การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์หม้อห้อมเมืองแพร่
ทักษะการนำผ้าหม้อห้อมมาออกแบบ และพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์
วิสาหกิจชุมชนหม้อห้อมทุ่งเจริญย้อมสีธรรมชาติบ้านเลขที่ 291 หมู่ที่ 5 ตำบลทุ้งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ 54000 โทร. 089 – 8513048
การรวมกลุ่มของคนในชุมชนประกอบการเพื่อการจัดการกองทุนของชุมชนอย่างสร้างสรรค์ โดยคนในชุมชนเพื่อตอบสนองการพึ่งพาตนเองและความพอเพียงของครอบครัวและชุมชน เกิดจากทุนของชุมชน ซึ่งมีทั้งทุนที่เน้นทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ทุนที่เป็นผลผลิต ทุนความรู้ภูมิปัญญา ทักษะต่างๆ ประเพณีวัฒนธรรม คน ความเป็นพี่น้อง ความไว้ใจของชุมชนและทุนเงินตรา จึงได้จัดตั้งเป็นกลุ่ม วิสาหกิจชุมชนหม้อห้อมทุ่งเจริญย้อมสีธรรมชาติเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2548 และได้รับการจดทะเบียนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2548 มีสมาชิกเริ่มจัดตั้งจำนวน 7 คน ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 25 คน มีที่ทำการอยู่บ้านเลขที่ 291 หมู่ที่ 5 ตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ สมาชิกส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพทำผ้าหม้อห้อมที่ผลิตมาจากโรงงาน ปัจจุบันได้นำเอาภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษของคนพวนบ้านทุ่งโฮ้ง ที่ถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่นในการทำผ้าหม้อห้อมสีธรรมชาติ ซึ่งได้จากธรรมชาติเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้านในการทำหัตถกรรมสิ่งทอย้อมสีห้อมธรรมชาติ เป็นการพัฒนาผ้าหม้อห้อมให้ไปสู่สากล และรักษาความเป็นอัตลักษณ์ของผ้าหม้อห้อมให้ยั่งยืน และสืบทอดต่อไป
แนวทางการพัฒนาพัฒนาทักษะอาชีพ(กรณีตัวอย่าง)
ปี พ.ศ. 2538นายวุฒิไกร ผาทอง เริ่มคิดทำมาหากินด้วยเรื่องหม้อห้อมแทนธุรกิจที่เคยทำ เหตุที่เลือกตั้งต้นใหม่ด้วยหม้อห้อมเพราะคิดว่าเป็นของเมืองแพร่และชอบใส่เสื้อแบบกุยเฮงผูกเชือก (ด้วยเหตุผลเดียวกัน) ทั้งยังเคยเอาเสื้อหม้อห้อมขายแล้วสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย(2523) จึงคิดว่าไม่น่าจะยากแต่เมื่อลองด้วยวิธีนำสินค้าคนอื่นมาเริ่มวางขาย ก็พบว่าทำเลที่ตั้งร้านแก้ววรรณานั้น อยู่นอกพื้นที่ผ้าหม้อห้อม ไม่มีใครคิดว่ามีหม้อห้อมขายนอกพื้นที่เวียงทอง ทุ่งโฮ้ง หรือ พระหลวง เราจึงไม่มีลูกค้าที่จะมาอุดหนุน ดังนั้น ถ้าจะให้น่าสนใจสินค้าแก้ววรรณาต้องแปลกกว่าใครเขารายอื่น ความคิดลงตัวด้วย “คำว่าหม้อห้อมดั้งเดิม” ที่ขณะนั้นในเมืองแพร่เหลือไว้เพียงเรื่องเล่าพากันใช้ครามกระป๋องครามเกร็ด จนผู้คนแทบจะไม่รู้จักต้นห้อมต้นคราม แม้ว่าเมืองแพร่จะมีชื่อเสียงด้านหม้อห้อมมาร่วมครึ่งศตวรรต
