"ปาฐกถาธรรมเชิงวิจัย"
รวบรวมโดย...พระมหาสุนทร วราสโภ
“ ปาฐกถาธรรมเชิงวิจัย “ ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นผลงานของ อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ที่มีคุณค่าทางการศึกษาพระพุทธศาสนามาก ซึ่งสภาการศึกษามหามกุฎวิทยาลัย ได้พิมพ์ออกเผยแพร่ ข้าพเจ้าขออนุญาตนำมาเผยแพร่ให้พุทธศาสนิกชนผู้สนใจทั่วไปได้ศึกษา ผู้ที่ยังมีความสงสัยไม่เข้าใจ ก็จะได้คลายสงสัยและเข้าใจ ผู้ที่พอจะเจ้าใจบ้างก็จะได้เข้าใจมาก ยิ่งขึ้น ท่านที่ หมดความสงสัย และเข้าใจแตกฉานอยู่แล้ว ก็จะเป็นการเพิ่มเติมให้หนักแน่นมั่นคง ยิ่งขึ้น เพราะ ปาฐกาถาธรรมเชิงวิจัย นี้ ผู้แสดงได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ผู้เรืองนามของวงการ พระพุทธศาสนาเลยทีเดียว เป็นอาจารย์สอนในมหามกุฎราชวิทยาลัยเป็นเวลายาวนานถึง 16 ปี เป็นผู้รู้จริงแตกฉานจริง และเป็นผู้รักพระพุทธศาสนาเป็นชีวิตจิตใจ ทุกเรื่องล้วนมีคุณค่าในการศึกษาพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ขอเชิญท่านผู้สนใจติดตามอ่านได้ที่นี่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะได้นำมาลงไว้เป็นเรื่องๆ ติดต่อกันไปจนจบ เรื่องใดที่มีความยาวเป็นพิเศษ ก็จะได้นำมาลงไว้เป็นตอนๆ ให้เหมาะสมต่อไป...
ปาฐกถาธรรมในวันนี้ จะได้พูดถึงข้อคิดเรื่องเวสสันดรชาดก อันเป็นเรื่องน่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง เวสสันดรชาดกนั้นเป็นเรื่องจริง
ทำไมเราจึงนิยมฟังกันมาก เหตุที่นิยมฟังนอกจากจะเป็นเรื่องชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ที่มาสร้างบารมีแล้ว เรื่องนี้ยังมีเหตุผลมาจาก มาลัยสูตร อีกสูตรหนึ่งด้วย
ในคัมภีร์มาลัยสูตร ซึ่งเป็นของเกิดในลังกา เล่าความว่า พระมาลัยเถระเจ้า เป็นชาวลังกา บรุเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยอภิญญา ท่านได้ขึ้นไปเฝ้าพระศรีอารยะเมตไตรยโพธิสัตว์บนสวรรค์ พระศรีอารยะเมตไตรยโพธิสัตว์ ได้ตรัสกับพระมาลัยว่า "ถ้าหากมนุษย์โลกคนใดมีความ
ปรารถนาจะคิดทันศาสนาของเราแล้ว ให้ฟังเทศน์มหาชาติพร้อมกับบูชา ธูป เทียน และดอกบัวอย่างละพัน ให้ฟังให้จบในวันเดียวกันทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ผู้นั้นแลจะได้รับอานิสงส์เกิดทันในศาสนาของเรา" ในมาลัยสูตรกล่าวไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น อิทธิพลจากมาลัยสูตร จึงทำให้เรื่องเวสสันดรชาดก มีคุณค่ายิ่ง ท่านยังบอกวิธี เหตุให้เกิดทันศาสนาของพระองค์ จะต้องฟังเทศน์มหาชาติจบภายในวันเดียว แล้วบูชาด้วยธูปพันดอก เทียนพันเล่ม ดอกบัวพันดอก บูชากัณฑ์เทศน์ ๑๓ กัณฑ์นี่แหละครับ จึงกลายเป็นประเพณีตั้งแต่สุโขทัยเรื่อยมาตราบกาลปัจจุบันนี้ แต่เรื่องเวสสันดรชากดนี้ เคยมีอยู่ในสมัยหนึ่ง ที่นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองไทย ไปเขียนวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางไม่ดี