สภาพทั่วไป
ดินแดนอันเป็นที่ตั้งของประชาชาติจีนเสรี ได้แก่เกาะไต้หวัน และเกาะเล็ก ๆ อีกราว ๖๐ กว่าเกาะ เกาะเหล่านี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก นอกฝั่งทะเลจีน ตรงข้ามมณฑลฟูเจี้ยนบนแผ่นดินใหญ่จีน เกาะไต้หวันเป็นเกาะใหญ่ที่สุด มีเนื้อที่ทั้งเกาะ ๓๕,๙๑๖ ตารางกิโลเมตรยาวจากเหนือมาใต้ ๔๐๐ กิโลเมตร กว้างจากตะวันออกมาตะวันตก ๑๒๐ กิโลเมตร ประมาณความยาวของเกาะราวกรุงเทพ ๆ - พิษณุโลก ความกว้างของเกาะราวกรุงเทพ ฯ - ราชบุรี นับว่าเป็นเกาะใหญ่พอดู ภูมิประเทศเป็นภูเขาราว ๒ ใน ๓ ของพื้นที่ มีเทือกขุนเขา จงยางแล่นจากเหนือมาใต้ ประกอบด้วยยอดเขาสูง ๆ เช่นยอดเขาซิงเกาซัน สูงถึง ๓,๙๕๐ ฟุต เป็นยอดเขาสูงที่สุดของเกาะมีหิมะปกคลุม ทางตะวันออกมีเทือกขุนเขา อาลิซันตามบริเวณเทือกเขาอุดมด้วยป่าไม้เบญจพรรณ และป่าไม้เมืองหนาว ที่ราบต่ำเป็นส่วนใหญ่อยู่ด้านตะวันตก แม่น้ำมีแต่สายสั้น ๆ ลมฟ้าอากาศอบอุ่นไม่สู้ร้อน ฤดูมรสุมมักเกิดลมไต้ฝุ่นและฝนชุก การเพาะปลูกนอกจากข้าวแล้วมีไร่ถั่วลิสง ไร่ชา ไร่อ้อย ไร่กล้วย การอุตสาหกรรมมีโรงงานผลิตน้ำตาล โรงานทำกระดาษและเครื่องอาหารกระป๋อง กล้วยส่งไปขายญี่ปุ่น พลเมืองมีราว ๑๐ ล้านคน เป็นชาวจีนส่วนใหญ่ มีทั้งที่มาตั้งภูมิลำเนาอยู่แต่โบราณ และที่อพยพมาอยู่ใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ นอกจากนี้ มีชาวพื้นเมืองเดิม ซึ่งมิใช่จีนอีกราว ๒ แสนคน ชาวพื้นเมืองนี้ นับวันถูกกลืนกลายเป็นจีนไปเรื่อย ๆการปกครองส่วนกลาง รัฐบาลคณะชาติได้ตั้งเมืองหลวงที่เมืองไทเป อยู่สุดด้านเหนือของเกาะ นครไทเปมีพลเมือง ๕ แสนเศษ ส่วนภูมิภาคแบ่งออก ๑๖ อำเภอ เมืองใหญ่ ๆ เช่นเมืองกีลุง ไทจง ไทนาน และเกาสง.
