“เราได้เสนอบทความเรื่อง “พระพุทธศาสนากับคนหนุ่ม” ของยุวชน อายุ ๑๗ ปีผู้นี้ในธรรมจักษุฉบับสันติภาพแล้ว ในฉบับนี้ ท่านจะได้อ่านเรื่อง “เสียงแห่งเมตตากรุณา” ของเขาต่อไป อนึ่ง เราขอแจ้งให้ทราบว่า ยุวชนผู้นี้ ได้เขียนเรื่องส่งให้เราแล้วหลายเรื่อง ซึ่งเราจะได้นำลงเสนอผู้อ่านตามโอกาสอันควร
สพฺเพ สตฺตา สุขี โหนตฺตุ
ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีสุขเถิด
เสียงอันไพเราะ เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูในสรรพสัตว์ ได้เปล่งออกจากโอษฐ์ของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธะ เจ้าแห่งมหาเมตตามหากรุณา ไม่เพราะความเมตตากรุณาอันนี้หรือหรือ ที่พระศรีศากยมุนีในชาติหนึ่ง เป็นดาบสชื่อ สุเมธะ ได้ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ เฉพาะพระพักตร์พระทีปังกรพุทธเจ้าว่า จะของยอมตนลำบากในการสร้างสมอบรมความดีต่าง ๆ เพื่อให้ได้บรรลุถึงพระอภิสัมโพธิญาณ แล้วจะได้ช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ หลังจากได้ฟันฝ่าอุปสรรคเครื่องขัดขวางการบรรลุวิโมกข์ธรรมของพระองค์สำเร็จแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงแสดงธรรมที่ “ไพเราะในเบื้องต้น, ไพเราะในท่ามกลาง, ไพเราะในที่สุด” ปลุกสรรพสัตว์ให้ตื่นจาก “กิเลสนิทรา” และประทานฝนอมฤตตกลงดับเพลิง คือ ราคะ, โทสะ, โมหะ, ให้มอดดับไป รอยแห่งเมตตากรุณาของพระองค์ เราจะเห็นได้จากเรื่องชาดก อันเป็นประวัติบรรยายถึงความดีต่าง ๆ ประการที่พระองค์ได้ทำมา
นอกจากนี้ เรายังจะพบรอยแห่งเมตตากรุณาของพระองค์อีกในประวัติศาสตร์แห่งภารตวรรษ (อินเดีย) สมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ ประชาชนส่วนมากตกเป็นทาสของคำสอนอันปราศจากความกรุณาของพวกพราหมณ์ ผู้เป็นศาสดาจารย์แห่งลัทธิพิธีที่ต้องใช้การฆ่าสัตว์กระทำพลี สัตว์ต่าง ๆ มีแพะ แกะ หรือ บางทีก็มีมนุษย์เป็นเครื่องพลีที่ดีที่สุด ใครจะทำพลีหรือล้างบาป ก็ต้อง “บูชา”ยัญด้วยชีวิต” โลหิตวารีได้ไหลนองท่วมท้นทั้งแผ่นดิน เสียงคร่ำครวญของเหล่าสัตว์ที่จะถูกฆ่าก็ระงมไปทั่ว
แต่เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว ตรัสวจนะนี้ว่า “สัตว์ทั้งหลายย่อมหวาดต่ออาชญาทั้งสิ้น ชีวิตเป็นที่รักของสัตว์ทั้งหมด คนควรทำตนให้เป็นอุปมาแล้ว ไม่ควรประหารเอง ไม่ควรใช้ให้ประหาร” และในสมัยนั้น พวกพราหมณ์เรียกตนเองว่า อริยะ แปลว่าผู้เจริญ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บุคคลยังเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายอยู่เพราะเหตุใด จะชื่อว่าเป็นอริยะเพราะเหตุนั้นหามิได้ บุคคลที่เราเรียกว่าอริยะ เพราะความไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง” และพระองค์ได้วางกฎไว้สำหรับสาวกของพระองค์ ข้อแรกที่สุด (หมายถึงศีล ๕) ว่า “ไม่ประหารชีวิตสัตว์ให้ล่วง” ด้วยพุทธวจนะอันศักดิ์สิทธิ์นี้เอง ได้ช่วยชีวิตสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากการถูกประหาร โลหิตวารีได้ถูกน้ำแห่งมหาเมตตากรุณาชำระล้างแล้ว เสียงคร่ำครวญกลับกลายเป็นเสียงเสดงความรื่นรมย์แล้ว
อีกข้อหนึ่งคือเรื่องวรรณะ พวกพราหมณ์ได้แบ่งชั้นของมนุษย์ออกโดยส่วนใหญ่ ๆ ๔ ชั้นด้วยกัน คือ ชั้นกษัตริย์, พราหมณ์, พ่อค้าวาณิช, กรรมกรหรือศูทร และอีกพวกหนึ่งซึ่งมีสภาพเกือบไม่ใช่เป็นมนุษย์ คือ จัณฑาล พวกศูทร กับ จัณฑาลเป็นพวกที่น่าสงสารที่สุด ไม่ได้รับเสรีภาพชนิดที่มนุษย์จะพึงมี ที่อยู่ต้องอยู่กันเป็นพวก ๆ ไม่กล้าปะปนกับพวกวรรณะสูงกว่า บางที่ต้องไปตั้งหลักแหล่งกันนอกเมือง จะไปไหนมาไหน ต้องมีเครื่องหมายแสดงให้เขารู้ว่าตนเป็นศูทร หรือ จัณฑาล เวลาเดินไปมา ต้องระวังไม่ให้ถูกต้องกับพวกวรรณะสูง โดยเฉพาะพวกพราหมณ์เห็นพวกนี้ไม่ได้ ถือว่าไม่เป็นมงคล และถ้าบังเอิญไปถูกพวกนี้เข้า ก็ต้องมีการชำระล้างมลทินกันใหญ่โต พวกเหล่านี้ เวลาจะซื้อของกินของใช้จากพวกวรรณะสูงกว่า ต้องให้เขาโยนให้ดังนี้
แต่มาถึงสมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราจะสูงต่ำ ไม่ใช่อยู่ที่วรรณะเลย ที่แม้อยู่ที่ความประพฤติต่างหากถ้าพวกพราหมณ์หรือพวกวรรณะอื่น ๆ ที่ประพฤติตนเลวทราม ก็ต่ำยิ่งกว่าพวกศูทรหรือจัณฑทลที่ประพฤติดีเสียอีกพระองค์เคยดต้ตอบปัญหสเรื่องวรรณะหับหัวหน้าพราหมณ์หลายคน จนพวกพราหมณ์ยอมแพ้ บางคนถึงกับขอบวชเป็นภิกษุก็มี ๒ ผู้ที่จะมาสู่ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าต้องไม่ถือชั้นวรรณะ ตัวอย่างพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ภิกษุผู้มีอาวุโสน้อย ต้องเคารพอ่อนน้อมต่อภิกษุชั้นเถระที่มีอาวุโสสูงหว่า พวกศูทรและจัณฑาลจึงได้รับเสรีภาพและสมภาพสมบูรณ์ขึ้น
ยังอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องทาส พระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติไม่ให้ภิกษุค้าทาส ทรงชี้ความไม่ดีของการค้าทาสว่าชั่วเพียงไร และทรงจัดการค้าทาสนี้เป็นมิจฉาอาชีวะอันพุทธศาสนิกไม่ควรทำนี้ด้วย นี้คือรอยแห่งเมตตากรุณาของพระศากยมุนีพุทธเจ้าที่ได้ทรงประทับไว้ให้แก่โลก เราจะค้นหารอยของเมตตากรุณาได้อีกในแระวัติศาสตร์ นักศึกษาแระวัติศาสตร์ทุกคนเชื่อว่าคงมีความทึ่งในการที่ พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งปาฏลีบุตร” ผู้มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต ทำสงครามชนะแทบทุกแคว้นในอินเดีย ได้ยอมสละอาวุธ หันมาดำเนินตามวิถีของพระพุทธเจ้า