ประวัติศาสตร์ไทย
ฉบับตุรแปง

ประวัติศาสตร์ไทยฉบับตุรแปง


เหตุการณ์ช่วงก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกถึงสมัยต้นกรุงธนบุรีนั้น ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง
ชื่อนายฟรังซัว อังรี ตุรแปง (Turpin) ได้รวบรวมเรื่องประวัติศาสตร์ประเทศไทยไว้ตามข้อมูลที่ได้รับจากบาทหลวงบรีโกต์
ซึ่งเป็นสังฆราช แห่งตาบรากา(Bishop of Tabraca) ประมุขมิสซังกรุงสยาม ที่เคยอยู่กรุงสยามหลายปี
เมื่อกรุงแตกบาทหลวงบรีโกต์ ถูกพม่าจับตัวไปที่บางช้าง แล้วพาไปเมืองทวาย ต่อจากนั้นกัปตันเรือชาวอังกฤษ
ชื่อรีเวียร์ พาไปถึงเมืองย่างกุ้งประเทศพม่าเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๑๐( ค.ศ. 1767)
บาทหลวงบรีโกต์ได้รับการปล่อยตัวจากย่างกุ้งเดินทางมาเมืองปอนดิเชอรี่ เมื่อ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๓๑๑( ค.ศ.1768)
แล้วได้เดินทางกลับไปปารีส ตุรแปง เขียนบันทึกดังกล่าวเป็นหนังสือภาษาฝรั่งเศส ๒ เล่ม
ชื่อ “Histoire du Royaume de Siam” พิมพ์ที่กรุงปารีสในปี พ.ศ. ๒๓๑๔( ค.ศ. 1771) หนังสือนี้
กรมศิลปากรได้ให้นายปอล ซาเวียร์ แปลเล่มที่ ๑ และพิมพ์เป็นภาษาไทยในปี ๒๕๓๙
ชื่อ “ประวัติศาสตร์แห่งพระราชอาณาจักรสยาม” ส่วนเล่มที่สอง กรมศิลปากรให้นางสมศรี เอี่ยมธรรม
แปลเป็นภาษาไทยจากฉบับภาษาอังกฤษ ใช้ชื่อว่า “ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาฉบับตุรแปง”
พิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๒


ตุรแปง ได้บันทึกเรื่องเกี่ยวกับสยามไว้อย่างละเอียด สรุปได้ ดังนี้


นิสัยใจคอของชาวสยาม



ชาวสยามเป็นคนพากพูมใจในชาติและรักขนบธรรมเนียมอย่างเหนียวแน่น มีกิริยามารยาท อ่อนโยนสุภาพ
มีเมตตา ซ่อนความรู้สึก ไม่ชอบพูดมาก มัธยัสถ์ ไม่ชอบหรูหราฟุ่มเฟือย ไม่เห็นแก่ตัว มีความรู้จักพอ
ไม่ติดใจอยากได้สมบัติสิ่งของต่างๆ เหมือนคนยุโรป แต่ของที่มีอยู่จะรักษาอย่างหวงแหน
ชอบฝังสมบัติมากกว่าจะนำออกมาใช้ นับถืออาวุโส เคารพพ่อแม่ คำสบประมาทของชาวสยามที่เจ็บแสบที่สุด
คือ เป็นคนขี้ปด


จุดอ่อนของชาวสยามคือเป็นคนเฉื่อยชาเกียจคร้าน อันแก้ไม่หาย ย่อท้อ ไม่ชอบทำอะไรที่ลำบากยากเย็น
ไม่ชอบทำของยาก ไม่ยินดียินร้าย ไม่ลุกลี้ลุกลน ไม่ออกกำลังบริหารร่างกายเพราะทำให้เหน็ดเหนื่อย
ชาวสยามเป็นศัตรูกับความเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบาก ดูเหมือนจะมีชีวิตอยู่เพื่อจะกินและสืบเผ่าพันธุ์เท่านั้น
คนสยามมักจะเหลาะแหละไม่ยอมรับหลักการและผลที่เกิดจากหลักการ จิตใจไม่ค่อยได้รับการฝึกฝน
จึงไม่เคยแยกว่าอะไรดีและอะไรดีที่สุด แล้วก็ประพฤติโดยไม่นึกจะคิดไตร่ตรองหาเหตุผล
มักเป็นนายที่แข็งกระด้างไม่ค่อยรู้วิธีบังคับบัญชาคน