ประวัติของเกาะไต้หวัน
เกาะนี้แม้จะเป็นเกาะใหญ่ที่สุดในทะเลจีน แต่จีนก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากมายนัก ในสมัยโบราณเกาะนี้อยู่นอกเขตราชอาณาจักรจีนเสียด้วยซ้ำ ปรากฏว่าเมื่อหลายพันปีมาแล้วมีมนุษย์ในตระกูลไทย-แม้ว ซึ่งมีรกรากที่อยู่ในจีนได้อพยพเข้ามาอยู่ คือชาวพื้นเมืองของไต้หวันบัดนี้ เกาะนี้เริ่มปรากฏอยู่ในความสนใจของจีนในฐานะเป็นเกาะเทพนิยาย เช่น เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๓ จักรพรรดิ์ฉิงซื่อหวาง ปรารถนาจะแสวงหายาอายุวัฒนะ จึงส่งทูตออกไปแสวงหายังเกาะในมหาสมุทร ซึ่งเชื่อกันในครั้งนั้นว่าเป็นเกาะวิเศษ ปรากฏว่าเกาะวิเศษที่ว่านี้ มีเกาะญี่ปุ่น เกาะริวกิว และเกาะไต้หวันนี่เอง
ต่อมาเกาะไต้หวันก็มิได้ถูกสนใจจากจีนอีกเลย จนสมัยพวกฝรั่งออกมาแสวงโชคทางตะวันออก เกาะนี้จึงเป็นจุดพิสมัยของพวกแสวงโชคเหล่านี้ ผลัดกันเข้ายึดครองเป็นเจ้าเกาะฝรั่งพวกสุดท้ายเข้ามา ใน พ.ศ. ๒๑๘๕ คือฮอลันดาเข้ามาแย่งเป็นเจ้าของ
ในสมัยนี้เองชาวจีนจึงได้เริ่มตระหนักถึงคุณค่าของเกาะนี้ และมีนักแสวงโชคจีนอพยพเข้ามาตั้งรกราก เวลานั้นตรงกับปลายราชวงศ์เหม็งของจีน
ในปี พ.ศ ๒๒๐๔ แม่ทัพจีนชื่อ เจิงเฉิงกง ยกกองทัพเรือมายึดเกาะคืนจากฮอลันคา มีพลเมืองจีนอพยพตามกองทัพเข้ามาอยู่จำนวนมาก เนื่องด้วยสมัยนั้นแผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่ในอำนาจของพวกแมนจู ซึ่งตั้งราชวงศ์เช็งขึ้นแทนราชวงศ์เหม็ง อยู่ ณ กรุงปักกิ่ง เชื้อพระวงศ์เหม็งหนีภัยไปอยู่พม่า พวกข้าราชการทหารพลเรือนจีนที่ยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์เหม็งไม่ยอมขึ้นต่อกษัตริย์แมนจู ก็พากันข้ามทะเลมาไต้หวัน คนเหล่านี้มีจอมพลเจิ้งเฉงกงเป็นหัวหน้า เขาตั้งหน้าซ่องสุมรี้พลต่อสู้กับพวกแมนจู แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จ
ในที่สุดพวกแมนจูก็ครอบครองเกาะนี้ได้ และได้มีพลเมืองจีนตามมณฑลชายทะเลอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งภูมิลำเนาเพิ่มมากขึ้น เกิดมีบ้านเมืองแพร่หลายไปทั่วเกาะ มีฐานะเป็นมณฑลหนึ่งของจีน ลุปีพ.ศ. ๒๓๓๘ จีนแพ้สงครามญี่ปุ่น ต้องยกเกาะไต้หวันและหมู่เกาะใกล้เคียงให้ญี่ปุ่น แต่พลเมืองจีนไต้หวันไม่ยอม ชวนกันยกสมุหเทศาภิบาลจีนชื่อ ถังจิงสง ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ประกาศตั้งสาธารณรัฐไต้หวันขึ้นต่อสู้กับญี่ปุ่น ก็สู้ไม่ได้ ญี่ปุ่นจึงเป็นเจ้าเกาะนี้ตลอดมาตราบถึงสมัยที่ตนแพ้สงครามที่แล้วนี้ จีนจึงได้ไต้หวันกลับคืนไป