กระบวนการของกิจการแก้ววรรณาตั้งต้นด้วยหนึ่งกิ่งครามจากป้าเหลือง ทองสุข ในปี 2541ได้เม็ดมาลองปลูก ปี 2542ได้กิ่งห้อมจากอาจารย์แพททริเซีย แน่นหนา บ้านช่างเคี่ยน เชียงใหม่ ต่อมา พี่จิ๋ว ประไพพันธ์ จันทร์เพ็งเพ็ญ แห่งร้านฑีตาที่มีชื่อเสียง เป็นครูคนสำคัญที่ย้ำเตือนแนวคิดว่า ยังไม่มีใครรวยด้วยการทำหม้อห้อมธรรมชาติ เธอชวนให้ไปรู้จักยายฑีตา ได้ชิมหม้อห้อมก็ตอนนั้น ได้รู้จักเรื่องครามมากขึ้นจากงานสัมมนาแม่ครูทำผ้าย้อมครามของอาจารย์อนุรัตน์ สายทอง มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร ซึ่งงานนี้มีทั้งแม่ครูภูมิปัญญา นักวิชาการ และ เอ็นจีโอที่ส่งเสริมเรื่องผ้าย้อมคราม
ร้านแก้ววรรณา เรียนรู้เรื่องหม้อห้อมพร้อมกับการส่งฝ้ายไปย้อม ซึ่งใช้คนย้อมจากหลายหมู่บ้านพี่ลัดดา (และแม่ใหญ่นวล) บ้านแม่ยางเปี้ยว ป้าคำมูล จันทิ บ้านร้องเข็ม ยายน้อย กาบแก้ว บ้านน้ำเลา เอาฝ้ายไปให้ย้อม แล้วเก็บเอามาให้คนทอ ได้พูด ได้คุย ได้ญาติ ยายน้อยแกแบ่งเอา “เหล็กในปั่นฝ้าย มาให้ใช้ เอาฝ้ายไปทอที่ป้าพิน (บ้านต้นห้า ตำบลป่าแมตอำเภอเมืองแพร่) ไย้แต่ง (บ้านตอนิมิตร อำเภอสูงเม่น) กลุ่มทอบ้านใหม่จัดสรร ร้องเข็ม (อำเภอร้องกวาง) และมาตั้งกลุ่มคนทอบ้านหนองน้ำรัด (อำเภอหนองม่วงไข่) พยายามส่งโครงการเพื่อขอทุนวิจัยจากบางหน่วยงาน แต่กลายเป็น อบจ. สนใจ และในที่สุดทุนนั้นไปส่งเสริมให้กับกลุ่มทอผ้าบ้านสบสาย (อำเภอสูงเม่น)ลองปลูกคราม ปลูกห้อม ลองตีครามตีห้อม ลองตั้งหม้อห้อมก็ยังทำไม่ได้ ลองไปเอาเนื้อครามมาจากสกลนครให้คนย้อมทั้งสามคนทำก็ไม่ได้เอาน้ำเชื้อครามจากพี่จิ๋วก็ยังทำไม่ได้ พยอม คนที่เคยทำงานด้วยกันที่บริษัทเก่าอาสามาดูแลหม้อห้อมที่จะต้องโจกเติมออกซิเจนทุกวันจึงจะไม่ตาย ปี 2543วันที่ 28ธันวาคม พยอม และ ไย้สน ลองก่อหม้อด้วยตัวเอง จากนั้นเราจึงไปขอซื้อโอ่งหม้อห้อมมาจากพี่คนอง บ้านวังหลวง ในช่วงต้นปี 2544เอามาทำก็สามวันดีสี่วันหาย ปี 2545ไปสกลนครบ้านถ้ำเต่าซื้อคราม มา 150กก. ขึ้นไปบ้านนาตองขอให้เขาปลูกห้อมให้ ปี 2546ขับรถเอาครามมาจากสกลนคร 1,000กก. โดยขอให้พี่จิ๋วรวบรวมให้กว่าหม้อห้อมจะอยู่ตัวก็ปี 2547เพราะเปลือกมะริดไม้ที่ได้จากบ้านสายหยุดเวียงทอง ตั้งแต่ปี 2545ก็เริ่มเขียนบทความถึงเรื่องที่ตนทำลงวารสารหอการค้าแพร่ พร้อมๆกับเผยแพร่ความคิดในเวทีประชุมต่าง ๆ เพื่อสร้างความตระหนักต่อสาธารณะ
ตั้งแต่ปี 2546กระแสผ้าหม้อห้อมเข้มข้นมากขึ้น รัฐบาลส่งเสริมเรื่องโอทอป เมืองแพร่เราหยิบเรื่องหม้อห้อมมาเป็นตัวนำ หน่วยงานราชการสนใจกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมก่อตั้งคลัสเตอร์หม้อห้อมจังหวัดแพร่ แก้ววรรณาได้ร่วมโครงการศึกษาศักยภาพผ้าหม้อห้อมเพื่อการส่งออก ของกรมส่งเสริมการส่งออก ที่พาผู้เชี่ยวชาญชาวอิตาลีมาแนะนำ แนะแนวถึงที่ รวมทั้งพานายวุฒิไกร ได้ไปดูงานที่มิลาน ประเทศอิตาลี (ร่วมกับอีก 2 กิจการจากเชียงใหม่ และ พี่จิ๋ว ) ที่จังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีการอบรมพัฒนาแนวคิด พัฒนาผลิตภัณฑ์ การดูงาน การออกร้านที่โอทอปซิตี้ งานแสดงสินค้าต่างๆ ทำให้รู้จักกันมากขึ้น ทั้งคนหม้อห้อม คนโอทอป แก้ววรรณาได้ไปออกร้านที่เมืองเฉิงตูกับกลุ่มด้วย เป็นครั้งที่สองที่ออกร้านนอกประเทศ ส่วนครั้งแรกนั้นไปกับเพื่อนที่ประเทศฮ่องกง ซึ่งทั้งสองครั้งถือว่าไปเรียนรู้นำการไปเที่ยวไม่ได้หวังเรื่องยอดขาย ในปี 2548 - 2549ได้ทดลองทำสวนเบิก(บ้างก็เรียก ห้อมเครือ หรือครามเถา) ที่ไร่ผาทองวังชิ้นพาสมาชิกคลัสเตอร์ไปเรียนรู้การทำเนื้อครามจากต้นเบิกประมาณ 10ปิ้บ แล้วก็หยุดไปเพราะค่าแรงงานสูง
ผ้าคลุมไหล่หม้อห้อม : มรดกวัฒนธรรมที่ได้ปรับรูปแบบไห้ใช้ได้ร่วมสมัย
ตั้งแต่ ปี 2544 เป็นต้นมา นายวุฒิไกร ได้รู้จักกับหลายหลากองค์กรทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคพัฒนา ภาควัฒนธรรมเข้าร่วมก่อตั้งเครือข่ายคนแป้ ที่เป็นการรวมกลุ่มแกนนำชาวบ้านส่งเสริมให้ตั้งองค์กรภาคประชาชน ต่อมาก็มีข่ายลูกหลานเมืองแพร่ ที่ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ชุมชนเราถือว่าหม้อห้อมเป็นมรดกวัฒนธรรมที่ควรให้ผู้คนได้ตระหนัก จนรู้จักมักคุ้นกับทีมงานสปาฟา (ศูนย์โบราณคดีและวิจิตรศิลป์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ที่เป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญ ชักนำให้รู้จักกับคนทำงานด้านวัฒนธรรมประเทศต่างๆ และหนึ่งในทีม คือ น้อย วาสนา เกิดสุภาพถึงกับช่วยด้วยการไปตั้งร้าน “ผักกาดแก้ว” ในเจเจมอลล์ ตลาดนัดจตุจักร เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่าย ในปี 2542 (เมื่อ 28ก.พ. 2544ยังคุยกันว่า ร้านก็ไม่ได้เงินทองพอค่าเหนื่อยหรอกแต่ถ้าไม่ขาย ผู้เฒ่าผู้แก่กลุ่มทอผ้าบ้านหนองน้ำรัดก็จะไม่มีรายได้และถ้าหมดรุ่นนี้แล้วใครจะทอให้)การได้ลูกค้าของแก้ววรรณานั้น ในเบื้องต้นลูกค้าจะสดุดตาเพราะสีสันที่ไม่เหมือนหม้อห้อมรายอื่นที่ออกร้านด้วยกันในงานเมืองทอง พอเข้ามาคุยกัน ก็จะทราบเรื่องราวที่มีประเด็นเรื่องมรดกวัฒนธรรม เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่องปลอดสารสังเคราะห์ เพราะใช้วิถีธรรมชาติล้วน ๆ ทั้งย้อมธรรมชาติ และ ฟอกล้างด้วยน้ำผลไม้หมักเอง เมื่อได้ใช้แล้วก็ติดใจในความนุ่มของเนื้อผ้า วางใจในความปลอดภัยจากพิษภัยของเคมีสิ่งทอ แล้วลูกค้าก็จะซื้อหาไปเป็นของฝากคนที่สนิทชิดเชื้อจริง ๆ เท่านั้นเพราะสินค้าราคาสูง
ลูกค้าบางส่วนติดใจเรื่องราวและตัวตนของ “พยอม” คนย้อมผ้าที่มีแต่ใจรัก ผู้ไม่ได้มีบรรพบุรุษที่ประกอบอาชีพทางหม้อห้อมด้วยตระหนักว่าคนทอเราทำได้เพียงการทอลายขัด 2ตะกอ แต่ทางร้านมีความหลากหลายของลวดลาย เรามีช่างตัดเย็บที่สนุกกับการเย็บมือ เราจึงส่ง “เสื้อตัดปะ ผ้าหม้อห้อมธรรมชาติ” เข้าคัดสรรผลิตภัณฑ์โอทอป และได้รับ 4ดาว ในปี 2542 - 2553 (ในปี 25474ดาว จาก ผ้าคลุมไหล่) และ คิดค้นวิธีการสกรีนลายด้วยหม้อห้อมธรรมชาติ