ชาวสยามมีความเจ็บแค้นสูงเมื่ออับอาย บ้าคลั่งอย่างไม่รู้จักชั่งใจเมื่อโมโห บางครั้งโหดเหี้ยมทารุณ
ทำร้ายกันถึงตาย โดยเฉพาะวิธีประหารชีวิตของสยามแบบต่าง ๆ นั้นสยดสยองทรมานยิ่ง การปฏิวัติที่มีบ่อย ๆ
ทำให้คนมั่งมีหลายคนถูกริบทรัพย์จนหมดตัว


คนสยาม มักยอมอ่อนน้อมต่อผู้อยู่เหนือกว่า แต่จะหยิ่งดูหมิ่นคนที่ต่ำกว่าและคนที่แสดงความยกย่องเขา
บางคนช่างพูดอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม อ้างเหตุผลผิดๆมาตบตาคน เชื่อถือไสยศาสตร์ โชคลาง หมอดู เข้าทรงและคาถาอาคม


ครอบครัว


สตรีสยามมีความเหนียมอายสงบเสงี่ยม ผู้หญิงสยามทำงานหนัก ทำไร่ไถนาตัดไม้และเก็บเกี่ยวข้าว
ขณะที่ผู้ชายชาวสยามบางคนนอนซึมอยู่บนที่นอน ผู้ชายสยามชอบมีภรรยาหลายคน


โรคภัยไข้เจ็บ


ชาวสยามไม่รู้จักปลูกฝีฉีดยา หลายคนมีแผลบนใบหน้าซึ่งเกิดจากฝีดาษ กามโรคยังไม่เป็นที่รู้จักกันในสยาม
ยังไม่รู้จักการผ่าตัด ชอบใช้การนวดในการรักษาโรค มีการใช้ปูที่กลายเป็นหินนำไปตำละลายกับเหล้าเพื่อรักษาโรคบิด


อาหารการกิน


คนสยาม กินอึ่งอ่าง คางคก หนูนา ไข่เหี้ย ตั๊กแตน หนู กิ้งก่า ตับปลากระเบน ตะขาบปิ้ง และแมลงทุกชนิด
ชอบสูบยาฉุน และชอบ กินหมากทำให้ฟันดำ ลิ้นชาวสยามนั้นหยาบ สามารถกินปลาเน่าหรือไข่เสียตายโคมได้
ชาวสยามไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ แต่ชอบกินใส้สัตว์ มีการทำปูจ๋า โดยเอาเนื้อปูมาสับกับกระเทียมใส่ในกระดองปู
แล้วนำไปทอด


ที่พักอาศัย และการแต่งกาย


ชาวสยามชอบตั้งบ้านเรือนเฉพาะอยู่ริมน้ำ ส่วนที่ห่างแม่น้ำลำคลองจะมีคนอาศัยอยู่น้อย ชอบเดินทางและ
ขนส่งด้วยเรือในแม่น้ำลำคลองมากกว่ารถม้า ไม่ชอบสร้างเมืองชายทะเล ไม่ชำนาญเดินเรือทะเล ไม่รู้ดาราศาสตร์
ใช้ดาราศาสตร์เพื่อทำนายโชคชะตา ในท้องนามีการทำหุ่นฟางไล่นกมีใบพัดเกิดเสียง และเคาะแผ่นโลหะ
เพื่อไล่นกที่มากินข้าวในนา บ้านชาวสยามสะอาดสวยงาม ฝาบ้านทำด้วยไม้ไผ่ขัดแตะยกพื้นสูงเพื่อหนีน้ำท่วม
มุงหลังคาด้วยใบไม้ใบหญ้า บางบ้านทำด้วยไม้ฝากระดาน ซึ่งต่อชิ้นส่วนเข้าด้วยกันทั้งหลังได้โดยไม่ต้อง
ใช้ตะปูสักตัวเดียว ชาวสยามนอนบนเสื่อ ไม่มีเตียง ตู้ เก้าอี้ หรือภาพวาด ชาวสยาม ส่วนใหญ่นุ่งผ้าสีไม่ใส่เสื้อ
นุ่งผ้าขาวม้าอาบน้ำ ไม่แก้ผ้าอาบน้ำเหมือนชาวยุโรป ฝ่าเท้าหนาเพราะเดินด้วยเท้าเปล่าจนหนามธรรมดาตำไม่เข้า
เด็กแก้ผ้าจนถึงห้าขวบ ข้าราชการใส่เสื้อมัสลินสีขาวไม่มีคอปกสวมหมวกสีขาวยอดแหลม(ลอมพอก)
ทหารใส่เสื้อสีแดง พระเจ้าแผ่นดินทรงฉลองพระองค์ทำด้วยผ้าตาดประดับผ้าลูกไม้จากยุโรป
วังพระเจ้าแผ่นดินสร้างด้วยอิฐ หลังคายอดแหลมมุงด้วยดีบุก พื้นปูด้วยพรมเปอร์เซีย ล้อมด้วยกำแพงอิฐสามชั้น
พระเจ้าแผ่นดินใส่หมวก ใส่รองเท้าปลายแหลมไม่หุ้มส้น ประชาชนไม่เคยเห็นพระเจ้าแผ่นดิน
เพียงการออกพระนามหรือถามถึงพระสุขภาพก็ถือเป็นการลบหลู่พระบรมเดชานุภาพ
ผู้หญิงสยามชอบไว้เล็บยาว


