2. ช่องทางการจัดการตลาด
2.1 กระบวนการทำ
กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการปฏิบัติการและควบคุม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ ที่จะประกอบไปด้วยปัจจัยที่เกี่ยวข้องคือ
* การวางแผน (Planning)
* การปฏิบัติการ (Implement)
* การควบคุม (Evaluation)
การวางแผน (Planning) จะเป็นการวิเคราะห์ จากปัจจัยภายในและภายนอก โดยปัจจัยภายใน
จะมีการวิเคราะห์ จาก Mission Objective Goals และวิเคราะห์ จุดแข็ง (Strengths) และ
จุดอ่อน (Weakness) ที่ผ่านมาในอดีต
ส่วนปัจจัยภายนอก ก็วิเคราะห์จาก PEST Model ที่ประกอบไปด้วย
* ปัจจัยด้านการเมือง (Politic)ทั้งด้าน นโยบายของภาครัฐ ความมีเสถียรภาพทางการเมือง
* ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ (Economic) ที่เป็นสภาพแวดล้อมในส่วนเศรษฐกิจของโลก หรือ
ของประเทศที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจ
* ปัจจัยด้านสังคม (Social) ที่มีเรื่องของวัฒนธรรม และการใช้ชีวิตของคนในประเทศนั้นๆ
* ปัจจัยด้านเทคโนโลยี (Technology)
เมือได้ข้อมูลจากการวางแผน จึงนำมาสร้างเป็น พันธกิจ (Mission) วัตถุประสงค์ (Objective) และเป้าหมาย (Goal) เพื่อไปกำหนดเป็น กลยุทธ์ทางการตลาด (Marketing Strategy)ด้วยการแบ่งส่วนตลาด (STP) และ ส่วนผสมการตลาด (Marketing Mix) ซึ่งทั้งหมดข้างต้น รวมกันเรียกว่า แผนงานทางการตลาด (Marketing Planning) ในกระบวนการต่อไปคือ การนำไปปฏิบัติ หรือ Implementationซึ่งในกระบวนการนี้จะต้องมีการออกแบบขององค์กรและระบบ (Design Organization and System) เพื่อให้สอดคล้องและรองรับกับแผนงานด้านการตลาด อีกทั้งจะต้องกำหนดวิธีการปฏิบัติหรือยุทธวิธี (Specific Tactics) ให้มีความชัดเจน และจะต้องกำหนดข้อประเมินผลงานที่สามารถเปรียบเทียบได้ (Determine Performance Benchmarks) จากนั้นจึงนำมากำหนดเป็นกลยุทธ์ในการปฏิบัติ (Implement Strategy) ซึ่งจะนำมาจาก การออกแบบของระบบกับองค์กร และวิธีการปฏิบัติสุดท้ายคือการประเมินเป้าหมาย (Assess Performance) ที่มาจากการกำหนดข้อที่จะประเมินผลงาน โดยมีความจำเป็นที่จะต้องสอดคล้องกับการกำหนดวิธีการปฏิบัติหรือยุทธวิธีในข้างต้น
การดำเนินกิจการต่างๆ ด้านธุรกิจซึ่งต้องมีการวางแผนการผลิต การกำหนดราคา การจัดจำหน่าย ตลอดจนการดำเนินกิจการทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการ และบริการให้แก่ผู้ซื้อหรือผู้บริโภคพอใจทั้งในเรื่องราคาและบริการ ซึ่งแยกกล่าวได้ดังนี้
1.ตัวแปรทางการตลาด
ตัวแปรทางการตลาด จากความหมายทางการตลาดจะพบว่า นักการตลาดจะเป็นบุคคลที่เข้ามาบริหารกิจกรรมทางการตลาดตั้งแต่เริ่มวางแผนจนกระทั่งนำแผนเหล่านั่นไปปฏิบัติในการวางแผนทางการตลาดนั่น นักการตลาดต้องคำนึงถึงตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลของความสำเร็จของแผนการตลาดนั่นๆ ได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.1 ตัวแปรควบคุมได้ (Controllbale Variables)