พระพุทธศาสนาสู่ไต้หวัน
ก่อนหน้าที่จีนจะเข้ามาอยู่ไต้หวัน ศาสนาของชาวพื้นเมือง ก็คือลัทธิบูชาผีสางวิญญาณและป่าเขาธรรมชาติอย่างชาวป่าทั่ว ๆ ไป เมื่อพวกฝรั่งเข้ามาพาเอาคริสต์ศาสนามาสอน ก็ไม่สู้จะแพร่หลายนัก เพราะชาวพื้นเมือง ตามป่าดงอีกจำนวนมาก ยังไม่ยอมรับรู้กับศาสนานี้ มิหนำซ้ำยังตั้งตนเป็นปฏิปักษ์อีกด้วย
ครั้นเมื่อจีนขับไล่ฝรั่งออกไป อิทธิพลคริสตศาสนาก็เป็นอวสานพระพุทธศาสนาได้แพร่หลายตามมา พร้อมกับประชาชนจีนที่อพยพเข้ามาด้วย เป็นพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานแบบจีน ทั้งนี้เพราะประชาชนส่วนใหญ่เป็นพุทธบริษัท
วัดพระพุทธศาสนาวัดแรกที่สร้างขึ้นในไต้หวันชื่อ วัดมีท่อซื่อ (วัตอมิตาภาราม) สร้างโดยจอมพลเจิ้งเฉิงกงพร้อมกับนายทัพนายกองร่วมกัน เมื่อสร้างเสร็จแล้วให้ไปนิมนต์พระสงฆ์จากแผ่นหินใหญ่จีนเข้ามาจำพรรษา ฉะนั้นวัดนี้ จึงเป็นปฐมสังฆารามแห่งแรกในไต้หวัน
ในปีพ.ศ. ๒๒๐๘ มีคณาจารย์นิกาย เซ็น ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของลัทธิมหายานชื่อสมณะ เชิ้งจือ นำคณะศิษย์มาตั้งสำนักสอนวิปัสสนากัมมัฎฐานในไต้หวัน จำเดิมแต่นั้นมาพระพุทธศาสนาก็เจริญแพร่หลายทั่วไต้หวัน มีการสร้างวัดขึ้นมาตามเมืองต่าง ๆ
ลุสมัยราชวงศ์เช็งปกครอง (พ.ศ. ๒๒๒๖-๒๔๓๘) พระพุทธศาสนายิ่งรุ่งเรืองขึ้น จำนวนวัดทวีมากขึ้นเพราะมีผู้ศรัทธาสร้างขึ้นเรื่อย ๆ วัดสำคัญที่สร้างในสมัยนี้เช่น วัดฟาฮัวซื่อ (วัตสัทธรรมปุณฑริการาม) สร้างโดย เจียงลิวอิง เจ้าเมืองไทนานพร้อมด้วยข้าราชการประชาชนร่วมกัน ครั้งเมื่อตกไปเป็นของญี่ปุ่นซึ่งเป็นพุทธบริษัทเช่นเดียวกัน ทางราชการญี่ปุ่นได้สนับสนุนกิจการพระศาสนาให้ไพศาลขึ้น
สมัยนี้นิกายพุทธศาสนาแบบญี่ปุ่นนิกายเซ็น นิกายจโยโด นิกายชินไค้แพร่หลายเข้ามา นิกายเหล่านี้มาตั้งสาขาขึ้นที่ไต้หวันและมีวัดของสงฆ์จีนหลายวัดขอขึ้นกับนิกายญี่ปุ่น จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ เกี่ยวกับการครองชีพของบรรพชิต เพราะแต่เดิมบรรพชิตในพุทธศาสนาแบบจีนต้องถือเพศพรหมจรรย์ มาบัดนี้ได้มีบรรพชิตส่วนหนึ่งเปลี่ยนไปถือแบบญี่ปุ่น คือมีครอบครัวไค้ และตำแหน่งเจ้าอาวาสก็สืบสกุลกันได้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้มีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่ยังคงรักษาจารีตเดิมก็ยังมีอยู่ทั่วไป