การปกครองท้องที่


พระราชอาณาจักรสยามแบ่งออกเป็นสิบเมืองแต่ละเมืองมีเจ้าเมืองหนึ่งคน คือ
ศรีอยุธยา Supthia บางกอก Bancok พิษณุโลก Porcelon เพชรบุรี Pipli กำแพงเ พชร Campine
ราชบุรี Rappri ตะนาวศรี Tenasserim นครศรีธรรมราช Ligour กาญจนบุรี Cambouri และ
นครราชสีมา Concacema


การป้องกันประเทศ


ทหารสยามไม่ค่อยได้ออกรบ ใจไม่กล้า อ่อนแอ ไม่มีระเบียบวินัย ไม่กล้าฆ่าศัตรู อาวุธไม่ดี ขี่ม้าไม่เก่ง
ใช้ช้างมากกว่าม้า ซึ่งอาจเกิดผลร้ายต่อตนเอง เพราะเมื่อช้างบาดเจ็บอาจบ้าคลั่งทำร้ายควาญของตนแล้วเหยียบให้ตาย ได้
ช้างของพระเจ้าแผ่นดินได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมาก ม้าสยามรูปร่างไม่งดงามพันธุ์ไม่ดี ดังนั้นจึงต้องนำม้า
มาจากต่างประเทศ เช่นปัตตาเวีย ทหารสยามกลัวความเหนื่อยยากในการสงคราม จึงไม่มีความก้าวหน้าในวิชาทหาร
เมื่อออกสนามรบ ทหารจะเอาข้าวใส่กระบุงแบกใส่บ่าไปสำหรับกินได้หนึ่งเดือน ถ้าสงครามมีนานและข้าวหมด
ทหารมักจะตายเพราะหิวข้าวมากกว่าถูกศัตรูฆ่าตาย


การที่มีน้ำท่วม กับการที่มีแม่น้ำตัดกรุงสยามออกเป็นตอน ๆ นั้น เป็นปราการที่มั่นคงที่สุดที่มีไว้
สำหรับรับมือจากการรุกรานจากต่างประเทศ


สยามมีเรือรบใช้พายและใบอยู่ห้าสิบลำ หลายลำผุชำรุด มีปืนใหญ่ที่ไม่มีประสิทธิภาพเพราะขึ้นสนิม
ดินปืนที่สยามทำเองนั้นไม่แรงพอ ต้องซื้อดินปืนจากยุโรป ไม่รู้จักวิชาสร้างป้อมที่ทำให้เมืองมั่นคง
ป้อมปราการที่มีอยู่สร้างตามแบบแปลนของชาวฝรั่งเศส และโปรตุเกส ที่บางกอกมีป้อมสร้างโดยฝรั่งเศส
สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ขณะที่เกิดปฎิวัติในอยุธยาชาวฝรั่งเศสที่ถูกตามสังหารในนครหลวงได้เคยหนีมายังป้อมนี้
เมื่อพม่ายกทัพที่มาตีกรุงศรีอยุธยากลับไป พระยาตากได้เข้ามายึดเมืองบางกอก


มีชาวต่างประเทศมาเป็นทหารรักษาพระองค์ด้วยเช่นกองร้อยชาวตาดTartars และชาวอินเดีย
ซึ่งต้องปลุกความแกล้วกล้าด้วยฝิ่น


สินค้าส่งออก


สินค้าสำคัญของสยามคือ แร่กาลีนา แร่ดีบุก งา ดินประสิวขาว และแท่งตะกั่ว ในสมัยก่อน
การค้าของสยามรุ่งเรืองมาก มีเรือเป็นพัน ๆ ลำจากจีนและยุโรป เข้ามาค้าขาย แต่ปัจจุบันสักสิบลำยังหายาก