เป็นตัวแปรทางการตลาดที่นักการตลาดสามารถควมคุมได้ ประกอบไปด้วยส่วนประสมทางการตลาด 4 ประเภท หรือที่เรียกว่า 4P's ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ราคา การจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด
1.2ตัวแปรควมคุมไม่ได้ (Uncontrollable Variable)รทางการตลาดที่นักการตลาด
ควบคุมไม่ได้ แต่นักการตลาดจะต้องปรับแผนงานการตลาดให้เหมาะสมสอดคล้องกับตัวแปรเหล่านี้ ได้แก่สภาวะแวดล้อมทางวัฒนธรรมและสังคม สภาวะด้านประชากร ด้านการแข่งขัน เศรษฐกิจและเทคโนโลยี ตลอดจน การเมืองและกฎหมาย
ตัวแปรทางการตลาด ประกอบด้วย
1. ความต้องการของผู้บริโภค
2. คู่แข่งขัน
ประเภทของตลาด แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ตลาดผู้บริโภค (Consumer Market)
2. ตลาดอุตสาหกรรม (Industrial Market)
ลักษณะของตลาด
1. ตลาดแข่งขันสมบูรณ์
2. ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด
3. ตลาดผู้ขายน้อยราย
4. ตลาดผูกขาด
ลักษณะของการวิเคราะห์ตลาด
การวิเคราะห์ตลาดทั้งในตลาดผู้บริโภคและตลาดอุตสาหกรรม ล้วนแต่เป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับคนซึ่งเป็นผู้บริโภคทั้งสิ้น โดยลูกค้าอาจจะอยู่ในรูปของผู้ซื้อรายบุคคล ครอบครัว กลุ่มบุคคล องค์การหรือสถานที่ซื้อสินค้า และบริการนักการตลาดจึงต้องศึกษาและวิเคราะห์ตลาดเพื่อให้ทราบถึงลักษณะของลูกค้าในด้านต่างๆ ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา อาชีพและสถานภาพทาเศรษฐกิจ ความชอบ แรงจูงใจ พฤติกรรมการซื้อ เพื่อศึกษาถึงความเหมือนและแตกต่างกันของผู้บริโภค และนำข้อมูลนั่นไปปรับปรุงสินค้าและบริการของกิจการ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้นักการตลาดจะช่วยทำนายทิศทางของตลาดบนพื้นฐาน ปัจจัยทางการเงินและสังคมวัฒนธรรม เช่น ทำเล รูปแบบการใช้ชีวิตแนวโน้ม ภูมิประเทศ วัฒนธรรม แลอื่นๆ นักวิเคราะห์ตลาดจะสืบค้น ถึงขนาดและองค์ประกอบของตลาดอย่างเป็นระบบ โดยการดูที่สภาพแวดล้อมของตลาดปัจจัยอื่นๆ ทุกตัวที่มีผลกระทบกับตลาด
2.2 กระบวนการแปรรูป
ลวดลาย หมายถึง ลายเส้นและสีสันที่มีการประดิษฐ์สร้างสรรค์ให้เกิดคุณค่าทางความงาม และนำไปใช้ประดับตกแต่งในงานศิลปะประเภทต่างๆ ทั้งในงานทัศนศิลป์ ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม และงานศิลปะประยุกต์เช่น ออกแบบผลิตภัณฑ์ ออกแบบตกแต่ง ออกแบบนิเทศศิลป์ และออกแบบพาณิชยศิลป์
รูปแบบลวดลายในธรรมชาติของพืช สัตว์ แมลง ปรากฏการณ์จากธรรมชาติเหล่านี้ เป็นสิ่งบันดาลใจให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการที่หลากหลายไม่มีที่สิ้นสุดต่อไปนี่เป็นรูปแบบลวดลายในธรรมชาติที่เราไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเองได้แต่มันก็เกิดขึ้นจากธรรมชาติจริงๆ
1. ลวดลายในพืช ได้แก่ ลวดลายในดอกไม้ ลวดลายในใบไม้ ลวดลายในเปลือกไม้
2. ลวดลายในแมลง ได้แก่ ลวดลายในปีก ส่วนหัว ดวงตา และลำตัวของแมลง เป็นต้น
3. ลวดลายในสัตว์ ได้แก่ ลวดลายในตัวสัตว์ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ และสัตว์เลื้อยคลาน
4. ลวดลายที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฝนตก ลวดลายของพื้นดินแตกระแหง เป็นต้น
5. ลวดลายจากรูปทรงเรขาคณิต ได้แก่ ลวดลายรูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ครึ่งวงกลม เป็นต้น
6. ลวดลายในพาณิชยศิลป์ ปรากฏในงานโฆษณาหลายรูปแบบ มีทั้งที่ประกอบในตัวผลิตภัณฑ์สินค้า เครื่องหมาย การค้า
ลวดลายประกอบตัวอักษร ลวดลายปรากฏในแผ่นภาพส่วนที่เป็นพื้นฉากไม่ว่าส่วนใดก็ตามจะต้องจัดวางตำแหน่งให้ถูกต้องตามหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์
อ้างอิง https://sites.google.com/site/prawoaraya/lwdlay-pattern
2. ลวดลายแบบไทยประยุกต์
อ่านว่า ลองกอย ภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ ที่แปลว่า 'ลองดู ลองทำดู' ออกคอลเลคชันแรกมารันวงการผ้าไทยได้เท่ระเบิด ด้วยลวดลายเอกลักษณ์ของล้านนา ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรยึกยือแต่มากด้วยเสน่ห์ หรือ ลายเส้นอ่อนช้อยของดอกไม้มงคลที่ดัดแปลงมาจากดอกไม้ในจิตรกรรมฝาผนังของวัดทั่วเมืองเชียงใหม่ ถ่ายทอดลักษณะนิสัยของคนเหนือ ลงบนผ้าทอมือสีน้ำเงินเข้มจากต้นครามธรรมชาติเป็นครั้งแรก
เทคนิคพ่นแอร์บรัชผสมด่างทับทิม ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ทรงเสื้อม่อฮ่อม กางเกงเล ถูกออกแบบและผสมผสานกิโมโนเข้าไปให้เข้ากับยุคสมัย ผ่านคัตติ้งและการตัดเย็บที่เนี๊ยบเเละเท่ร่วมสมัยในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าลวดลายแต่ละตัวเป็นงานแฮนด์เมดทำมือ ลายไม่ซ้ำกัน ด้วยเทคนิคการพ่นแอร์บรัชบรรจุด่างทับทิมลงบนบล็อกอะคริลิกใส เพื่อสร้างลวดลายร่วมสมัยได้อย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นล้วนมีอิสระในการดีไซน์ เป็นงานแฮนด์คราฟต์ล้วน ๆ ที่ชาวบ้านทุกคนลงมือปัก ร่วมพัฒนาลวดลายด้วยกัน ออกมาเป็นผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ เสื้อผ้าซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งสองด้าน แฝงความน่ารักอ่อนหวาน ซ่อนความเป็นธรรมชาติไว้ทุกฝีเข็ม สีที่นิยมใช้ย้อมผ้า คือ สีครามและสีฟ้าจากต้นคราม
https://www.bkkmenu.com/eat/stories/fashion-thai-style.html
1) ผลิตภัณฑ์ผ้าหม้อห้อม
ปัจจุบันการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์หม้อห้อมมีหลากหลาย โดยการปรับวิธีการและ
เทคนิคในการผลิต เพื่อปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการใช้งานและยุคสมัยมี 3 รูปแบบคือ