เหตุที่เปลี่ยนใจของมหาราชองค์นี้ เราจะพบในศิลาจารึกดังนี้ “เมื่อพระเจ้าเทวานัมปริยทรรศิน (อโศก) ราชาภิเศกแล้วแปดปี ก็ปราบได้แคว้นกลิงค์ ได้เชลยจากที่นั้น หนึ่งแสนห้าหมื่น ฆ่าเสียที่นั้นหนึ่งแสน และหลายเท่า คนมากหลายได้ตาย ตั้งแต่ได้แคว้นกลิงค์จนตราบเท่า ณ บัดนี้ พระเจ้าเทวานัมปริยก็น้อมแน่วสู่ธรรม, ใคร่ธรรม, และธรรมานุศาสน์ นั้นคือความกำสรวลสลดของพระเจ้าเทวานัมปริยที่ได้ปราบกลิงค์ “ที่แท้การพิฆาตฆ่า ความตายและการจับคร่าซึ่งประชาชน อันพึงมีเมื่อประเทศไม่ถูกปราบได้ถูกปราบนั้น พระเจ้าเทวานัมปริยทรงตระหนักว่าเดือดร้อนและน่าสังเวชแสนสาหัส” .....พระเจ้าเทวานัมปริยทรงปรารถนาให้แก่สรรพสัตว์ ซึ่งความไม่ประทุษร้าย ความสังวรตน ความประพฤติสม่ำเสมอและความสุภาพ รอยแห่งเมตตากรุณาของมหาราชองค์นี้ เราก็จะได้พบในศิลาจารึกต่อไปว่า “ทุกหนทุกแห่งในราชอาณาจักรของสมเด็จพระปิยและธีรมหาราชา และทั้งดินแดนของผู้ที่อยู่ติดพระราชอาณาเขตของพระองค์... ทุกหนทุกแห่ง มีสถานที่ทำการรักษาโรคของสมเด็จพระปิยและธีรมหาราชา ๒ ชนิด คือการรักษาโรค จัดทำไว้สำหรับคน และการรักษาโรคทำไว้สำหรับสัตว์ ยาสมุนไพรด้วย ยาสมุนไพรสำหรับทั้งคนและสัตว์ แห่งใดไม่มี ก็ได้นำเข้าไปและปลูกขึ้นไว้, รากเหง้าด้วย, และลูกไม้ ณ ที่ใดขาดแคลน ก็ได้นำเข้าไปและปลูกขึ้นไว้ตามถนนหนทางเหมือนกัน ได้จัดการขุดบ่อน้ำและปลูกต้นไม้สำหรับความสำราญของคนและสัตว์ ลูกไม้ ณ ที่ใดขาดแคลน ก็ได้นำเข้าไปและปลูกขึ้นไว้ตามถนนหนทางเหมือนกัน ได้จัดการขุดบ่อน้ำและปลูกต้นไม้สำหรับความสำราญของคนและสัตว์ (ข้อความในศิลาจารึกคัดจากเรื่อง เมืองทอง ของ ขุนศิริวัฒนอาทร และของ พระยาประมวลวิชาพูล) นอกจากนี้ พระเจ้าอโศกยังทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ ด้วย นี้คือการแผ่อานุภาพซึ่งจะเอาชนะใจของชาวโลกทั้งหมดได้
มีบางคนกล่าวว่า คนที่มีเมตตากรุณา คือคนอ่อนแอ คอยเป็นผู้แพ้ ไม่มีลักษณะของความกล้าหาญ ขอให้ผู้เข้าใจดังนี้จงเข้าใจเสียใหม่ คำว่าเมตตาหมายความว่า เราปรารถนาที่จะให้สรรพสัตว์มีความสุขสบาย ส่วนกรุณาหมายถึง ถ้าสรรพสัตว์มีความทุกข์ยาก เราจะช่วยเหลือปลดเปลื้องความทุกข์ให้หมดไป ไม่มีข้อใดแสดงความอ่อนแอหรือไม่กล้าหาญเลย
ผู้ที่จะอบรมความดีเพื่อการบรรลุพุทธภูมินั้น ในบรรดาความดีทั้งหมด ก็ต้องมีข้อเมตตาบารมีด้วย ซึ่งนัยเป็นความดีข้อที่ ๙ และในขณะเดียวกันก็ปรากฏว่า มีวิริยบารมี ความขยันหมั่นเพียรเป็นที่ ๕ ขันติบารมี ความอดกลั้นต่อสิ่งทั้งปวงเป็นข้อที่ ๖ สัจจบารมี การพูดจริง เป็นข้อที่ ๗ และอธิษฐานบารมี ความตั้งใจมั่นคง เป็นข้อที่ ๘ ดังนี้ จะหาว่า พระโพธิสัตว์ท่านอ่อนแอ ท้อแท้ได้อย่างไร ?
