดเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่ต้องมีการเฝ้าระวังในการใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารอย่างใกล้ชิด
สารฟอกขาวที่นิยมใช้ในอาหารบ้านเราส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของสารประกอบซัลไฟต์ ซึ่งเป็นชื่อรวมของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และเกลืออนินทรีย์ของกรดซัลฟูรัสซึ่งแตกตัวให้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ สารฟอกขาวบางตัวไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในอาหาร เนื่องจากเป็นสารที่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างมากต่อสุขภาพ ได้แก่ สารไฮโดรซัลไฟต์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ยาชัด” ซึ่งเป็นสารที่นิยมใช้ในการฟอกย้อมผ้า แต่พบว่าผู้ผลิตหลายรายนำมาใช้ในการผลิตอาหารเพื่อฟอกสีอาหารให้ดูน่ากิน
สารซัลไฟต์ เป็นสารเคมีที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารหลายประเภท โดยใช้เป็นสารกันเสียเพื่อป้องกันและยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ ใช้เป็นสารกันหืนเพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันในอาหารที่จะทำให้เกิดการเหม็นหืนในผลิตภัณฑ์นั้น และที่สำคัญยังสามารถใช้เป็นสารฟอกขาวอีกด้วย เนื่องจากมีคุณสมบัติยับยั้งปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเกิดขึ้นในอาหารประเภท เช่น ผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำหวานจากพืช และอาหารทะเล พวกกุ้ง ปู ปลา ปลาหนึก เป็นต้น ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เองทำให้มีการนำสารนี้มาใช้อย่างกว้างขวางในผลิตอาหารต่างๆ
โดยปกติถ้าได้รับในปริมาณไม่มาก ร่างกายคนจะมีเอนไซม์ที่สามารถเปลี่ยนสารซัลไฟต์เป็นสารซัลเฟต ซึ่งไม่มีพิษต่อร่างกายและถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อย่างไรก็ตามการได้รับสารกลุ่มนี้ในปริมาณมากก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ อาการความเป็นพิษที่เกิดขึ้นจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับสารกลุ่มนี้คือกลุ่มผู้ที่เป็นโรคหอบหืด อาการที่พบคือ หายใจขัด เจ็บหน้าอก ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง เวียนศีรษะ ความดันเลือดต่ำเป็นลมพิษ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคหอบหืด อาจเกิดอาการช็อก หมดสติและเสียชีวิตได้ ระดับความรุนแรงของอาการขึ้นกับปริมาณการได้รับว่ามากน้อยแค่ไหน
นอกจากนี้ สารนี้ยังสามารถทำปฏิกิริยากับวิตามินบางชนิด เช่น ไทอามีน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคขาดวิตามินตัวนี้ ถ้าได้รับต่อเนื่องเป็นเวลานานจะเกิดพิษสะสมขึ้นโดยไปรบกวนการทำงานของเอนไซม์ก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายได้
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดค่าความปลอดภัยต่อการบริโภคในชีวิตประจำวันของสารกลุ่มนี้ไว้ว่าไม่ควรบริโภคเกิน 0.7 มิลลิกรัม ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 1 วัน และหากมีการใช้ต้องระบุในฉลาก