บอกว่าเรื่องเวสสันดรชากดนี้ เป็นเหตุทำให้คนไทยใจอ่อน ใจดีเกินไป มีอะไรก็หยิบยกให้เขาหมด ต่อไปถ้ามีใครมาขอชาติไทยก็จะหยิบชาติไทยให้เขาทั้งชาติไทย แล้วมีครู อาจารย์ ในจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยบางท่าน พอสอนเรื่องเวสสันดรชากด ก็หัวเราะเยาะว่าเป็นเรื่องหลอกคน เรื่องไร้สาระ นิทานอะไรใครเขาจะมาให้ลูกให้เมียใครได้ หาว่าท่านเวสสันดรเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ ถ้าเป็นพ่อก็เป็นพ่อไม่ดี ยกลูกให้เขาเป็นทาสทาสี หาว่าเป็นผัวที่ใช้ไม่ได้ ดูหรือพระนางมัทรีมีความจงรักภักดีเป็นหนักหนา กลับไปยกให้กับตาพราหมณ์ที่มาขอได้ ดูช่างกระไรเลย อย่างนี้เป็นต้น
ข้อนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เป็นบาปอย่างอนันต์แล้วผู้ที่กล่าว ผู้ที่เข้าใจเช่นนี้ เราจึงควรจะวิเคราะห์ข้อคิดบางประการในเวสสันดรชากดว่า.-
เพราะการกระทำของเวสสันดรถูกหรือผิด เป็นการกระทำของคนโง่หรือคนฉลาด ประการแรก เรามาพิจารณากันเรื่องช้างปัจจัยนาค อันเป็นเหตุให้พระเวสสันดรต้องพลัดบ้านพลัดเมืองไป พร้อมทั้งลูกเต้า ความจริงช้างตัวนี้ไม่ใช่สมบัติของชาวแคว้นสีวี ไม่ใช่สมบัติของชาวเชตุดร ช้างตัวนี้เป็นช้างคู่บุญ เกิดในวันเดียวกับพระนางผุสดีประสูติพระเวสสันดรโพธิสัตว์ เป็นช้างคู่บุญ ถ้าจะพูดไปแล้ว ก็เป็นสมบัติส่วนบุคคลการที่ชาวสีวีเอะอะโวยวายหาว่าพระเวสสันดรบริจาคกับพราหมณ์กลิงครัฐที่มาทูลขอ เพราะว่าช้างตัวนี้เป็นปัจจัยนาเคนทร์ สามารถเรียกร้องบันดาลให้เกิดฝนตกได้
โบราณเราถืออย่างนั้น ช้างที่เป็นมงคลแล้ว สามารถทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ช้างปัจจัยนาค เป็นช้างเผือก ชาวแคว้นสีวีจึงไม่พอใจ หาว่าพระเวสสันดรยกเอาสมบัติของชาติไปให้คนชาติอื่น อันนี้ถ้าวิเคราะห์แล้ว จะเห็นทันทีว่าเกิดการเข้าใจผิด เพราะช้างตัวนี้ไม่ได้เป็นสมบัติของชาติแต่เป็นสมบัติของส่วนบุคคลของพระเวสสันดร ก็เมื่อเป็นสมบัติของส่วนบุคคลของพระเวสสันดรแล้ว พระเวสสันดรก็มีสิทธิ์ที่จะยกให้กับใครก็ได้ พวกชาวแคว้นสีวีเสียอีกที่มาขี้โกง เอาช้างนั้นเป็นของพวกตนไป แอบอ้างว่าไม่ได้ ช้างตัวนี้เป็นช้างของชาวแคว้นสีวี แล้วเอะอะโวยวายขึ้นอีกประการหนึ่ง เราจะเห็นได้ว่า แคว้นกาลิงครัฐกับแคว้นสีวีนั้น หยาบกับละเอียดกันเลย ถ้าจะเปรียบกันก็ได้แก่ยักษ์กับมนุษย์นั่นเอง ช้างกับตัวผึ้งนั่นแหละ ถ้าจะเปรียบกัน แคว้นสีวีนั้นเป็นแคว้นเล็กๆ แต่แคว้นกาลิงครัฐนั้น เป็นมหาอำนาจชั้น ๑ ในอินเดียในครั้งนั้น มีรี่พลกลไกรพายุหโยธามากมาย การที่พวกกาลิงครัฐส่งฑูตมาขอช้างปัจจัยนาคนั้น ไม่ได้ขอเปล่านะ ไม่ได้ขอเอาไปเด็ดขาด เป็นเพียงการขอยืมไปเพื่อเป็นเหตุทำให้บ้านเมืองฝนตกหน่อย เพราะแล้งมาตั้งเจ็ดปีแล้ว ทำนาไม่ได้ผล ขอยืมเอาไป ไม่ได้โกงเอาเป็นของตัวหรอก เมื่อฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาลแล้วจะนำมาคืนให้
คราวนี้ สมมติว่า พระเวสสันดรไม่ยอมให้ ผลจะมีอะไรเกิดขึ้น จะต้องเกิดสงครามอย่างแน่นอน ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ กองทัพจากกาลิงครัฐจะต้องบุกเมืองสีวีแน่ แล้วแคว้นสีวีซึ่งเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย ก็ต้องพินาจตกเป็นเมืองขึ้นของเขา ราษฎรสีวีก็จะกลายเป็นเชลยศึก เพราะฉะนั้น การที่พระเวสสันดรยอมยกช้างเผือกปัจจัยนาคให้แก่เขาไปนั้น เป็นการเสียสละทำเพื่อชาติและประชาชนโดยตรง เป็นการตัดต้นเหตุการทำสงคราม ช่วยสร้างความสงบสุขให้แก่ประชาราษฎร์โดยเสรี ให้ปลอดภัย แต่เป็นการไม่เข้าใจ และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกชาวแคว้นสีวี ซึ่งมองตื้นเกินไป เห็นไปว่าพระองค์ยกสมบัติของชาติไปให้ศัตรู ไปให้แก่คนอื่นเขา
เพราะฉะนั้น การที่พระเวสสันดร ยอมยกช้างปัจจัยนาคให้เขาไป จึงเป็นการทำเพื่อชาติโดยตรงทีเดียว เป็นการตัดการทำสงคราม ช่วยสร้างความสุขให้แก่ประชาราษฎรชาวสีวีให้ปลอดภัย แต่เป็นความเข้าใจผิดรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของชาวแคว้นสีวี ซึ่งมองตื้นเกินไป เห็นไปว่าพระองค์ยกสมบัติของชาติไปให้ศัตรู หรือไปให้ผู้อื่นเขา และตามเรื่องราวปรากฏว่า เมื่อชาวแคว้นกาลิงครัฐได้ช้างตัวนี้ไปแล้ว ไม่ช้าฝนตกตามฤดูกาลเขาก็ส่งมาคืน แถมกลับมีพระราชสาสน์มาขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่ นี่เราจะเห็นได้แล้วว่า พระเวสสันดรท่านทำถูก ตั้งแต่กรณีแรกที่ทรงให้ช้างเป็นทาน ไม่ว่าจะมองในแง่การเมือง หรือในแง่ส่วนตัว เราตำหนิท่านไม่ได้เลย
ประการต่อไป ในการที่ท่านให้บุตรกัณหาชาลีเป็นทานถูกใหม ?
ในกรณีที่ท่านให้ชาลีกัณหา หรือพระนางมัทรีเป็นทานนั้น ถ้าเราเอาจิตใจพวกเราอย่างปุถุชนธรรมดาผู้มีกิเลสไปวัดจิตใจท่าน เราก็อาจจะประณามและโวยวายหาว่า “ เห็นแก่ตัว ๆ “ เที่ยวยกลูกให้เขาไป เทินให้เขาไป นี่ แต่ข้อนั้นเราพูดตามวิสัยของเราที่มีกิเลสเป็นปุถุชน แต่ถ้าเรามองด้วยใจของพระเวสสันดรแล้ว ตรงกันข้าม พระเวสสันดรเป้นพระโพธิสัตว์ เราเป็นโพธิสัตว์หรือเปล่า และการที่พระเวสสันดรให้สิ่งเหล่านี้ไป ให้เพื่อหวังอะไร ?
ให้เพื่อหวังชื่อเสียง เพื่อความสุข เพื่อพระองค์หรือ ? ถ้าเพื่อชื่อเสียง เพื่อความสุขแล้ว ลูกเมียเป็นที่รักดังแก้วตา จะให้เขาไปไม่ได้หรอก จะต้องอยู่กับลูกอยู่กับเมีย แต่ที่พระองค์ให้เขาไปก็เพื่อหวังพระโพธิญาณ
พระโพธิญาณเพื่อใคร ถามต่อไปอีก ก็ได้รับคำตอบว่า พระโพธิญาณเพื่อสรรพสัตว์โลก เพราะฉะนั้น การทำประโยชน์ การให้ทานของพระเวสสันดรนั้น ไม่ใช่เพื่อพระองค์เสียแล้ว แต่เพื่อสัตว์โลกทั้งหลาย เป็นการทำประโยชน์เพื่อชนหมู่มาก โดยการที่พระองค์ยอมเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ยอมทุกข์ในส่วนพระองค์ เพื่อความสุขของชนมหาศาลทั้งโลก การทำอย่างนี้เป็นการเห็นแก่ตัวหรือ มนุษย์ผู้มีความเห็นแก่ตัวทำได้อย่างนี้หรือ ?