1.1 หม้อห้อมที่ย้อมจากสีธรรมชาติ
1.2 หม้อห้อมสังเคราะห์ มีทั้งการใช้ผ้าย้อมสีครามมาจากโรงงานหรือการนำผ้าดิบมาย้อมเอง มีการย้อมแบบบาติค โดยผ่านกรรมวิธีฟอกป้องกันการตกสี
1.3 หม้อห้อมที่นำเนื้อผ้าทั้งสองแบบมาใช้ผสมผสานกัน เป็นการให้บริการให้กับลูกค้าเลือกได้ตามรสนิยม ตามโอกาสแห่งการใช้สอย
2) การออกแบบตกแต่งผ้าหม้อห้อมเพื่อให้ลูกค้าได้เลือกตามรสนิยมและโอกาสในการใช้รวม
ไปถึง การใช้ลวดลายเทคนิคการทอ การเพ้นท์ลาย การมัดย้อม การจุ่มย้อม เพื่อให้เป็นไปตามยุคสมัยและความต้องการของผู้บริโภค
2.1 การมัดย้อม
2.1.1 นำผ้าที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วมามัดลายเพื่อให้ได้ตามความต้องการหรือแบบที่กำหนดไว้
2.1.2 นำผ้าที่มัดลายเรียบร้อยแล้วไปย้อมในน้ำครามที่เตรียมไว้
2.1.3 นำผ้าที่ย้อมแล้วแกะอุปกรณ์ที่มีดออกและนำไปซัก จากนั้นนำไปตากแดดให้แห้ง
2.2 การเขียนเทียนแบบลายหม้อห้อม
2.2.1 ผ้าถุงหม้อห้อมพิมพ์เทียนบาติค
2.2.2 ผ้าถุงหม้อห้อมแท้พิมพ์ลายบาติค
2.2.3 เสื้อหม้อห้อมพิมพ์ลายบาติค
2.2.4 ชุดเสื้อผ้าหม้อห้อมพิมพ์ลายต่างๆ
2.3 กระบวนการขาย
จุดเริ่มต้นของกระบวนการขายคือ การสรรหาผู้มุ่งหวัง ซึ่งอาจเป็นบุคคลหรือองค์กรธุรกิจก็ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการดังนั้นนักขายจำเป็นต้องการศึกษาด้วยว่า ความต้องการของผู้มุ่งหวังคืออะไร นั่นคือ การศึกษาพฤติกรรมของผู้มุ่งหวัง เมื่อจะซื่อสินค้าหรือบริการจะต้องผ่านขั้นตอน 5 ขั้นตอนคือ
1. การกระตุ้นความต้องการและการรับรู้ความต้องการ
2. การแสวงหาข้อมูล
3. การประเมินพฤติกรรม
4. การตัดสินใจ
5. ความรู้สึกหลังดารซื้อ
ขั้นตอนของกระบวนการขาย
1. การแสวงหาผู้มุ่งหวัง
2. การเตรียมตัวก่อนเข้าพอลูกค้า
3. การเข้าพบลูกค้า
4. การเสนอขาย
5. การจัดการกับข้อโต้แย้งหรือการขจัดข้อโต้แย้ง
6. การปิดการขาย
7. การติดตามผล และบริการหลังการขาย
ลักษณะและคุณสมบัติของนักขาย
นักขายเป็นผู้ที่จะต้องทำการเสนอขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้มุ่งหวัง ซึ่งความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการขายขึ้นอยู่กับความพึงพอใจและการตกลงในซื้อของผู้มุ่งหวัง เพราะบางครั้งการตัดสินใจซื้อของผู้มุ่งหวังไม่ได้มาจากคุณภาพของสินค้าหรือบริการแต่อาจเกิดจากความพอใจ เพื่อความสำเร็จในการขายนักขายควรปฏิบัติ ดังนี้
1. ต้องมีความพร้อมสำหรับการเป็นนักขาย ในการเตรียมตัวเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จในการขาย
2. ต้องมีความเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดีและความเป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ ทั้งนี้เพราะการขายสินค้าหรือบริการของนักขายนั้นต้องขายให้ลูกค้า
3. ต้องเป็นผู้ที่สามารถสร้างบรรยากาศแบบมิตรภาพในการขายสินค้าหรือบริการ เช่น การแต่งการสุภาพ ยิ้มแย้มแจ่มใส เพื่อสร้างความประทับใจ
