ประวัติความเป็นมาหม้อห้อมเมืองแพร่
ผ้าหม้อห้อม เป็นผ้าพื้นเมืองของจังหวัดแพร่ เป็นที่นิยมในการสวมใส่ของคนภาคเหนือ และของคน ทั่วประเทศ ซึ่งแสดงได้ถึงเอกลักษณ์ผ้าไทย ซึ่งเป็นการใช้ผ้าฝ้ายที่ได้จากการทอ ย้อมด้วยสีครามที่ได้จาก ต้นฮ่อมหรือต้นคราม ปัจจุบันนำมาตัดชุดต่าง ๆ เช่น กางเกง กระโปรง เสื้อ ชุดเดรส สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศทุกวัย
“ม่อฮ่อม” หรือ “หม้อห้อม” หมายถึงเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้าย มีสีน้ำเงินเข้มที่ได้จากการย้อมด้วยต้นห้อมในหม้อดิน จึงเรียกว่า “หม้อห้อม” ต่อมามีการเพี้ยนมาเป็น "ม่อฮ่อม" หรือ "ม่อห้อม" หม้อห้อม จัดเป็นเครื่องแต่งกายพื้นบ้านของไทย มาตั้งแต่ยุคไทลื้อในสิบสองปันนา ยุคของลาวในประเทศลาว และยุคของไทล้านนา ทางภาคเหนือของไทย ชาวอีสานเรียกสีครามว่าสีนิล สีหม้อ หรือสีหม้อนิล ชาวอีสานตอนบนนิยมนำไป ย้อมผ้า และมัดเป็นลาย เรียกว่า ผ้าย้อมคราม ผ้าสีครามล้ำค่าจากภูมิปัญญาบรรพบุรุษนี้ เป็นผ้าพื้นเมือง ที่สำคัญของจังหวัดแพร่ ซึ่งมีการถ่ายทอดมาหลายชั่วอายุคน และแม้ว่าจะมีวิธีการเขียนได้หลายแบบ เช่น ม่อฮ่อม ม่อห้อม หม้อฮ่อมหม้อห้อม แต่ทุกคำล้วนมีความหมายเดียวกัน คือ เสื้อผ้าที่มีสีครามที่เกิดจากภูมิปัญญาช่างย้อม เป็นการใช้ผ้าฝ้ายที่ได้จากการทอ ย้อมด้วยสีครามที่ได้จากต้นห้อมหรือต้นคราม ได้ผ้ามีสีเดียวกันตลอดทั้งผืน การทำผ้าหม้อห้อมมีการทำสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ในการย้อมผ้า ชาวทุ่งโฮ้ง จังหวัดแพร่ นำเอาส่วนที่เป็นลำต้น และใบของต้นห้อมมาหมักในหม้อตามกรรมวิธีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ทำให้ได้น้ำสีคราม แล้วนำมาย้อมกับผ้าสีขาวให้เป็นผ้าคราม
ผ้าหม้อห้อม เป็นผ้าพื้นเมืองที่สำคัญของจังหวัดแพร่ และชาวบ้านตำบลทุ่งโฮ้ง ใช้ผ้าฝ้ายที่ได้จากการทอย้อมด้วยสีครามที่ได้จากต้นห้อมหรือต้นคราม จะได้ผ้าสีเดียวกันตลอดทั้งผืน ผ้าห้อมห้อม เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความงามทางวัฒนธรรมการแต่งกายของคนเมืองแพร่อย่างแท้จริง บ่งบอกถึงความเป็นชาติพันธุ์ที่มีประวัติศาสตร์ ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษชาวไทยพวน บ้านทุ่งโฮ้งมาอย่างยาวนาน
หม้อห้อม พืชของโลก ห้อมห้อมดีที่เมืองแพร่