ถ้าหากเราถือว่าการทำอย่างนี้เป็นการเห็นแก่ตัวแล้ว เราก็น่าจะตำหนิทหารหาญที่ไปตายเพื่อชาติว่า ทหารเหล่านั้นก็เห็นแก่ตัว เพราะอะไร เพราะแม่หรือก็แก่ไม่มีใครเลี้ยง ลูกหรือก็ยังแดงๆ แม่อีหนูหรือก็ยังสาว อะไรไปเป็นทหารรบสงครามป้องกันประเทศชาติ เห็นแก่ตัวนี่ทหารคนนี้ นี่ถ้าใครมีความรู้สึกตัวอย่างนี้ละก็ ชาติบ้านเมืองประเทศนั้นจะต้องล่มจมแน่ ถ้าประชาชนในบ้านเมืองนั้นมีความรู้สึกอย่างนี้ต่อทหารว่า ทหารทิ้งลูก ทิ้งเมียไปรบเพื่อชาติ เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวละก็ ไม่ช้าชาตินั้นก็วิบัติ การที่ทหารไปรบเพื่อชาติ เราไม่ถือว่าการกระทำเช่นนั้นเป้นการเห็นแก่ตัว แต่เราให้ความยกย่องว่า เป็นวีรชนของเรา บรรดาพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีอย่างอุกฤษ์ ถึงขั้นสละชีวิต สละลูกสละเมีย เป็นทานเพื่อพระโพธิญาณก็มีอุปมัยดุจเดียวกับทหาร ซึ่งเป็นวีรชนของชาติเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ว่าวัตถุประสงค์ของพระโพธิสัตว์ยิ่งกว่าทหาร ทหารนั้น เพียงแต่รบเพื่อชาติแต่พระโพธิสัตว์นั้น รบกะกิเลสเพื่อเห็นแก่สรรพสัตว์ ไม่มีชาติ และไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์ แต่แผ่ไพศาลไปยัง มาร อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เดียรัจฉาน เป็นที่สุด นี่แหละครับ เป็นลักษณะมหากรุณาของพระโพธิสัตว์เจ้า มีกี่คนทำได้อย่างนี้ คราวนี้เรามองดูในแง่พ่อกับลูกว่า ที่พูดเมื่อกี้เป็นเรื่องสละประโยชน์ส่วนน้อย เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ก่อนที่พระเวสสันดร ท่านจะยกลูกให้กับท่านชูชก ไดคิดวางแผนการณ์อะไร เพื่ออนาคตของลูกท่านไม่ให้ลำบากไหม
ท่านวางแผนไว้แล้ว ดังจะเห็นได้ว่า...ท่านบอกดัง ๆ ให้ชูชกได้ยิน ท่านบอกชาลีกัณหาว่า ลูกเอ๋ย ถ้าหากลูกไปอยู่กับพ่อเฒ่าชูชกคนนี้ละก็ ใครจะมาเอาตัวลูกไถ่ไปละก็ พ่อตีราคาลูกแต่ละคน แต่ละคนสำหรับชาลีนั้น ผู้มีทองคำพันลิ่ม ถึงจะมาไถ่ชาลีได้ ส่วนแม่กัณหาซึ่งเป็นน้องเล็กนั้น จะต้องผู้ที่มีโคร้อยตัว ม้าร้อยตัว ช้างร้อยตัว ทองพันลิ่ม เงินพันลิ่ม ทาสร้อยคน ทาสีร้อยคน รถร้อยเล่มมาไถ่ แม่ถึงจะยอมตัวไปอยู่ด้วยกับเขานะ ท่านสั่งของท่านยังงี้...ชูชกฟังหูผึ่งทีเดียว ชูชกนี่ฉลาด ถ้าเราเอาใจชูชกมาใส่ใจเราบ้างว่าเราได้ลูกเขามาสองคน ชายหญิงคน มันก็ยังเล็กอยู่ ผู้หญิงก็ไม่เกินเจ็ดขวบ ผู้ชายก็ไม่เกินสิบสองขวบได้มาสองคนอย่างนี้ อย่างมากก็เอาไปตักน้ำตักท่า ปัดกวาดถูบ้านถูเรือนเท่านั้นเอง กับที่ว่าเอาไปขาย ได้สินไถ่มามากมายพอกินเป็นมหาเศรษฐีทันตาเห็น เราจะเลือกเอาอย่างไหน แน่นอน...ชูชกซึ่งเป็นนักเศรษฐกิจตัวยง ก็จะต้องเอากัณหาชาลีไปขายเพื่อเอาสินไถ่
คราวนี้ใครบ้างเล่าที่จะมาไถ่ด้วยราคาค่างวดอันมากมายอย่างนี้ เว้นไว้แต่ผู้นั้นจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขด้วย ก็เท่ากับว่าพระเวสสันดรนั้นได้ยืมมือชูชก ให้พาชาลีกัณหาออกจากป่าไปหาปู่เท่านั้นเอง พระเจ้ากรุงสัญชัยนั้นแหละจะเป็นผู้ไถ่ไม่ใช่ใครหรอกครับ พระเจ้ากรุงสัญชัยซึ่งเป้นพระอัยกานั่นเองเป็นผู้ไถ่