มนุษย์ที่อ่อนแอคนไหนบ้างที่สามารถอดทน เพียรก่อสร้างบารมีต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง ๔ อสงไขยแสนกัลป์ บางครั้งถึงกับต้องสละชีวิตเพื่อรักษาความดีนั้น ๆ ไว้ ถ้าหากไม่ใช่คนกล้าหาญใจเด็ดเดี่ยวเช่นพระมหาสัตว์ คนที่มีเมตตากรุณา คือ คนไม่เห็นแก่ตัว เขาจะทำสิ่งไร ๆ ลงไป เขาจะต้องมองดูผลของมันก่อน ว่าจะเป็นผลดีหรือไม่ดี ต่อคนทั่วไปหรือไม่ จะทำให้เขาต้องร้อนตัว ร้อนใจหรือไม่ ถ้าผลไม่ดีเขาก็ไม่ทำ เขาทำแต่สิ่งที่มีผลดีมีประโยชน์
ท่านผู้หนึ่งได้แปลสุภาษิตฝรั่งบทหนึ่ง ผู้เขียนได้อ่านพบดังนี้ว่า “คนกล้าหาญที่สุด ย่อมอ่อนหวานที่สุด คนที่เป็นผู้ดีที่สุด ย่อมอ่อนโยนที่สุด” (The bravest is tenderest. The noblest is humblest.) คนมีเมตตากรุณา ก็คือคนที่อ่อนโยน หวานเสมอ ไม่รู้จักโกรธ, ใจหนักแน่น, หรือมีน้ำใจเป็นนักกีฬาแท้, ไม่เอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นี้คือลักษณะผู้มีเมตตากรุณา
มีคนถามว่า คุณประโยชน์ของเมตตากรุณามีอะไรบ้าง ? ขอตอบว่า ประโยชน์น่ะหรือ มีมากมายเหลือเกิน แต่แระโยชน์ข้ออื่นจงยกไว้ก่อน เรามาพิจารณาดูประโยชน์ของข้อที่ว่า เมตตากรุณา คำสองคำนี้ สามารถห้ามสงครามหรือทำให้โลกไม่ต้องมีสงครามได้ มหาสงครามโลกครั้งที่สองนี้ เป็นบทเรียนที่ดีของพวกผู้นำแต่ละประเทศ เป็นบทเรียนที่ดีของพวกชอบสงคราม และเป็นบทเรียนที่ดีของมนุษย์ทั้งหมดด้วย เพียงแต่ความทะเยอทะยานของมนุษย์ไม่กี่คน ได้พาโลกทั้งโลกต้องลุกเป็นไฟประลัยกัลป์ขึ้น ตามปกติมนุษย์เราก็ถูกไฟภายใน คือ ราคะ, โทสะ, โมหะ เผาอยู่ทุกวันแล้ว ยังจะถูกไฟภายนอกมาเผาทับอีก สงครามทุก ๆ ครั้ง มีผลที่ได้อย่างแน่แท้ทั้งฝ่ายผู้แพ้หรือผู้ชนะ คือ พ่อจากลูก, ลูกจากแม่, สามีจากภรรยา ฯลฯ และเสียงคร่ำครวญของแม่ที่ร่ำร้องถึงบุตรที่ตายไป, ภรรยาคร่ำครวญถึงสามี, บุตรคร่ำครวญถึงบิดา, คร่ำครวญถึงญาติพี่น้อง, ถึงทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ที่ได้เสียหายไป พวกชนะก็ก่อเวร พวกแพ้ก็ทุกข์ตรอมใจ (ตามนัยสุภาษิต) นี่คือผลของสงคราม อาจมีผู้แย้งว่า ผลสงครามของฝ่ายชนะ คือได้ดินแดน ทรัพย์สมบัติ, เกียรติ ฯลฯ แต่เราต้องตรองดูว่าดินแดน ทรัพย์สมบัติ ตลอดจนเกียรติยศ, เกียรติศักดิ์, ชื่อเสียงอะไรเหล่านี้น่ะ เราเชื่ออย่างแน่นอนแล้วหรือว่าเป็นของเราตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้เลย ? ทุกสิ่งในโลกเป็นอนิจจัง วันนี้ชื่อเสียงเกียรติยศเป็นของเรา พรุ่งนี้อาจเป็นของเขา วันนี้เรามีอำนาจที่จะสั่งให้ตัดหัวคนได้ พรุ่งนี้เราอาจกลายเป็นคนที่จะถูกตัดหัวเอง