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ ภายใต้การสนับสนุนของทางราชการญี่ปุ่น พุทธศาสนสมาคมแห่งไต้หวันก็ได้อุบัติขึ้น เรียกชื่อว่า “พุทธศาสนสมาคมแห่งนานจวง” ประกอบด้วยภาคีที่เป็นทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ มีนิตยสารเผยแพร่พุทธธรรมออกประจำเดือน และมีการปาฐกถาอบรมความรู้ทางพระพุทธศาสนาเป็นครั้งคราว สมาคมนี้ตั้งอยู่ได้ร่วม ๓๐ ปี จนถึงสมัยไต้หวันคืนไปเป็นของจีนจึงยุติ
พระพุทธศาสนาในปัจจุบัน
ปัจจุบันกาลนี้ กล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนา ได้เปล่งรัศมีกำจายไปทั่วเกาะไต้หวัน อย่างไม่มีสมัยใดทัดเทียม เพราะมีคณาจารย์และอุบาสกที่คงแก่เรียนจำนวนหนึ่งจากแผ่นหินใหญ่จีน ติดตามรัฐบาลคณะชาติ เข้ามาสู่ไต้หวัน พุทธบริษัทผู้คงแก่เรียนเหล่านี้ ไค้เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สำหรับในด้านบรรพชิต มีอาทิเช่น ธรรมาจารย์อินสุน ธรรมาจารย์ไปเชิง ธรรมาจารย์อินปวย ธรรมาจารย์นานทิง ธรรมาจารย์เตายวน ธรรมาจารย์มอยู๊ ธรรมาจารย์ตุงชู ธรรมาจารย์ซูหมิง ธรรมาจารย์เตาอัง ฯลฯ ฝ่ายอุบาสกมีนายหลีบิงนาน นายจูเฟย นายหูก๊กอุย นายจางถิงยง นายหลีจือควง นายหลีซือจี๋ เป็นอาทิ สภาพพระพุทธศาสนาในไต้หวันมีดังนี้
๑. พุทธศาสนาสมาคมแห่งประชาชาติจีน เป็นองค์การสำคัญที่สุด ทำหน้าที่สัมพันธ์กับทางรัฐบาล และเป็นผู้แทนของพุทธบริษัททั้งหมด ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ๑ แสนเศษ จำนวนพุทธมามกะทั้งไต้หวันมีอยู่ ๗ ล้าน ๕ แสนคน วัดมี ๗๕๐ วัด เฉพาะที่กรุงไทเป มีวัดอยู่ราว ๙๐ กว่าวัด จำนวนบรรพชิตเป็นภิกษุณีมากกว่าภิกษุ (ฝ่ายมหายานภิกษุณีวงศ์ยังไม่สูญ)สำหรับภิกษุนั้นแบ่งออกเป็น ๒ คณะ คือ คณะที่รักษาจารีตแบบจีนมีการรักษาพรหมจรรย์และมังสะวิรัติอย่างเคร่งครัด พระภิกษุสามเณรที่มาจากแผ่นดินใหญ่ทั้งหมดก็อยู่ในคณะนี้ คณะที่ ๒ ได้แก่คณะที่เปลี่ยนไปถือแบบญี่ปุ่นดังกล่าวมาแล้ว.