สารซัลไฟต์จัดเป็นสารฟอกขาวที่ประเทศไทยอนุญาตให้ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารหลายประเภท ได้แก่ การผลิตน้ำตาล วุ้นเส้น เส้นหมี่ ก๋วยเตี๋ยว ลูกเกด และอาหารทะเลเยือกแข็ง เป็นต้น โดยมีการกำหนดกลุ่มที่อนุญาตให้ใช้วัตถุเจือปนอาหารตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ โซเดียม-โพแทสเซียมซัลไฟต์ โซเดียม -โพแทสเซียมไบซัลไฟต์ และโซเดียม -โพแทสเซียมเมทาไบซัลไฟต์เทานั้น และมีการระบุชนิดของอาหารที่อนุยาติให้ใช้โดยมีการกำหนดปริมาณสูงสุดที่ยอมให้มีการตกค้างในอาหารแต่ละประเภทแตกต่างกันไปขึ้นกับปริมาณและลักษณะการบริโภคอาหารนั้นๆแต่ก็เป็นการกำหนดตามาตรฐานสากลซึ่งเป็นการศึกษาข้อมูลตามลักษณะการบริโภคอาหารของชาวตะวันตก
อย่างไรก็ตาม มีการสำรวจพบการตกค้างของสารฟอกขาวในกลุ่มของสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ซึ่งไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร สารกลุ่มนี้เป็นสารเคมีที่นิยมใช้เป็นสารฟอกขาวในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ฟอกย้อม สิ่งทอ และกระดาษ เป็นต้น สารกลุ่มนี้มีความเป็นพิษรุนแรงกว่าสารซัลไฟต์ตัวอื่นมาก ถ้ากินเข้าไปจะทำให้เกิดการอักเสบที่ลำคอและระบบทางเดินอาหาร มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน การไหลเวียนเลือดล้มเหลว ระบบหายใจล้มเหลว หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้
เนื่องจากสารซัลไฟต์มีคุณสมบัติในการฟอกขาวที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาถูกจึงมีผู้ผลิตหลายรายนิยมนำไปใช้ในการฟอกขาวอาหารหลายประเภท ทั้งในชนิดที่อนุญาตและไม่อนุญาตให้ใส่สารฟอกขาว ดังมีการสำรวจพบปริมาณซังเฟอร์ไดออกไซต์ตกค้างในปริมาณสูงในอาหารที่จำหน่ายตามท้องตลาดหลายประเภท
ดังนั้นในการเลือกซื้ออาหารควรดูฉลากที่แสดงการใช้วัตถุเจือปนอาหารที่มีการระบุในฉลาก สำหรับคนที่เป็นโรคหอบหืดควรระวังการบริโภคอาหารที่มีการใช้สารฟอกขาวกลุ่มที่กล่าวมานี้ในการผลิต ไม่ควรบริโภคอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ
4.3 เกลือ (Salt)
โซเดียมไอออนของเกลือในน้ำย้อมส่วนหนึ่งจะทำหน้าที่ลดปฏิกิริยาลบของเส้นใย ทำให้แอนไอออนของสีสามารถเข้าไปใกล้เส้นใยจนกระทั่งแรงแวนเดอร์วัลส์มีประสิทธิภาพ เมื่อย้อมฝ้ายด้วยสีแว๊ต ที่อุณหภูมิปานกลางจะได้โซเดียมไอออนมาทำหน้าที่นี้จากโซเดียมไดธิโอไนท์และโซเดียมไฮดร๊อกไซด์ที่ใช้ละลายสี เมื่อย้อมเย็นสีแว๊ตจะติดส้นใยได้น้อยลง ถ้าเติมเกลือแกงในน้ำย้อมจะเป็นการเพิ่มโซเดียมไอออน ทำให้สีติดเส้นใยได้มากขึ้น
4.4 น้ำด่าง (alkali)
เป็นสารช่วยย้อมในการย้อมเส้นใยธรรมชาติประเภทเส้นใยเซลลูโลส เช่น ฝ้าย โดยจะใช้กับสีย้อมประเภทสีแวต (Vat dyestuffs) สีกำมะถัน (sulfur dyestuffs ) และสีรีแอคทีฟ ( Reactive dyestuffs) สีแวต และสีกำมะถันต้องย้อมในน้ำย้อมที่เป็นด่างแก่ มีสารรีดิวส์รวมอยู่ด้วย สีรีแอคทีฟจะย้อมในน้ำย้อมที่เป็นด่างอ่อน (โซเดียมคาร์บอเนต) ทำหน้าที่ให้โมเลกุลของสีทำปฏิกิริยายึดติดกับโมเลกุลของใยเซลลูโลสได้ดียิ่งขึ้น