ประวัติศาสตร์เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ ประเทศต่าง ๆ ที่มีความเจริญในสมัยโบราณกาล ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? ก้าวแรกเราจงระลึกถอยหลังไปสู่อดีต เมื่อสมัย ๖,๐๐๐ ปี สมัยที่บ้านเมืองแถบลุ่มแม่น้ำไตกริสกับยูเฟรตีส และลุ่มแม่น้ำไนล์กำลังรุ่งเรือง เช่น อียิปต์, สุเมอเรียน, บาบิโลน, อัสสิเรียน, เฟนิเชียน เราไม่ลืมสมัยเจริญขอบงพระเจ้าฮัมมูราบีแห่งบาบิโลน, ไม่ลืมรัชสมัยของพระเจ้าไซรัสแห่งเปอร์เซีย ไม่ลืมกรีกและบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งของกรีก คือ พระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราช ผู้มีอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ลืมจีนในรัชสมัยพระเจ้าฉิงสื่อหวง ผู้สร้างกำแพงยักษ์, ไม่ลืมพระเจ้าถางไถ้จง และดินแดนต่าง ๆ ที่พระองค์ตีได้ ไม่ลืมทัพอันมีพลานุภาพพิเศษของพระเจ้าออคโกไดข่าน และกุบไลข่าน (เวี๋ยนสือจู่) ทัพมงโกลของพระองค์สามารถตีได้เปอร์เซีย, จีน, อินเดียภาคเหนือ, อาฟฆานิสถาน, ตุรกีสถาน อาหรับและบุกเข้าไปถึงยุโรป ได้รัซเซีย, ฮังการี, จนจดแดนเยอรมันและจดฝั่งทะเลเอเดรียติค ไม่ลืมความรุ่งโรจน์ของอินเดียสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช, พระเจ้าศีลาทิตย์, พระเจ้าอักบาร์, ไม่ลืมพระเจ้านโปเลียนของฝรั่งเศส, ใกล้เข้ามา เราไม่ลืมความรุ่งโรจน์ของสุมาตราในสมัยกรุงศรีวิชัย, ไม่ลืมอำนาจของเขมรในสมัยนครธม, นครวัต, จนที่สุดเราไม่ลืมความสามารถของพระเจ้าอโนรธา, บุเรงนอง, และอลองพญาของพม่า แต่มาบัดนี้ สิ่งเหล่านี้ได้ผ่านไปอย่างไม่มีความเที่ยงแท้ เป็นแต่เพียงประวัติที่เขาบันทึกลงไว้สำหรับให้ชาวโลกในกาลต่อมาได้รู้ได้เห้น หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราช ดินแดนต่าง ๆ ที่พระองค์ตีได้เป็นอย่างไร ? ใครเลยจะนึกบ้างว่า พระเจ้านโปเลียนมหาราชของฝรั่งเศสต้องถูกจับขังไว้บนเกาะ และสิ้นพระชนม์ในที่คุมขัง ณ บนเกาะนั้น เขมร พม่าเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร ?