การละเล่น


เด็กสยามชอบเล่น ลูกข่าง ลูกหนัง มีการเล่นว่าวผูกตะเกียงขึ้นไปตอนกลางคืนด้วย
ดนตรีสยามมีซอสามสาย ปี่ขลุ่ย กลอง มีการเล่นหุ่นกระบอก สกา หมากรุก ตะกร้อ คนสยามชอบการพนัน ชนไก่
แข่งวัวแทนแข่งม้า ชอบการร้องเพลงแต่ไม่รู้จักโน้ตเพลง และไม่จดไว้ในตำรา มิชชันนารีหมู่แรก
ได้แต่งกฎทางศาสนาเบื้องต้นเป็นทำนองเพลงภาษาละตินเพื่อจารึกลงในความจำของศิษย์ และวิธีนี้ปรากฏผลดียิ่ง
ไม่มีคนทำเครื่องดนตรีขาย ใครอยากทำอะไรก็ทำตามใจชอบ อาชีพนักแสดงละครเป็นอาชีพต่ำต้อย
การแสดงส่วนมากมักตลกโปกฮา และมักมีคำอุจาดลามกสอดแทรกอยู่ ชาวสยามชอบการพนันอย่างยิ่ง
ผู้แพ้การพนันนั้นยอมขายได้แม้กระทั่งลูกเมียของตน


การศึกษา


การศึกษาของสยามขาดวิชารู้จักคิดหาเหตุผล คนสยามพยายามจะไม่คิดเพราะความคิดทำให้เหน็ดเหนื่อย


การศาสนา


ภาษาฝรั่งเศสเรียกพระภิกษุพุทธศาสนาว่า ตาลาปวง Talapoin ซึ่งได้มาจากคำว่า ตาลปัตร
ที่พระภิกษุถือในมือ เพื่อไม่ให้เห็นสตรีขณะกำลังสวดมนต์


การยุติธรรม


ไม่มีประเทศใดในโลก ที่คนทุจริตจะมีวิธีพลิกแพลงมากเท่ากับในประเทศสยาม ในประเทศนี้
คนที่ชำนาญการในการทำให้คดียุ่ง สามารถทำให้เรื่องร้ายที่สุดกลับเป็นไปในทางดีได้ และ
เขาจะเรียกร้องค่าตอบแทนอย่างสูงทีเดียว การลงโทษผู้กระทำผิดมีหลายระดับ เช่น ไปตัดหญ้าให้ช้างกิน
เอามีดกรีดศรีษะ เฆี่ยน ดำน้ำลุยไฟ ตอกเล็บบีบขมับ จนถึง ตัดหัวประหารชีวิต


ศิลป


ในกรุงสยามไม่มีนักวาดรูปตามหลักศิลปะของยุโรป เขาวาดแต่รูปสัตว์ประหลาดพิสดาร กับรูปเพ้อฝันฟุ้งซ่าน
ไม่วาดภาพเป็นจริงตามธรรมชาติ ภาพวาดของชาวสยามไม่ได้สัดส่วนงดงาม



แร่ธาตุและสมุนไพร


กรุงสยามมีเปลือกหอยที่ทำปูนขาวได้ มีปูนตำที่ดีกว่าปูนซิเมนต์ของยุโรป มีเหมืองทองคำที่บ้านจันดอม(Chandom)
มีบ่อเงิน บ่อตะกั่ว ดีบุก เหล็ก และมีเหมืองเพชรโมรา(Agate)ในที่สูงของแผ่นดิน


มีเหมืองดินประสิวที่เมืองกุย และมีดินประสิวจากขี้ค้างคาวตามโขดหินและโบสถ์ มีฝ้ายจากต้นฝ้ายและ
ต้นปันชา? (Pancha) มีแร่กาลีนา(ดีบุก)ซึ่งเมื่อประสมกับคัดมี(Cadmie)ซึ่งเป็นหินแร่อีกอย่างหนึ่งที่ตำเป็นผงง่าย
หลอมเข้ากับทองแดง จะตีแร่กาลีน่าให้ยืดออกได้ เรียกว่า ตูเตอนาค(Toutenague) มีน้ำผึ้ง ชันดิบที่เกิดจากแมลงในป่า
ขี้ครั่งใช้ผนึกซองจดหมาย รังนก นกยูง นกแก้ว นกกะเรียน นกคอยาวใหญ่ ซึ่งมีขนราคาแพง
มีหนังกวางที่ชาวฮอลันดานำไปขายญี่ปุ่นได้กำไรมากมาย เอ็นขากวางตากแห้งและเนื้อกวางก็ขายได้ราคาดี