4. ต้องมีความสามารถการใช้คำพูด เพราะอาชีพของนักขายจำเป็นต้องมีศิลปะในการพูด และต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดคำพูดในเชิงลบหรือดูถูกลูกค้า
5. ต้องมีความสามารถในการพูดให้ลูกค้าเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ลูกค้าจำได้รับและพูดให้ตรงประเด็นที่ลูกค้าต้องการ
6. ต้องสามารถสร้างผลงานขายได้ตามเป้าหมายตนเองและเป้าหมายของกิจการด้วย
7. ต้องยกระดับฐานะและความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้น รวมทั้งได้รับการเลื่อนตำแหน่งกน้าที่ความรับผิดชอบที่สูงขึ้นจากกิจการ
2.4 กระบวนการแพคเก็จจิ้ง
สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการอาจคิดไม่ถึง นั่นก็คือ Packaging สามารถทำการตลาดแทนเราได้ สื่อสารแทนเราได้ และมีประโยชน์อีกมากมาย เพราะบรรจุภัณฑ์คือการใช้แนวคิดสร้างสรรค์ เพื่อออกแบบวัสดุที่นำมาใช้บรรจุสินค้าให้มีความเหมาะสมกับสินค้าที่เราผลิตขึ้นมา สะดวกต่อการเก็บรักษาและขนส่ง เรามาดูประโยชน์ของ Packaging
1.ปกป้องและป้องกัน (Protect)
สินค้าภายในบรรจุภัณฑ์เราจำเป็นต้องมีแพคเกจจิ้งที่ดี สามารถปกป้องสินค้าที่อยู่ภายในไม่ให้เกิดความชำรุด เสียหาย และทำให้สินค้าภายในคงสภาพเดิมมากที่สุด เสียหายน้อยที่สุด
2.สื่อสารและให้ข้อมูล (Inform)
ข้อมูลที่ชัดเจน เด่นชัด จะช่วยให้เป็นหนึ่งในช่องทางการตัดสินใจของผู้บริโภคมากขึ้น เช่น ชื่อสินค้า ผลิตจากที่ใด ส่วนประกอบ วันหมดอายุ ข้อมูลทางด้านโภชนาการ เป็นต้น
3.ดึงดูดความสนใจ (Consumer Appeal)
สินค้าชนิดใหม่นั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา การที่จะทำให้สินค้าโดดเด่นและหยิบจับสินค้าของเรานั้น แพคเกจจิ้งนั้นมีอิทธิพลอย่างมหาศาล เพราะถ้าแพคเกจจิ้งสวยงาม ก็อาจเป็นแรงดึงดูดใจให้ซื้อได้ ตัวอย่างเช่น วัสดุ รูปร่าง ขนาด และที่สำคัญต้องดีและมีคุณภาพเพื่อเกิดการใช้ซ้ำและบอกต่อ
4.เพิ่มกำไร (Profit) และสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added)
นอกจากการทำหน้าที่ปกป้องสินค้าให้คงอยู่สภาพเดิมจากโรงงานแล้ว อีกหนึ่งสิ่งนั่นก็คือสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเราได้ บางครั้งการสร้างเอกลักาณ์ให้กับสินค้า แพคเกจจิ้งสวยก็อาจทำให้ลูกค้าไม่ได้สนใจว่าข้างในนั้นเป็นสินค้าอะไรแต่ซื้อเพราะแพคเกจจิ้ง และสามารถนำไปเป็นของฝากได้ สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าแพคเกจจิ้งก็ช่วยเพิ่มกำไรให้เราได้เช่นกัน
5.โปรโมชั่น (Promotion)
ข้อนี้เป็นข้อดีของการตลาด เพราะแพคเกจจิ้งสวยสามารถถูกสร้างขึ้นตามเทศกาล หรือวันสำคัญได้ เช่นวันปีใหม่ วันสงกรานต์ โดยอาจจัดเป็นรวมสินค้าหลายๆ ชนิดเข้าด้วยกันและสร้างแพคเกจจิ้งขึ้นเพื่อให้ดึงดูดใจ มอบส่วนลด และสร้างยอดขายให้สูงขึ้นในแต่ละเทศกาล