กษัตริย์หรือเศรษฐีบ้านไหนเมืองไหนเขาจะมาไถ่กัน เด็กกะเปี๊ยก ๒ คน จะเอาไปทำอะไรกัน ทองคำพันลิ่ม ช้างม้าวัวควายทาสีทาสา อีกมากมาย อย่างละร้อย เอาทำไมกัน คนซื้อคนได้มากมายกว่านี้ ดีกว่าเด็ก ๒ คน เป็นอันว่าชูชกนี่จะต้องมุ่งพาเด็ก ๒ คนนี้ไปหาปู่ เพราะไปที่ไหนก็ไม่มีใครเขาเอา ปู่กับย่านั้นจะเป็นผู้ไถ่เอง
แล้วการณ์มันก็เป็นตามที่พระองค์ทรงคาดไว้จริง พระเจ้ากรุงสัญชัยและพระนางผุสดีไถ่จริง ข้อเสนอราคาที่ชูชกบอกว่า พระเวสสันดรตีราคาอย่างนี้ อย่างนี้ พระเจ้ากรุงสัญชัยและพระนางผุสดีไม่ทรงเชื่อ หาว่าชูชกไปขโมยเด็กมา ฝ่ายเด็กสองคนก็ยืนยันว่าพระบิดาได้ยกให้ชูชกไปจริงๆ พระบิดาได้ตีราคาไว้จริง ๆ ชูชกเลยกลายเป็นเศรษฐีทันตาเห็นในวันนั่นเองที่พาหลานไปหาปู่ เรื่องนี้เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว คือ
ข้อที่พระองค์ให้ลูกเป็นทานนั้นมีประโยชน์ ๔ สถาน
๑. ชื่อว่าบำเพ็ญปุตตปริจาคะ
๒. ชื่อว่าไม่ทำให้พระโอรสและพระธิดาต้องตกระกำลำบากอยู่ในป่า แต่กลับมาอยู่ในอ้อมอกของปู่ - ย่า
๓. ทำให้ชูชกซึ่งแกยากจนได้เป็นเศรษฐีรวยมั่งมีทันตาเห็น
๔. พระอัยกาได้ฟังนัดดาทั้งสองเล่าถึงความทุกข์ยากของพระโอรสและพระสุณิสา มีความเศร้าพระทัย เป็นเหตุให้ชาวสีวีรัฐทั้งปวงก็มีความเศร้าใจ
สงสารพระเวสสันดร พากันยกโทษให้ กลับไปทูลเชิญให้เสด็จกลับไปเสวยราชย์กลับได้ประโยชน์ถึง ๔ สถาน
การกระทำของพระเวสสันดร จึงไม่ใช่การกระทำที่โง่เขลา ดังที่พวกคนบางคนเข้าใจ แต่เป็นการกระทำของบัณฑิตผู้เห็นการณ์ไกล ที่เอาประโยชน์ได้ทั้งในปัจจุบันและสัมปรายภพ ข้อนี้เห็นได้ชัดเจนประการสุดท้าย ทรงให้พระนางมัทรีเป็นทาน พระนางมัทรีใครๆ ก็รู้ว่าเป็นยอดมิ่งขวัญ ยอดกัลลยา เป็นเมียแก้ว เมียขวัญที่ดี เพราะฉะนั้น การที่พระเวสสันดร ยกพระนางมัทรีให้พราหมณ์นั้น พระนางมัทรีก็รู้อยู่แก่ใจว่า พระเวสสันดร มุ่งประสงค์อะไร และพระนางก็ยินดีที่จะร่วมเสียสละกับพระองค์ ยอมให้เป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อที่จะช่วยกันบ่มโพธิญาณให้สุกงอม เพื่อประโยชน์แก่มหาชนในอนาคตกาลเบื้องหน้าเพราะฉะนั้น เมื่อพราหมณ์จำแลงมาขอพระนางมัทรีจากพระองค์ เมื่อพระเวสสันดรบอกยกให้แล้ว ยังไม่แน่แก่พระทัยว่า พระนางมัทรีจะเศร้าใจ หรือเสียใจ จึงผินพระพักตร์มาทอดพระเนตรพระนางมัทรีว่า จะมีการอาการอย่างไร รากฎหรือไม่ พระนางมัทรีก็ได้ทูลออกมาด้วยน้ำใจที่แกล้วกล้าเยี่ยงสุรนารีว่า.-
"โกมารี ยสฺสาหํ ภริยา สามิโก มม อิสฺสโร
ยสฺสิจฺเฉ ตสฺส มํ ทชฺชา วิกฺกีเณยฺย หเนยฺย วา
แปลความว่า “ หม่อมฉันก็องอาจเป็นเทวีของพระองค์ท่านใด พระองค์ท่านนั้นเป็นภัสดาของหม่อมฉัน เมื่อพระองค์จำนงค์ให้หม่อมฉันแก่บุคคลใด ขอจงประทานให้แก่บุคคลนั้นเถิด พึงขาย หรือพึงฆ่าเสียก็ตามหม่อมฉันยอมทั้งนั้น"
นี่ก็แสดงว่า จิตใจของพระนางมัทรีเต็มเปี่ยมแล้ว เข้าใจในเหตุผลของสวามีแล้ว พระนางมิได้เศร้าหรือเสียใจพระนางยินดี เพราะยิ่งเป็นการช่วยให้พระสวามีได้สำเร็จตามวุตถุประสงค์เร็วขึ้นเสร็จแล้ว
พราหมณ์ผู้นั้น ก็เป็นพราหมณ์ที่มาทดลองพระเวสสันดรและได้คืนพระนางมัทรีให้ใครเลยจะกล้ารับพระนางมัทรีไป สมมติว่าเราไปเจอคนอย่างนั้นเข้า คู่ผัวตัวเมียที่มีความรักมั่นคง และเข้าใจถึงขนาดเสียสละอย่างนั้น ใครเลยพอที่จะใจร้ายใส้ระกำหินชาติ พวกเขาได้หรือ ?