๒. การศึกษาปริยติธรรม ในกรุงไทเปมีสำนักซานเจ้าพุทธวิทยาลัย ตั้งอยู่ในวัดสือพู่ซื่อ คำว่าซานจ้านแปลว่าไตรปิฎก สำนักเรียนแห่งนี้ ถ้าจะ เรียกอย่างไทยก็ว่าสำนักติปิฎกพุทธวิทยาลัย อาจารย์ใหญ่ผู้ตั้งสำนักคือธรรมจารย์ไปเซิ่ง นักศึกษามีทั้งภิกษุภิกษุณี ทางวัดให้อุปการะทั้งกุฏิและอาหาร มีนักศึกษาทั้งหมด ๖๐ กว่ารูป สำนักยังได้มีแผนกบำบัดโรคแก่ประชาชนเป็นสาธารณกุศลมีทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน และแผนโบราณประจำอีกด้วย นอกจากนี้ก็มีวัดเซนตาซื่อ ซึ่งเป็นวัดขนาดใหญ่ จัดให้มีการเทศนาอบรมความรู้ในพระพุทธศาสนา ในอภิลักขิตสมัยเป็นประจำ นอกเมืองไทเป ณ อำเภอซินจู้ มีสำนักฟูเยนพุทธวิทยาลัย เป็นสำนักศึกษาปริยัติธรรมชั้นสูงสุดของไต้หวัน ตั้งโดยธรรมาจารย์อินสุน ผู้รอบรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกและนักเทศน์ที่มีเกียรติคุณโด่งดังหนังสืออธิบายพุทธธรรมที่ท่านเป็นผู้เขียน มักจะต้องถูกพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้ง เพราะประชาชนพอใจในคำอธิบายที่ง่าย ๆ ชวนให้ซาบซึ้งในพระพุทธธรรมได้สะดวก สำนักฟูเยนพุทธวิทยาลัยเป็นอาคารชั้นเดียวสร้างติดต่อกันหลายหลังบนเนินเขาเล็ก ๆ ซึ่งมีไม้ดอกพฤกษชาติปลูกไว้ร่มรื่น นักศึกษาที่นี่เป็นพระภิกษุที่มีวิทยาคุณจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อมาศึกษาพุทธปรัชญากับท่านธรรมาจารย์อินสุนผู้ปราดเปรื่องในพุทธปรัชญาทุก ๆ สาขา โดยเฉพาะปรัชญาของนิกายศุนยตวาทิน ตามปกติมีพระภิกษุนักศึกษาอยู่ประจำไม่เกิน ๒๐ รูป ท่านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นนักเขียนนักปาฐกของพระพุทธศาสนา และสำนักฟูเยนพุทธวิทยาลัยยังไค้เปิดสอน วิชาการประถมศึกษา มัธยมศึกษา ในเวลากลางคืน แก่เด็กนักเรียนที่ยากจนทั่วไป โดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน ในอาณาบริเวณไม่ไกลจากสำนักยังมีสำนักศึกษาพุทธธรรมฝ่ายสตรี ซึ่งมีท่านธรรมาจารย์อินสุนเป็นอาจารย์ใหญ่เหมือนกัน สำนักเรียนแห่งนี้มีหลักสูตรการศึกษา ๓ ปี รับแต่ภิกษุณีและอุบาสิกาศึกษาความรู้พระพุทธศาสนาเบื้องต้น และในตำบลเดียวกันนี้ที่วัดหลิงอิงซื่อ มีสำนักปริยัติธรรมฝ่ายภิกษุอีกแห่งหนึ่ง หลักสูดร ๒ ปีเช่นเดียวกัน และอยู่ภายใต้การอำนวยการของธรรมาจารย์อินสุนด้วย. นอกจากนี้ยังมีพุทธวิทยาลัยตามหัวเมืองอื่น ๆ อีก ๗ แห่ง
๓. การเผยแผ่ ในไต้หวันปัจจุบัน มีนิตยสารพระพุทธศาสนารายเดือนถึง ๑๐ ฉบับ รวมทั้งสิบฉบับมีปริมาณการพิมพ์ ตกเดือนละ ๔ หมื่นเล่ม นิตยสารที่มีชื่อเสียงอยู่ในความนิยมของผู้อ่านมากมีอยู่ ๓ ฉบับ คือ
ก. นิตยสาร “ไฮเฉายิน” (แปลว่าเสียงแห่งคลื่นทะเล) นิตยสารฉบับนี้มีอายุเก่าแก่ที่สุดของวงการพุทธศาสนาจีน คือ มีอายุถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๔ นี้ได้๔๒ บี ผู้ให้กำเนิด คือ ท่านธรรมาจารย์ไท้สูซึ่งล่วงลับไปแล้ว เดิมออกมาอยู่ที่เมืองวูชาง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นบนแผ่นดินใหญ่ จึงย้ายมาอยู่ที่ไต้หวัน ปัจจุบันอยู่ภายใต้การอำนวยการของคณะอาจารย์ นักศึกษาแห่งสำนักฟูเยนพุทธวิทยาลัย ไฮเฉายินเป็นนิตยสารที่หนักไปในทางวิจัยพุทธปรัชญา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของพระพุทธศาสนา คือ เป็นเรื่องหลักวิชาล้วน ๆ จึงแพร่หลายในหมู่พุทธบริษัท ที่มีภูมิรู้ทางศาสนาดีแล้ว ถ้าจะเทียบ ก็คงเหมือนกับหนังสือธรรมจักษุ วารสารพุทธศาสนาของไทย ซึ่งพิมพ์โดยมหามกุฏราชวิทยาลัย.