หม้อห้อม พืชของโลก แม้ว่าการย้อมสีครามแพร่หลายในภูมิภาคของโลกนั้นมานับพันปีแล้ว วิธีการที่ใช้ก็คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีการสันนิษฐานกันว่า ที่เมืองแพร่นั้นการทำผ้าหม้อห้อมติดตัวมากับผู้คนที่อพยพเข้ามาในเมืองแพร่ด้วยเหตุของสงคราม ซึ่งก็มีการกวาดต้อนผู้มาเพื่อให้เป็นกำลังการผลิต จนมีคำเปรียบเปรยว่า “เก็บผ้าใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” เพราะเมืองแพร่นั้นเป็นเมืองที่มีประชากรน้อย ต้องการแรงงานเพิ่มเพื่อการผลิต
การอพยพนั้น น่าจะอยู่ 2–3 ช่วง ในราวรัชสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยเจ้าเมืองใจ๋ผู้ปกครองนครแพร่ก็ได้เชื้อสายไทลื้อมาจากเชียงแสน นำมาสร้างถิ่นฐานไว้ที่บ้านพระหลวงและช่วงรัชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ที่สยามส่งกองทัพไปถึงพวนมาไว้ที่ทางทิศเหนือของเมืองแพร่ คือ บริเวณวัดสวรรคนิเวศน์ ซึ่งภายในก็ย้ายไปบ้านไทยพวนทุ่งโฮ้งปัจจุบัน
คนทั้งสองเชื้อสายนั้นมีความชำนาญในการย้อมสีคราม จากพืชพรรณธรรมชาติ 3 ชนิด คือ คราม ห้อม และห้อมเครือ จึงมีการทอ ตัดเย็บ ย้อมเสื้อผ้าสีครามออกมาใช้เป็นเสื้อผ้าทำงานในเรือนสวนทุ่งนา
ก่อนมาถึง พ.ศ.2546 ความหลากหลายของหม้อห้อมก็อยู่ที่กรรมวิธีการย้อมเย็นก่อนต่อด้วยการ “ชุบน้ำ” (ภาษาเฉพาะคนขายของหม้อห้อม หมายถึง การย้อมร้อนด้วยเคมีทับ) ผู้ย้อมแต่ละคนก็มีเทคนิค
เฉพาะตัว รูปแบบเสื้อผ้าปรับจากเสื้อกุยเฮง เตี่ยวสะดอ ขาก๊วย เป็นเชิ้ต 2 กระเป๋า 4 กระเป๋า เป็นกางเกงหูรูด เป็นการตกแต่งลวดลายด้วยวิธีต่างๆ เช่น ผ้าบาติก หรือ ผ้าตีนจก ผ้าทอพื้นเมือง
ในปี 2547 หลายหน่วยงานทั้งราชการและเอกชนสนใจเรื่องหม้อห้อมเป็นอันมาก มีการส่งเสริมสารพัด เพื่อพัฒนาคุณภาพ พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน เรื่องหม้อห้อมพัฒนาระบบการจัดการ ส่งเสริมการรวมกลุ่มเพื่อการผลิตที่มีคุณภาพรวมทั้งการส่งเสริมการปลูกหม้อห้อม ในพื้นที่ประสบอุทกภัย ในปี 2549
การส่งเสริมสารพัดด้านเหล่านี้ ทำให้ผลิตภัณฑ์หม้อห้อมมีความหลากหลายมากขึ้น มีสีสันอื่นๆ เข้ามาประกอบกับสีโทนคราม น้ำเงิน ไม่เฉพาะเสื้อผ้า แต่กลายเป็นของใช้ เป็นหมอน เป็นเบาะ ม่าน วัสดุตกแต่งภายในต่างๆจะเป็นด้วยคุณสมบัติของผ้า ด้านความทนทาน หรือด้านราคาหาซื้อง่าย หรือด้านความเชื่อว่าใส่ผ้าย้อมครามแล้วไม่มีกลิ่นอับ ก็ตาม หม้อห้อมแพร่ก็โด่งดังไปทั่วประเทศ จนมีคำกล่าวว่า “ใครมาเมืองแพร่ต้องซื้อหม้อห้อม”ด้วยคุณสมบัติทางไหนก็แล้วแต่ ผ้าหม้อห้อมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาวแพร่นั้น ทำหน้าที่สื่อโฆษณามาแล้วหลายวงการ แทนที่จะเป็นเสื้อยืด ก็นำเสื้อหม้อห้อมประยุกต์เหล่านั้นมาสกรีนหรือวาดรูประบายสี หรือเขียนคำขวัญ คำคม ชื่อร้าน ชื่อกลุ่ม ชื่อทีมกีฬา ชื่อผู้สมัคร สส. สจ.