ทำไม่ได้แน่ ถ้าเรายังมีความเป็นมนุษย์อยู่ในสันดาน ฉะนั้น ในที่สุดพระนางมัทรีก็ไม่ได้เสียอะไรไป ก็กลับอยู่ในสำนักของพระสวามีอีก
เรื่องเวสสันดรชาดก จึงเป็นเรื่องที่ให้คติธรรมความเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพราะฉะนั้น โบราณกาลของเราจึงได้เลือกเอาชาดกเรื่องนี้มาเป็นเทศน์ประจำ ยิ่งกว่าชาดกเรื่องอื่น โดยมุ่งหวังสอนให้ประชาชนรู้จักเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยการเสียสละส่วนตัว
เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่าสังคมนี่ทุกยุคทุกสมัยมีความเดือดร้อนขึ้นนั้น ไม่ใช่เดือดร้อนเพราะคนเสียสละ ความเดือดร้อนส่วนใหญ่มาจากคนที่ไม่รู้จักเสียสละ ถ้าทุกคนรู้จักเสียสละอย่างพระเวสสันดรแล้ว สังคมนี้จะน่าอยู่ โลกนี้ก็จะน่าอยู่มาก โลกไม่เคยเดือดร้อนเพราะคนเสียสละ
ตรงกันข้าม โลกเดือดร้อนเพราะคนกอบโกย ที่ไม่รู้จักเสียสละ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรายังจะมาตำหนิอีกหรือว่า เทศน์มหาชาติคร่ำครึ ฟังแล้วถ้าใครขืนปฏิบัติตาม เมืองไทยต้องขายชาติ ต้องยกให้บุคคลอื่น เป็นไปได้หรือที่จะเกิดโทษอย่างนั้นขึ้น เป็นไปไม่ได้เลย
เราฟังเทศน์มหาชาติมากี่ปีแล้ว จนกระทั่งบัดนี้ ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว นับตั้งแต่พระพุทธกาลมา มีการแสดงมาโดยลำดับจนบัดนี้ แล้วเราพบคนอย่างพระเวสสันดรมีกี่คน ที่จะยกลูก ยกเมีย ยกบ้าน ยกเมือง ยกทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา ยังไม่พบเลย ก็จะไปพบได้อย่างไร ถ้าทุกคนทำอย่างพระเวสสันดรละก็ เจ๊ง แน่นอนละซิถ้าคนในประเทศไทยทุกคน เกิดนัดกันทำอย่างพระเวสสันดรละมันก็เจ๊งแน่ แต่จะมีคนที่ทำได้อย่างพระเวสสันดร ก็ตั้งสองพันปีกว่าปี มีกี่คนที่ทำได้อย่างพระเวสสันดร ยังไม่พบไม่มีเลย ถ้าพบกรุณาบอกกระผมด้วยการกลัวว่า ทุกคนเป็นอย่างพระเวสสันดรแล้วก็แย่ โลกนี้ก็ลำบากละซิ ยกให้เขาหมดละซิ จึงเป็นเหมือนหนึ่งคนที่กลัวฟ้าจะพังหล่นมาทับฉะนั้น เป็นโรคเส้นประสาท คนที่กลัวอย่างนี้ เป็นโรคจิตทุกชนิด ไม่ใช่โรคจิตสามัญชาติ อย่างกระต่ายตื่นตูมอย่างนี้เป็นต้น
เรื่องเวสสันดรชาดกนั้น ให้คติธรรมในการสอนให้รู้จักการเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม เราควรจะภูมิใจเป็นอย่างยิ่งและรักษาประเพณีการฟังเทศน์มหาชาติไว้โดยช่วยกันบอกเล่า ชี้แจงความเข้าใจผิดอันไร้สาระ ของคนที่ไม่ได้ศึกษาสารัตถะแก่นสารของเวสสันดรชากดให้ถูกต้องเข้าใจเสียให้ดีบุคคลที่จะประพฤติอย่างพระเวสสันดรนี้ ถ้าหากเป็นคำถามขึ้น ก็ไม่มีใครเป็นพระเวสสันดรอีกแล้ว เราจะมาฟังเทศน์เวสสันดรชาดกทำไม
เทศน์เพื่ออบรมจิตใจของพวกเราให้รู้จักเป็นคนเสียสละ ขนาดเทศน์อย่างนี้ทุกปี ๆ เรายังจะหาคนที่มีความเสียสละได้ยากยิ่ง ไม่ต้องเสียสละอย่างพระเวสสันดรหรอกครับ เอาเพียงหนึ่งในร้อยของพระเวสสันดร ยังหาไม่ค่อยจะพบ นี่ถ้ายิ่งไม่เทศน์ก็จะยิ่งไปกันใหญ่ นี่ละซิเราควรจะทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเผอิญเราพบคนอย่างพระเวสสันดรเข้า ท่านทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า เราพบพระโพธิสัตว์องค์ใหม่แล้ว ท่านผู้นั้นเป็นหน่อเนื้อพระพุทธธางกูร กราบไหว้ท่านไว้เถิด เพราะท่านเป็นเนื้อนาบุญอันวิเศษ ในประเทศไทย ถามว่ามีตัวอย่างบ้างไหม? มีครับ มีบุคคลผู้ประพฤติอย่างพระเวสสันดร ท่านผู้นั้นได้แก่รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีปฏิปทาประหลาดมากครับ กระผมมั่นใจว่าพระองค์ท่านเป็นพระพุทธางกูรมาเกิดในบรมราชขัตติยวงศ์ เสวยพระชาติเป็นกษัตริย์ในประเทษไทยเพื่อสร้างบารมีที่เชื่อเช่นนั้น เพราะอะไร ?