ข. นิตยสาร “พู่ทีซู่” (แปลว่า ต้นโพธิ์)เป็นนิตยสารที่แพร่หลายไปกว้างขวางมาก แม้ในหมู่พุทธบริษัทจีนโพ้นทะเลเช่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มลายู และไทย นิตยสารฉบับนี้มีเข็มไปในทางสอนพุทธธรรมอย่างง่าย ๆ แก่ประชาชน ภายในเล่มมีสารกดี ปาฐกถา บทวิจารณ์ นิทานชาดก นวนิยาย ทายปริศนาธรรม ชิงรางวัลถามตอบ สอนพระพุทธศาสนาเบื้องต้น และข่าวพุทธศาสนาทั่วโลก กับมีบทความภาษาอังกฤษเป็นประจำทุกเล่ม ถ้าจะเทียบกับของไทย ก็น่าจะเป็นอย่างหนังสือศุภมิตรนี่แหละ เจ้าของผู้พิมพ์นิตยสารต้นโพธิ์นี้เป็นอุบาสกหนุ่มวัย ๓๐ เศษ คือ นายจูเฟย ได้อุทิศพลังงานทั้งหมดเพื่อกิจการนี้ เขามิได้มีการงานอย่างอื่นใดอีกเลย รายได้ที่เลี้ยงครอบครัวเขา ก็ได้จากค่าสมาชิกนิตยสารเท่านั้น แต่ก็สามารถดำรงชีพของเขาเองและลูกเมียได้พอสบาย บ้านเช่าเลขที่ ๓๙ ของเขาในเมืองไทเป จึงเป็นสำนักงานกองบรรณาธิการ เขากับลูกเมียช่วยกันดำเนินกิจการนิตยสารฉบับนี้ นักเขียนประจำของต้นโพธิ์ล้วนแต่เป็นอุบาสก ที่มีความรู้สูงและนักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยไทเป อิทธิพลของต้นโพธิ์ได้ก่อให้เกิดศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนาแก่เยาวชนเป็นอย่างมาก กล่าวได้ว่ามีเยาวชนหญิงชายจำนวนมาก ที่หันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เพราะอ่านต้นโพธิ์ปีหนึ่ง ๆ ไม่ใช่น้อยเลย เยาวชนตนหนึ่ง เขียนความรู้สึกไปว่า “หนังสือต้นโพธิ์ได้ก่อให้เกิดความสว่างแก่ฉันอย่างมากมาย มันไม่เพียงแต่ได้ช่วยบรรจุสาระลงในหัวใจอันว่างเปล่าของฉันเท่านั้น แต่ยังได้ช่วยให้ดวงความคิดอันกระเจิดกระเจิงของฉัน ได้ยุติความวุ่นวายลงสู่ความสงบ ทั้งยังเป็นดุจหนึ่งสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นเชื่อมฉันไว้กับพระพุทธศาสนา ฉันเพิ่งจะรู้จักสัจธรรมจากหนังสือต้นโพธิ์นี้เอง ท่านผู้อ่านที่รักถ้านิตยสารเผยแผ่พุทธศาสนาในเมืองไทยเรา สามารถสร้างอิทธิพลในความรู้สึกของเยาวชน อย่างหนังสือต้นโพธิ์ บางที เราอาจไม่ต้องมานั่งขบคิดแก้ความเสื่อมของศีลธรรมในหมู่เยาวชนดังทุกวันนี้ก็ได้.