ดังนั้นเมื่อตลาดกว้างขวางขึ้น การแข่งขันด้านตลาดสูงขึ้น การผลิตที่สะดวกสบายขึ้น ทำให้วิธีการผลิตแบบเดิมสูญหายไป
จากการใช้ครามเปียกที่ได้จากต้นห้อม ต้นครามที่ปลูกกันเองทำเป็นสีย้อมเอง ก็กลายเป็นครามที่มีพ่อค้าใส่กระป๋องมาขาย ถึงช่วงหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นครามเกล็ดที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เป็นถังใหญ่ แบ่งขายเป็นกิโลกรัม ส่วนพัฒนาการด้านน้ำด่างต่างๆนั้น ที่เคยได้จากเถ้าในครัว ก็กลายเป็นขุดหัวกล้วย ต้นผักโขมหวาน ฯลฯ มาตากแห้งแล้วเอาขี้เถ้า มาช่วงหลังสุดเป็นด่างที่เป็นรูปผงขาวๆ จากโรงงานอุตสาหกรรม
ไม่ว่าจะเป็นหม้อห้อมแบบย้อมธรรมชาติหรือแบบประยุกต์ย้อม ประยุกต์ท่อ ประยุกต์ตัด ต่างก็เป็นของแท้เฉพาะตน ที่ไม่ปลอมแปลงยี่ห้อของใคร นี่คือรูปแบบที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของหม้อห้อมเมืองแพร่ เพื่อสนองความต้องการของผู้ใช้ได้มากขึ้น ไม่ว่ายังมีคำสับสนระหว่างคำว่า หม้อห้อม ม่อฮ่อม อยู่ก็ตาม
เอกลักษณ์หม้อห้อมเมืองแพร่
ผ้าหม้อห้อมของดีจังหวัดแพร่ มีเอกลักษณ์จำเพาะของผ้าหม้อห้อม เป็นเส้นใยฝ้ายธรรมชาติย้อมสีธรรมชาติ ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นจากการนำเอาใบห้อม ซึ่งเป็นพืชประจำถิ่น ผสมผสานกันอย่างลงตัวด้วยกรรมวิธีการย้อมตามสูตรโบราณ ผ่านกระบวนการทอด้วยมือผสมกับอารยะธรรมท้องถิ่น และเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม ก่อกำเนิดเป็นผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าอาภรณ์ เรียกขานกันว่า “เสื้อหม้อห้อม” พร้อมทั้งพัฒนาไปสู่สากล เป็นผลิตภัณฑ์สูทหม้อห้อม ซึ่งสามารถ สร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอันเลื่องชื่อจนเป็นที่ยอมรับของชาวไทย ชาวต่างชาติที่แวะเข้ามาชนและเลือกซื้อ
ประโยชน์ของผ้าหม้อห้อม
1. เป็นเสื้อผ้านุ่งห่มได้
2. ใส่ในงานพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานบวช งานศพ ฯลฯ
3. นำมาเป็นของฝาก ของที่ระลึกได้
4. อนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น
5. เป็นเสื้อหม้อห้อมที่ย้อมจากสีธรรมชาติ
6. เป็นเสื้อหม้อห้อมที่สามารถซักรวมกับผ้าอื่นได้ (สีไม่ตก)
7. ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
8. สร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้าน
จากการค้นคว้าและวิจัยของ อาจารย์วันทนา สะสมทรัพย์ กรมวิจัยวิทยาศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เกี่ยวกับคุณภาพของสีจากต้นคราม ซึ่งผลการวิจัยประสบผลสำเร็จคุณภาพของสีจากต้นครามเป็นสีที่มีคุณภาพคงทนและสีสวย