อำพันสีเทา(Amber) มีอยู่ทั่วไปตามฝั่งทะเลของอาณาจักรสยาม เป็นยารักษาไข้จับสั่นที่ชะงัดนัก
โดยกินอำพันสีเทาเม็ดหนึ่งบดใส่น้ำหนึ่งช้อนกาแฟ อำพันมีราคาแพงเป็นสี่เท่าตามน้ำหนักของโลหะเงิน


กำยานเก็บมาจากต้นไม้(ดีที่สุดจากรัฐอะแจในเกาะสุมาตรา)และชะมดเช็ดจากลูกอัณฑะของชะมด
ใช้ทำน้ำหอม น้ำมันมะพร้าวที่สดใหม่ใช้ใส่ผมน้ำมันมะพร้าวใช้ชูรสปรุงอาหาร เมื่อผสมน้ำมันมะพร้าวกับมูลช้างแห้ง
สามารถทำไต้จุดไฟหรือดามาส(Damas) ซึ่งสามารถส่งไปขายถึงปอนดิเชอรี่ และมัทราส น้ำมันยางเชรียง
ได้จากการเจาะต้นยางแล้วเอาไฟสุม น้ำมันจีร์จีลี่ได้จากเมล็ดพืชต้นเล็กๆมีหลายกิ่ง หว่านเป็นทุ่ง
นำเมล็ดมาแช่น้ำร้อนห่อด้วยกระสอบเสื่อยัดเข้าไปในเครื่องหีบ ใช้จุดตะเกียง ใช้ถูร่างกายเมื่ออาบน้ำเสร็จ
แล้วกากจีร์จีลี่ที่เหลือจากการหีบน้ำมันสามารถตัดเป็นชิ้น ๆ นำมาเชื่อมเป็นแยมได้ด้วย



ต้นไม้และผลไม้

ไม้หอมของกรุงสยามคือกฤษณา ซาร์ฟารเรส การบูร และจันทน์หอม

กฤษณา ได้จากจันทบูร(Chahtun) พวกจีนและอิสลามชอบ มีราคาแพงมาก ความหอมของกฤษณา
เกิดในแก่นไม้เมื่อมันผุ


เปลือกไม้ แซสซาเฟรส(Sassafras) เป็นต้นไม้ใหญ่ เนื้อเท่ากับไม้สน ใช้ในการผสมยารักษากามโรค
เวลาจะลอกเปลือกต้นไม้ซึ่งมีกลิ่นการบูร ต้องถอดเสื้อผ้าออกหมด เอาแป้งชนิดหนึ่งละลายน้ำถูตัว
เพื่อให้ไอที่ออกจากต้นไม้ไม่เข้าไปในผิวหนัง ถ้าเข้าไปแล้วจะทำให้คันมาก


ไม้จันทน์ ได้จากต้นจันทน์(Sandale) ชนิดสีขาวมาจากเกาะติมอร์ ชนิดแดงมีมากในสยาม
ชาวสยามใช้แผ่นไม้จันทร์ชิ้นเล็ก ๆ เผาไฟให้มีกลิ่นหอม ใช้ฝนกับน้ำบนหินทำให้เป็นแป้งมีกลิ่นหอมเพื่อ
ทาถูร่างกายหลังอาบน้ำ และใช้เผาศพคนตาย


ไม้ฝาง(Sapan) มีอยู่เป็นป่าหาง่ายในสยาม ชาวจีนญี่ปุ่นใช้ย้อมสี สยามส่งไปขายปีละหลายลำเรือ


ไม้สัก ใช้สร้างบ้านและต่อเรือ


ไม้มะเกลือ มีแก่นสีดำ ชาวจีนชอบ


ไม้ไผ่ ชาวสยามชอบตัดหน่อไผ่ออกเป็นชิ้นเล็กๆ มาดองเกลือใส่ไหแล้วใส่กระปุกดินที่มีน้ำส้มเก็บไว้กิน
บางทีเติมพริกไทยดิบเป็นพวงลงไปด้วย ชาวสยามนิยมกินหน่อไม้ดองนี้ ขณะอยู่ในทะเล น้ำใส ๆ
ในปล้องไผ่ที่โตเต็มที่ใช้รักษาแผลบนศรีษะอย่างวิเศษและยังสามารถกลั่นน้ำใสนี้เป็นน้ำมันให้
หมอใช้รักษาคนไข้ได้ผลดีด้วย