เพราะมีปฏิปทาพระองค์ จริยาวัตรของพระองค์ท่านบ่งให้ทราบ ให้ท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ผู้เขียนบันทึกเหตุการณ์สมัยรัชกาลที่ ๓ ได้บันทึกจริยาวัตรของกษัตริย์พระองค์นี้ว่า
...ละครผู้หญิงท่านก็ไม่ค่อยจะทรง (โปรด) ท่านทรงแต่การวัดการวาการกุศลเท่านั้น เขียนไว้ย่อๆ เท่านี้ เขียนบอกไว้ว่าท่านไม่เพลิดเพลินต่อเรื่องกามสุข เพลิดเพลินแต่การสร้างวัดสร้างวา เจริญแต่ในทางพระกุศลอีกประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง อัธยาศรัยของพระองค์ท่านนั้นฝักใฝ่แต่ในเรื่องทานบริจาคอย่างมากน่าประหลาด เมื่อยังดำรงพระอิสริยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงว่ากรมท่า กรมท่าซ้ายท่าขวาขึ้นกับท่านหมด กรมท่าในสมัยนี้ก็เทียบกับกระทรวงต่างประเทศ กับกระทรวงเศรษฐการนี้รวมกัน เท่ากับกรมท่าซ้าย กรมท่าขวาในโบราณ แม่ทัพฝ่ายจีน-ญวน แขก ชวา มาลายู สังกัดอยู่ในสองกรมนี้ ว่าด้วยเรื่องสำเภาเรื่องค้าขายกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงตั้งโรงทานหน้าวังของพระองค์ นิมนต์พระมาเทศน์ทุกวันให้เป็นธรรมทาน และถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่มาบิณฑบาตผ่านมา และยาจกวณิพก คนเข็ญใจ คฤหัสถ์ไม่มีข้าวปลาจะกินไม่มีเสื้อผ้าจะนุ่งห่ม ให้มาเอาที่นี่ ทรงให้ทานไม่อั้นทุกอย่าง จนกระทั่งรัชกาลที่ ๒ ซึ่งเป็นพระราชบิดาออกอุทานเรียกพระองค์ว่าซึ่งเป็นพระโอรสว่า เจ้าสัว ว่า ฉันทำบุญสู้เจ้าสัวเขาไม่ได้ พระองค์ท่านได้มีพระราชดำรัสว่า ดูซิเขาเพียงแต่เพียงกรมหมื่น เขายังอุตส่าห์ตั้งโรงทานสองโรงหน้าวังเขาเลย เราเป็นถึงพระยามหากษัตริย์ ทำไมไม่มีโรงทานกับเขาบ้างเล่า เลยมีพระบรมราชโองการให้ตั้งโรงทานทางด้านประตูวิเศษไชยศรีปัจจุบันนี้ โรงทานนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ ด้วยความดลใจของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็นตัวอย่าง
ต่อมา กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เมื่อท่านทรงบำเพ็ญทานครั้งใด ท่านก็เปล่งว่า “ พุทโธ โหมิ อนาคเต ฯ “ ขอให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาล เวลาสร้างวัดวาอารามหลั่งน้ำทักษิโณทกถวายสงฆ์ ท่านก็เปล่งสีหนาทประกาศยืนยันความปรารถนาความเป็นพุทธภูมิของท่านอะไรไม่ประหลาดเท่ากับที่พระองค์บริจาคลูกเป็นทาน เรื่องนี้แปลกมาก เพราะพระองค์บริจาคพระราชโอรสพระราชธิดาเป็นทาน ประวัติศาสตร์ตอนนี้ลี้ลับมาก
ประวัติศาสตร์เรื่องนี้ที่เป็นที่เปิดเผยไม่ปรากฏ ไปปรากฏในจดหมายเหตุของกรมหลวงนรินทรเทวี มีข้อความอยู่ตอนหนึ่ง ว่า...