อาจารย์วันทนาได้มอบอุปกรณ์การวิจัยให้กับกลุ่มเพื่อรับช่วงต่อหลังงานเสร็จสิ้น ซึ่งทางกลุ่มเห็นว่าการย้อมผ้าหม้อห้อมจากสีที่ทำจากต้นครามนั้นควรที่อนุรักษ์ไว้ตามแบบบรรพบุรุษของชาวบ้านทุ่งโฮ้งไว้ จึงได้ร่วมใจกันทำผ้าหม้อห้อมซึ่งย้อมจากสีครามธรรมชาติ การทำผ้าหม้อห้อมตามแบบโบราณ ใช้วัตถุดิบ 4 อย่างคือ ต้นห้อมหรือต้นคราม ผ้าฝ้ายทอมือหรือผ้าดิบ สำหรับตัดเย็บเสื้อผ้าแล้วนำมาย้อมด้วยนํ้าห้อม นํ้าด่างจากขี้เถ้าสำหรับเป็นส่วนผสมของสีห้อมที่ได้จากต้นห้อม แป้งข้าวจ้าวสำหรับการลงแป้งเสื้อผ้าหม้อห้อมเพื่อให้รีดเรียบง่าย
ในปัจจุบันนี้ผ้าหม้อห้อมมีการพัฒนาไปหลายรูปแบบเพื่อความทันสมัยในแฟชั่น แต่กลุ่มของเรายังคงใช้การย้อมแบบโบราณอยู่ โดยสีของผ้าที่ย้อมจะออกมาทางสีครามทำให้มีสีสันที่สวยงามและกำลังได้รับความนิยม
จึงทำให้ผ้าหม้อห้อมเมืองแพร่ ก้าวสู่สากลต่อไปและสร้างรายได้เข้าสู่จังหวัดแพร่
วัฒนธรรมการแต่งกาย
การแต่งกายพื้นเมืองของภาคเหนือ มีลักษณะแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติของกลุ่มชนคนเมือง เนื่องจากผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งบ่งบอกเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นถิ่น
สำหรับหญิงชาวเหนือจะนุ่งผ้าซิ่น หรือผ้าถุง มีความยาวเกือบถึงตาตุ่ม ซึ่งนิยมนุ่งทั้งสาวและคนแก่ ผ้าถุงจะมีความประณีต งดงาม ตีนซิ่นจะมีลวดลายงดงาม ส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อคอกลม มีสีสันลวดลายสวยงาม อาจห่มสไบทับ และเกล้าผม
ส่วนผู้ชายนิยมนุ่งนุ่งกางเกงขายาวลักษณะแบบกางเกงขายาวแบบ 3 ส่วน เรียกติดปากว่า "เตี่ยว" "เตี่ยวสะดอ" หรือ "เตี่ยวกี" ทำจากผ้าฝ้าย ย้อมสีน้ำเงินหรือสีดำ และสวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมแขนสั้น แบบผ่าอก กระดุม 5 เม็ด สีน้ำเงินหรือสีดำ ที่เรียกว่า เสื้อม่อฮ่อม ชุดนี้ใส่เวลาทำงาน หรือคอจีนแขนยาว อาจมีผ้าคาดเอว ผ้าพาดบ่า และมีผ้าโพกศีรษะ
พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงเคล็ดลับเฉพาะในการทำหม้อห้อมของแก้ววรรณาว่า หม้อห้อมนั้นมีเคล็ดอยู่มากและต้องอยู่กับเขาทุกวัน ว่ากันว่าต้องพูดต้องคุยกับหม้อห้อม ซึ่งที่แท้แล้วคือการกวนหม้อให้ออกซิเจนเข้าไปทำปฏิกิริยากับครามกับด่างนั่นเอง เมื่อได้หม้อห้อม เราลองย้อมแล้วออกมาซักด้วยน้ำด่าง ก่อนจะตากให้แห้ง แล้วนำมาใช้ ตรงนี้เป็นเคล็ดลับที่ทำให้หม้อห้อมสีไม่ตก จึงรับรองได้ว่าหม้อห้อมดี สีจะไม่ตก
ก่อนเสร็จสิ้นกิจกรรมครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญการทำหม้อห้อมแห่งเมืองแพร่ ทิ้งท้ายแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้สนใจศึกษาเรื่องหม้อห้อมอย่างจริงจัง เนื่องจากต้องการรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนให้คงอยู่ และช่วยเผยแพร่ภูมิปัญญาดั้งเดิมนี้ให้ลูกหลานชาวแพร่ได้สืบทอดต่อไป รวมทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้ชาวบ้านตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ และช่วยกันดูแลรักษาป่าไม้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อรักษาระบบนิเวศของต้นห้อมให้คงอยู่คู่ป่าต่อไป