การที่จะซื้อเอาชื่อเสียง เกียรติยศหรือดินแดน ทรัพย์สินต่าง ๆ ซึ่งเป็นของไม่เที่ยง บางทีมีไม่ตลอดชีวิตของเราด้วยการเอาชีวิตมนุษย์ไปพล่าเล่น แลกเอามานั้นเป็นของน่าติเพียงไร มนุษย์เราขาดหลักสำคัญคือความเมตตากรุณาไปเสีย จึงได้มีการรบราฆ่าฟันกัน ถ้าเรามีเมตตากรุณาต่อกันและกัน รู้จักการให้อภัย ไม่อาฆาตจองเวร คอยช่วยเหลือซึ่งกัน เห็นมนุษย์ทั้งหลายเป็นพี่น้องญาติสาโลหิตเดียวกัน ไม่มีศัตรูเพราะไม่มีผู้ใดเป็นศัตรูเรา และเมื่อใดผู้นำของประเทศต่าง ๆ ได้ยอมละการแผ่อำนาจแบบเดชานุภาพ มาเป็นแผ่แบบความรักอันไม่มีขอบเขตจำกัดคือเมตตานี้ และเมื่อใดที่รัฐประศาสน์ทั้งหมดได้ดำเนินไปตามหลักของพระพุทธศาสนา ก็เป็นอันหวังได้อย่างแน่นอนว่า สงครามจะไม่มีแล้ว โลกอันกอร์ปไปด้วยเพลิงทุกข์ ความเห็นแก่ตัวก็จะลดน้อยสงบลงกว่าแต่ก่อนมาก ดังพระพุทธภาษิตว่า “ความไม่เบียดเบียนคือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เป็นสุขในโลก” และท่านนิจิเร็นโชนิน คณาจารย์เอกของนิกายเท็นได ได้กล่าวว่า “เมื่อใดกฎหมายของรัฐแก้ไขไปจนตรงกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ในขณะนั้นจะบรรลุรุ่งอรุณแห่งสุวรรณสมัย” ขอมนุษย์ทั้งหลายจงช่วยกันป่าวประกาศเสียงแห่งเมตตากรุณาดังนี้ว่า
“ขอสัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้มีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์มีชีวิตทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ ยังเป็นผู้สะดุ้ง (คือมีตัณหา) หรือ เป็นผู้มั่นคง (คือไม่มีตัณหา) ทั้งหมดไม่เหลือเหล่าใด ยาวหรือใหญ่ หรือปานกลาง หรือสั้น หรือผอมพี เหล่าใดที่เราเห็นแล้ว หรือมิได้เห็น เหล่าใดอยู่ในที่ไกล หรือที่ไม่ไกล ที่เกิดแล้ว หรือกำลังแสวงหาความเกิดก็ดี ขอสัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น จงเป็นผู้มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์อื่นอย่าพึงข่มเหงสัตว์อื่น อย่าพึงดูหมิ่นอะไร ๆ ที่เขาในที่ไร ๆ เลย ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่กันและกัน เพราะความกริ้วโกรธและเพราะความคุมแค้น มารดาถนอมลูกคนเดียว ผู้เกิดในตน ด้วยยอมพร่าชีวิตได้ฉันใด พึงเจริญเมตตามีในใจไม่มีประมาณในสัตว์ทั้งปวงแม้ฉันนั้น”
(จากกรณียเมตตสูตร สวดมนต์แปล ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย)
“ดวงชีพทั้งหลาย ! ขอท่านทั้งปวงจงมีเมตตากรุณาในสรรพสัตว์ทั้งหลายเถิด ท่านจงละความอาฆาตจองเวรเสีย อย่าได้ผูกโกรธกับผู้ใดเลย เพราะการผูกโกรธโดยคิดว่า เราจะต้องแก้แค้นเขาดังนี้ นักปราชญ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมไม่สรรเสริญ เวรานุเวรใด ๆ ในโลกนี้ จะสงบลงไปได้ ก็ด้วยการไม่จองเวร ดวงชีพทั้งหลายเอย ! ท่านอย่าได้เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนร่วมโลกของท่านเลย ในสังสารวัฏฏอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ท่านและเขาได้ถูกหมุนเวียนไปเรื่อย ชีวิตเป็นของน้อยอยู่แล้วด้วยถูกความเจ็บความตายคอยประหารอยู่ ไม่ควรที่จะช่วยตัดรอนให้มันสั้นเข้าอีก ท่านมีความหวาดกลัว ในเมื่อท่านจะถูกประหาร หรือท่านมีความคับแค้นใจในเมื่อท่านถูกเบียดเบียนฉันใด สัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านต้องการมีความสุขฉันใด สัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ดวงชีพทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งปลายจงแผ่ความรักที่เป็นธรรม คือเมตตากรุณาในเขาเหล่านั้น ตลอดถึงศัตรูของท่านด้วย และแล้วสรรพสัตว์ในโลกทั้งหมดก็คือภราดรของท่านเอง แล้วนั่นคือก้าวแรกที่ท่านได้ก้าวขึ้นสู่ ‘วิถีแห่งสัจจธรรม’ ซึ่งสมเด็จพระศรีศากยมุนีพุทธเจ้าผู้เป็นนาถะแห่งไตรโลกได้ตรัสไว้”
๑๒ กันยายน ๒๔๘๘
ที่มา: นิตยสารธรรมจักษุ เล่ม ๓๑ ตอนที่ ๑ - ๔ ประจำ ตุลาคม ๒๔๘๘ - มกราคม ๒๔๘๙