”....ได้ทรงสร้างพระบารมีโปรดคนโทษ ทำผิดคิดไม่ชอบต้องด้วยบทพระอัยการยกประทานชีวิตไว้ หลั่งน้ำทักษิโณทกตกศีรษะผู้ชาย ผู้หญิง โปรดประทานชีวิต ปล่อยเจ็ดคน แล้วมีสงฆ์มาขอพระองค์ใหญ่วิลาศ พระองค์ลักขนา อุทิศถวาย ไม่เสียดาย เด็ดดวงพระทัยยื่นแล้วสงฆ์ถวายคืน ว่าจะเพิ่มพระบารมี...”
นี่เป็นตอนหนึ่งในจดหมายเหตุของกรมหลวงนรินทรเทวี ซึ่งเรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า จดหมายเหตุเจ้าครอกวัดโพธิ์ เพราะพระองค์เป็นพระกนิษฐาของรัชกาลที่ ๑ เรียกกันว่าพระองค์เจ้าหญิงกุ ท่านสร้างวังอยู่ที่ข้างวัดโพธิ์ ตรงที่สร้างวิหารพระนอนในปัจจุบันนี้ เดิมเป็นวังของกรมหลวงนรินทรเทวีเจ้าพ่อวัดโพธิ์สร้างวังอยู่ และท่านเป็นคนเก็บอากรของคนตลาดที่ตลาดท่าเตียน รัชกาลที่ ๑ ยกให้ เพราะพระองค์เป็นน้องสาวคนละแม่ พ่อเดียวกัน และท่านผู้นี้ดำรงพระชีพมาถึง รัชกาลที่ ๓ ได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ มาถึง ๓ แผ่นดิน
ได้เขียนบันทึกเอาไว้ว่า
ได้มีพระสงฆ์มาขอพระราชโอรสพระราชธิดารัชกาลที่ ๓ ไป คือพระองค์เจ้าหญิงวิลาศ กับพระองค์เจ้าชายลักขณามงคล นี่ชายหนึ่ง หญิงหนึ่งเทียบได้กับชาลีกัณหา แล้วรัชกาลที่ ๓ ก็เด็ดดวงพระทัยยื่นยกให้เป็นทานอย่างพระเวสสันดรเหมือนกัน แต่แล้วพระท่านก็ถวายคืน แล้วทูลบอกว่าที่มาขอนี่ก็เพื่อทดลองพระบารมีว่า ที่อ้างปรารถนาพุทธภูมินั้นจะทำได้จริงใหม... เป็นการทดลองบารมีเป็นการส่งเสริมพระบารมี
น่าเสียดายที่ว่าพระสงฆ์ที่ไปทูลขอนั้น ในจดหมายเหตุไม่ได้ระบุว่า เป็นพระวัดไหน น่ารู้จริงนะครับ
ฉะนั้น เรื่องพระเวสสันดรชาดก กระผมขอจบลงด้วยการยกเอาอภิสวาจาของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ที่ได้ประกาศไว้ว่า...
"หทยํ จกฺขุปหํ ทชฺชํ กึ เม พาหิรกํ ธนํ
หริญฺญํ วา สุวณฺณํ วา มุตฺตา วา เวฬุริยา มณี
แปลความว่า...
เราพึงให้ดวงหทัยหรือดวงจักษุก็ยังให้ได้ เราจะหวงแหนอะไรกับทรัพย์ภายนอก คือเงินทองมุกดาไพฑูรย์มณี ได้
ชาลึ กณฺหาชนํ ธีตํ มทฺทึ ปติพฺพตํ
จชมาโน น จินฺเตสึ โพธิยาสึ เยว การณา
แปลความว่า... เราสละชาลีผู้โอรส กัณหาผู้ธิดา ตลอดจนมัทรี เทวี ผู้เคารพสามีโดยที่เราไม่คิดอย่างหนึ่งอย่างใด ก็เพราะเหตุอันจักสำเร็จโพธิญาณเท่านั้นฯ
น เม เทสฺสา อุโภ ปุตฺตา มทฺที เทวี น อปฺปิยา
สพฺพญฺญุตํ ปิยํ มยฺหํ ตสฺมา ปิเย อทาสหํ
... โอรสธิดาทั้งสองของเรา เราจะเกลียดชังก็หาไม่ พระนางมัทรีไม่เป็นที่รักของเราก็หาไม่ แต่สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรายิ่งกว่า เราจึงสละโอรสและธิดา พร้อมทั้งมัทรีเสีย เพื่อแลกกับสิ่งที่เรารักยิ่งกว่านั้นคือ พระสัพพัญญุตญาณ...ฯ
“ จบปาฐกถาข้อคิดเรื่องเวสสันดรชาดกเพียงเท่าน ี้”