ค. นิตยสาร “จงกว๋อฟูเจี้ยว” (แปลว่า พระพุทธศาสนาจีน) ออกโดยสำนักซานจ้านพุทธวิทยาลัย กรุงไทเป
ง. นิตยสาร “จินยื้อฟูเจี้ยว” (แปลว่าพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน) ออกโดยวัดเชนเตาซื่อ กรุงไทเป
สำหรับกิจการพิมพ์หนังสือตำรับตำรา ทางพระพุทธศาสนานั้น มีสำนักวัฒนธรรมพุทธศาสนาแห่งประชาชาติจีน ซึ่งตั้งโดยธรรมาจารย์ตุงชู กับคณะกรรมการที่เมืองเปทู้ สำนักนี้ได้พิมพ์พระไตรปิฎกชุดนี้ ปรากฏว่าจำหน่ายได้ในไต้หวันถึง ๖๐๐ จบ ส่วนอีก ๒๐๐ จบ มีพุทธบริษัทจีนโพ้นทะเลซื้อไป กับจัดเป็นธรรมบรรณาการแก่องค์การพระพุทธศาสนาในต่างประเทศ นอกจากนี้ มีคณะกรรมการจัดพิมพ์ ประชุมวรรณกรรมของธรรมาจารย์ไท้สู ซึ่งล่วงลับไปแล้ว พิมพ์ ๑,๐๐๐ จบ ๆ ละ ๖๔ เล่ม วรรณกรรมเหล่านี้ มีทั้งพระธรรมเทศนา บทเรียงความ บทวิจารณ์ บทค้นคว้าและโคลง ซึ่งล้วนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น นับว่าธรรมาจารย์ไท้สู เป็นผู้ผลิตงานด้านวรรณกรรมมากที่สุด ของพระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบันนี้ ที่วัดเชนเตาซื่อ แผนกเผยแผ่พุทธคัมภีร์ ได้พิมพ์พระสูตร พระอภิธรรม ปกรณ์วิเศษอื่น ๆ จำหน่ายในราคาย่อมเยาและแจกเป็นธรรมทาน ในระยะ ๔-๕ ปีมานี้ได้พิมพ์ไปแล้ว ๒ แสน ๓ หมื่นเล่ม
นักศึกษาตามมหาวิทยาลัย เช่นมหาวิทยาลัยไทเป ได้ตั้งกลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์กันขึ้นเอง คณะบุคคลอันประกอบด้วยภิกษุและคฤหัสถ์ ได้มีกุศลจิตตั้งทุนการศึกษาแก่นักศึกษาที่ยากจน แต่มีความประพฤติดี ขยันเรียนและสนใจในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น การเผยแผ่ภายนอกประเทศ มีธรรมาจารย์หลายท่าน เช่น ท่านอินสุน ไปเผยแผ่ที่ฟิลิปปินส์ ท่านอิวปวยมาประเทศไทย และกัมพูชา เวียดนาม ท่านมออยู๊ ไปมลายู สิงคโปร์ ท่านธรรมาจารย์เหล่านี้ได้ไปแสดงธรรมแก่ชาวจีนโพ้นทะเลที่พำนักในดินแดนต่าง ๆ แห่งหนึ่ง ก็เป็นเวลาหลายเดือน เมื่อจบรายการเผยแผ่แล้ว จึงกลับไต้หวัน นี่แหละสภาพของพระพุทธศาสนาในจีนไต้หวัน ที่เรียกอย่างหนังสือพิมพ์ว่าจีนเสรี ทั้ง ๆ ที่ข้าราชการผู้ใหญ่ของจีน ส่วนมากเป็นคริสตศาสนิก (ความจริงบุคคลเหล่านี้ก็มิได้เป็นพุทธบริษัทมาก่อน) แต่พระพุทธศาสนายังคงเป็นปึกแผ่นแผ่ไพศาลในประชาชน นับวันจะยิ่งรุ่งเรืองขึ้น