ใบพลูใช้กินกระตุ้นให้เกิดความขยัน


หมาก ใช้กระตุ้นความสนุกในการร่วมเพศ และทำให้ปากไม่เหม็น


มังคุด มีรสดีและทำให้ชุมเย็น เปลือกมังคุดต้มรักษาโรคบิดได้ชะงัด


สัปปะรดทำให้กระเพาะอาหารร้อนและแข็งแรง


ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีรสถูกปากชาวยุโรปมากที่สุด


ชาวสยามต้องการผ้าแพรจากเมืองจีน ผ้าสี ผ้ามัสลิน พรม ผ้าสีแดงและกำมะหยี่จากยุโรป ปืนฝรั่งเศส
ดินปืนใหญ่และลูกปืน


ชาวสยามไม่รู้จักผักที่มีหัวและผักสลัด


สัตว์

ช้างสยามเป็นช้างงามที่สุดในโลก เมื่อช้างนอนจะเอางวงใส่ปากแล้วยืนหลับเพราะ
กลัวมดจะเข้าไปในงวง ช้างกินหญ้า กิ่งมะพร้าว ใบกล้วย งาช้างสยามส่งไปขายเมืองสุรัต(อินเดีย)และทวีปยุโรป
มีการส่งตัวช้างลงเรือจากเมืองมะริดไปขายให้พ่อค้าจากฝั่งโคโรมังเดลและอาณาจักรโมกุลปีละอย่างน้อยห้าสิบเชือก
ช้างรักลิง แต่เกลียดไก่ เห็นกันไม่ได้ ต้องตามเหยียบไก่จนตาย ดังนั้นในเรือที่บรรทุกช้างจึงต้องระวังไม่ให้ไก่
ออกจากกรง ช้างเกลียดเสือและจระเข้ พระเจ้าแผ่นดินสยามบางครั้งจัดให้ช้างสู้กับเสือหรือจระเข้
ซึ่งประชาชนนิยมมาชมกันมาก


แรดใช้เป็นบรรณาการจักรพรรดิ์จีน เลือดหัวใจแรดใช้รักษาโรคเจ็บอก(วัณโรค)
ส่วนนอแรดใช้ถอนยาพิษ ใช้ทำจอกเหล้าของกษัตริย์เอเชียอาคเนย์ หนังเกล็ดขาอ่อนและบ่าแรดใช้ทำ
โล่กลมซึ่งปืนยิงไม่เข้า หนังแรดต้มกินฟอกเลือดอย่างดี


วิธีรักษาเนื้อสัตว์ของชาวสยามใช้วิธีย่างรมควัน


บ่าง(chat volant) มีหัวและหนวดคล้ายแมว หางยาว กระโจนจากต้นไม้จากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่งได้
ใช้หนังขึงทำหน้าซอ


ตุ๊กแก ถ้าตุ๊กแกปัสสาวะรดผิวหนังคนจะทำให้มีรอยดำติดอยู่ตลอดไป ถ้ากินมูลของมัน
จะทำให้คนกินไม่มีเสียงอย่างสิ้นเชิงราวหนึ่งเดือน เวลาตุ๊กแกกัดจะไม่ยอมปล่อย


แร้ง เป็นนกที่กินของที่ตายแล้วเท่านั้น ผู้เคร่งศาสนาจะสั่งไว้ว่าเมื่อตายแล้วให้โยนศพของตน
ให้แร้งกินเพื่อจะได้บุญ


งู ชาวสยามมีหินรักษาแผลงูกัด (pierre de serpent)มีสีดำ กลมและแบน เส้นผ่าศูนย์กลาง ราว 1 นิ้ว
ใช้วางทาบลงที่งูกัด หินจะเกาะติดและดูดพิษงูออก ต่อจากนั้นต้องเอาหินจุ่มในน้ำนม ให้นมดูดพิษจากหิน
มิฉะนั้นหินจะแตกใช้ต่ออีกไม่ได้


ปลา บริเวณหน้าวัดพุทธศาสนาที่ติดน้ำจะมีปลามาชุมนุมกัน โดยไม่มีใครไปทำร้ายจับปลา


บันทึกของตุรแปงสรุปเพียงเท่านี้


<< ย้อนกลับ ต่อไป ราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ >>