การเวียนว่ายตายเกิด
เสถียร โพธินันทะ
ปาฐกถาธรรม ณ พระตำหนักสมเด็จวัดมหาธาตุ ฯ วันที่ 2 มกราคม 2509
ปาฐกถาธรรม ณ พระตำหนักสมเด็จวัดมหาธาตุ ฯ วันที่ 2 มกราคม 2509
ท่านสาธุชนทั้งหลาย
หัวข้อปาฐกถาธรรมวันนี้เป็นการพูดข้อเบ็ดเตล็ดบางสิ่งบางอย่างที่ยังเป็นปัญหาในกลุ่มชาวพุทธมามกะของเรา เรื่องเบ็ดเตล็ดที่เป็นปัญหาที่ชาวพุทธของเรา พูดกันถกเถียงกันอยู่นั้นไม่ใช่มีอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ความจริงแล้วถ้าจะประมวลเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลลงมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เรื่องราวก็มีมาก
เป็นปัญหาที่น่าขบคิดทั้งนั้นเพราะในวันนี้จะได้นำเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่มาวิจารณ์สักสองเรื่องด้วยกันก่อน
เรื่องแรกก็คือปัญหาเรื่องของ การเวียนว่ายตายเกิด เรื่องนี้ไม่ว่าจะไปพูดในที่ใด ถ้ายิ่งไปพูดตามโรงเรียนด้วยแล้วมักจะมีนักเรียนนักศึกษาเอาปัญหานี้มาถาม ว่าตายแล้วเกิดจริงหรือไม่จริง สวรรค์นรกมีจริงหรือไม่จริง ถามกันอย่างนี้บ่อย และก็เป็นปัญหาที่มีมาก่อนพุทธกาลแล้ว เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธองค์ก็เคย แล้วพระพุทธองค์ก็ได้ตอบไปแล้ว
แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นปัญหาต่อเนื่องกันเรื่อยมากระทั่งถึงเดี๋ยวนี้
และเชื่อว่าจะต้องเป็นปัญหาต่อเนื่องกันต่อไปจนกว่ามนุษย์ในโลกนี้จะไม่มี คือถ้าหาว่า ในโลกนี้ยังมีมนุษย์อยู่ ปัญหาเรื่องว่าสงสัยว่าตายแล้วเกิดหรือไม่นี้มันก็มีอยู่เรื่อยไปละครับ อันนี้ก็น่าจะเป็นประเด็นอันหนึ่งที่เราน่าจะเอามาวิจารณ์กันเกี่ยวกับปัญหาเรืองนี้ ปัญหาตายแล้วเกิดหรือไม่ ถ้าหากว่าจะพูดตามนัยในพระพุทธศาสนา
การตอบปัญหาในพระพุทธศาสนาเรา พระพุทธเจ้า ท่านได้เสนอวิธีการที่จะโต้ตอบปัญหานี้ออกเป็น 4 ประการด้วยกัน คือว่า ปัญหาบางอย่างเมื่อมีผู้ตั้งขึ้นแล้ว ผู้ที่จะแก้ปัญหาก็ต้องตอบด้วยวิธียืนกระต่ายขาเดียว ปัญหาประเภทนี้เรียกว่า “ เอกังสพยากรณ์ “ คือ การตอบโดยการยืนกระต่ายขาเดียว ปัญหาบางอย่างตอบด้วยวิธีการยืนกระต่ายขาเดียวไม่ได้ จะต้องกล่าวจำแนกตามประเภทตามเหตุการณ์ อย่างนี้เรียกว่า “ วิภัชพยากรณ์ “ ปัญหาบางอย่างผู้ตั้งปัญหาถามขึ้นแล้ว ผู้ตอบก็ต้องเอาคำถามของเขานี่ยันผู้ถามอย่างนี้ เรียกว่าย้อนหรือเรียกว่าศอกกลับ ถ้าจะว่าไปแล้วก็เรียกว่าศอกกลับก็ว่าได้ เรียกว่า ปฏิปุจฉาพยากรณ์
ปัญหาบางอย่างตั้งขึ้นมาถามแล้วผู้ถามมีเจตนาที่ไม่ใคร่จะบริสุทธิ์ ผู้ตอบพิจารณาเห็นว่า ตอบไปแล้วไม่เกื้อกูลต่อประโยชน์ทั้งใน อดีต ปัจจุบันและอนาคต ก็เป็นสิทธิที่ผู้ตอบจะยกเลิก ยกปัญหาเสีย ไม่ตอบ อย่างนี้เรียกว่า ฐปนียพยากรณ์
เป็นวิธีการตอบปัญหาในพระพุทธศาสนา 4 ประการ วิธีการตอบปัญหา 4 ประการนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงใช้มาตลอดสมัยของพระองค์ในการโต้ตอบกับพวกสมณพราหมณ์ เดียรถีนิครนถ์ต่างๆ ที่เข้ามาลองดีพุทธิปัญญาของพระองค์ หรือผู้ที่เข้ามาตั้งคำถามโดยความเจตนาบริสุทธิ์ ต้องการจะมีความรู้ความสว่างจากพระองค์ก็ต้องอาศัยการพิจารณาของพระองค์ว่าปัญหาเหล่านี้ควรจะตอบด้วยวิธีอะไร ควรที่จะตอบด้วยเอกังสพยากรณ์ก็ตอบด้วยเอกังสพยากรณ์
ควรที่จะตอบด้วยวิภัชชพยากรณ์ก็ตอบด้วยวิภัชชพยากรณ์ ควรที่จะตอบด้วยปฏิปุจฉาพยากรณ์ก็ตอบด้วยปฏิปุจฉาพยากรณ์ แล้วควรที่จะตอบด้วยฐปนียพยากรณ์ก็ตอบด้วยฐปนียยพยากรณ์ไปตามเรื่อง
คราวนี้ปัญหาเรื่อง ตายแล้วเกิด ในข้อนี้ถ้าจะเอาวิธีการตอบปัญหา 4 ประเด็นมาตอบปัญหาตายแล้วเกิดควรจะเอาอะไรมาตอบ ในวิธีการ 4 ข้อ ก็ต้องดูเหตุการณ์อีกนะครับ ยกตัวอย่างเช่นว่ามีปริพาชกคนหนึ่งเป็นคนถือ สัสสตทิฏฐิ ถึอว่าตายแล้วอัตตาของเขานี่ อัตตาตัวนี้แหละหรือเรียกว่าวิญญาณนี่แหละ ไปเวียนว่ายตายเกิด อัตตาตัวนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรผัน มั่นคงดุจเสาระเนียด ชื่อว่า วัชชโคตรปริพาชก วัชชโคตรมีทิฏฐิอย่างนี้ เมื่อตั้งปัญหาถามพระพุทธเจ้าว่าพระสมณโคดม ตายแล้วเอาอะไรไปเกิด พระพุทธเจ้าไม่ตอบ ไม่ตอบปัญหาข้อนี้แก่วัชชโคตร วัชชโคตรก็เสียใจ ก็ตัดพ้อพระพุทธเจ้าว่า แหม ช่างกระไรเลย เขาเองมีความสงสัยในปัญหาข้อนี้ ผูกใจมานานนักหนาแล้ว นึกว่าได้รับความสว่างในสำนักของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ากลับไม่ตอบปัญหา เขาตัดพ้อพระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็บอกว่าวัชชโคตร ถ้าหากว่าตถาคตจะตอบปัญหาข้อนี้แก่เธอ เธอเป็นสัสสตทิฉฐิอยู่แล้วนะ ถ้าตอบปัญหาข้อนี้แก่เธอเมื่อไหร่ละก็ เธอจะเข้าใจผิด ยิ่งจะเป็นสัสสตทิฉฐิยิ่งขั้นไปอีก เป็นทวีตรีคูณทีเดียวละ เพราะฉะนั้นปัญหาข้อนี้เราจึงไม่ตอบเธอ เพราะอะไรถึงทรงแสดงอย่างนั้น
เพราะว่าโดยความจริงแล้วคนที่ยังมีกิเลสอยู่ ตายแล้วก็ต้องเกิด ถ้าพระองค์ตรัสบอกกับวัชชโคตรบอกว่าคนเราตายแล้วเกิด วัชชโคตรซึ่งกำลังหลงผิดยึดถืออยู่แล้ว ว่าอัตตาของตัวนี่แหละมั่นคงดุจจะเสาระเนียด เป็นผู้ไปเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพต่างๆ ก็ยิ่งจะเตลิดเปิดเปิงนึกวาพระพุทธเจ้ามาสนับสนุนทิฏฐิของตัวว่าจริง
เมื่อคนเราตายแล้วต้องเกิด สิ่งที่ไปเกิดเป็นตัวนั่นแหละ คือตัวอัตตาที่ข้ากำลังถืออยู่ ณ บัดนี้นี่แหละ พระพุทธเจ้ามาสนับสนุนทิฏฐิของตัวอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าจึงไม่ตอบวัชชโคตรก่อน เป็นเหตุให้เขาเกิดความสงสัยยิ่งขึ้น เมื่อตัดพ้อเช่นนี้แล้วพระองค์จึงแสดง “ ปฏิจจสมุปบาท “ ให้เห็นเป็นการทำลายสัสสตทิฏฐิของวัชชโคตรปริพาชก
ถ้าไปตอบอย่างง่ายๆ บอกว่า เออ คนเราตายแล้วก็ต้องไปเกิดซิ วิญญาณนี่แหละไปเกิด ตอบง่าย ๆ อย่างนี้ คนที่เป็นสัสสตทิฏฐิก็จะ หลงผิดเป็นสัสสตทิฏฐิยิ่งขึ้น จึงไม่ทรงตอบในเบื้องแรก แล้วก็แสดง ปฏิจจสมุปบาท ในเบื้องปลายเป็นการทำลายความเข้าใจผิดของวัชชโคตรปริพาชกไปเสีย นี่เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง
คราวนี้ถ้าหากว่าสำหรับคนที่เชื่ออยู่แล้วว่ากฏแห่งกรรมมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง แล้วสิ่งที่ไปเวียนว่ายตายเกิดนี่ ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน เราเขาอะไร แต่ทว่าเป็นสังขารธรรมที่เกิดดับสืบสันตติกันได้ ถ้าคนมีความเชื่อถือเช่นนี้มาตั้งปัญหากับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงพยากรณ์ไปตามเหตุคือ พยากรณ์ใช้วิธีวิภัชชพยากรณ์ บอกว่าถ้าคนยังมีกิเลสตัณหาอยู่ก็ต้องทำอะไรที่เป็นกรรม เมื่อมีกรรมแล้วก็มีวิบาก
ชีวิตยังสั้นอยู่ในชาติหนึ่งภพหนึ่ง ไม่สามารถจะชดเชยวิบากในชาติหนึ่งภพหนึ่งได้ มันก็ต้องไปยกยอดในชาติหน้า ไปรับวิบากในชาติใหม่ภพใหม่ต่อไป อย่างนี้ก็ทรงตอบ
อย่างเช่นมีอุบาสก อุบาสกหรือชาวพุทธในพระศาสนาที่มีความเข้าใจในเรื่องกฎของกรรมดีพอแล้ว ตั้งปัญหาถามพระองค์พระองค์ก็แสดงโดยวิภัชชพยากรณ์หรือแม้ไม่ต้องตั้งปัญหา พระองค์ก็แสดงอยู่แล้ว เช่นว่าแสดงกับพระอานนท์เถรเจ้า พยากรณ์คติพจน์ของบรรดาอุบาสก อุบาสิกาในนาลันทคามว่า อุบาสกชื่อนั้นมรณะไปแล้วกำลังเสวยอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ตาม ทิฏฐานุคติอันชอบของผู้นั้น ทรงพยากรณ์ทิฏฐิอยู่แล้ว ทรงพยากรณ์คติของผู้ล่วงลับไปแล้วให้กับพระอานนท์เถระเจ้าฟัง
แล้วก็ตรัสบอกว่าดูก่อนอานนท์ ที่ตถาคตพยากรณ์คติสัปรายภพของอุบาสกชื่อนั้น อุบาสิกาชื่อนั้น ณ. ตำบลบ้านนั้น ๆ เพราะเหตุไร ก็เพื่อว่าจะเป็นเครื่องพยุงใจให้แก่ปัจฉิมาชนตาชน คือชนที่เกิดภายหลัง ได้มีความกระปรี้กระเปร่า มีกำลังใจในการประกอบกุศลกรรม มีกำลังใจในการทำความดี เพราะมีข้อยืนยันว่าเมื่อทำกรรมดีอย่านี้แล้ว ตายไปแล้วก็ได้เสวยผลกรรมดีในคติสัมปรายภพนั้น ๆ
ทรงแสดงอย่างนี้คนที่ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวตะวันตกที่แรกเริ่มศึกษาพุทธศาสนาใหม่ ๆ พอรู้ว่าพระพุทธเจ้าปฏิเสธเรื่องโซล คือ วิญญาณหรือตัวอาตมัน ภาษาฝรั่งเรียกกันว่าโซลก็นึกว่าพุทธศาสนานี้ไม่ด้สอนเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องไร้สาระ หรือแม้แต่นักปราชญ์บางท่านในเมืองไทยเรา เวลาแสดงปาฐกถาก็ยังโจมตีว่าการพูดเรื่อง เวียนว่ายตายเกิดนี้เป็นเรื่องนอกคอก นอกบาลี ที่ไหนพระพุทธเจ้าจะมาสนใจเรื่องนี้
ควรจะพูดแต่เรื่องทางพ้นทุกข์ลัดนิ้วมือเดียว ทำอย่าไรถึงจะพ้นทุกข์ดีกว่า พูดเรื่องพุทธภาวะในจิตเดิมแม้นี่ดีกว่า จะได้พ้นทุกข์ไปไว ๆ ตรัสรู้เร็ว ๆ ดีกว่าจะไปมัวแต่พูดเรื่องเนิ่นช้า เรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องวัฏสงสาร เป็นเรื่อทำให้คนเนิ่นช้า ไปพูดเรื่องนี้ทำไม ปฏิจจสมุปบาทว่าที่จริงแล้วก็มีขณะ ปัจจุบันขณะเดียว นี่มติของบางท่านนะ แต่ไม่ใช่ทั่วไปหรอก บางท่านว่าปฏิจจสมุปบาทอยู่ในขณะจิต ปัจจุบันขณะเดียวอย่างนี้ โดยปฏิเสธอตีตอัทธา อนาคตอัทธาปฏิเสธหมด ว่าเรื่องการแบ่งปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นมติของพระอรรถกถาจารย์ ที่ไหนจะมีในบาลีพุทธพจน์ ปฏิเสธอย่านี้ก็มีอยู่ ซึ่งถ้าหากว่าจะพิจารณาแล้วจะเห็นว่าธรรมะในพุทธศาสนานี้ไม่ใช่จะเกณฑ์คนทุกคนให้เป็นพระอรหันต์ในพริบตาเดียวหมด
ถ้าไปถืออย่างนั้นละก็เอ่ยคำอะไรจะไปนิพพานกันร่ำไปอย่างนี้น่ากลัวพุทธศาสนาจะไม่ได้แพร่หลายยั่งยืนถึงทุกวันนี้เป็นแน่ เพราะว่าธรรมะในพุทธศาสนามีหลายชั้น หลายวิธีการเหมือนกับอัธยาศัยของสัตว์ตั้งแต่โง่กระทั่งถึงคนฉลาด เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาจึงเป็นสาธารณะประโยชน์แก่ผู้ที่น้อมนำไปปฏิบัติ ได้ทุกชั้นทุกวัย
ไม่ใช่จะเกณฑ์คนให้เป็นพระอรหันต์กันหมดในพริบตาทั้งโลก เป็นไปไม่ได้ เพราะเรายังต่างกรรมต่างวาระ ต่างอัธยาศัย อย่างไรก็ตาม เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี้เป็นประเด็นสำคัญที่สุดในพุทธศาสนา เราจะเป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์ไม่ได้ ถ้าเราไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอันนี้
สัมมาทิฏฐิในองค์มรรคในมรรค 8 นี่ สัมมาทิฏฐิแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ โลกียสัมมาทิฏฐิ โลกียสัมมาทิฏฐิได้แก่อะไร ได้แก่ กัมมัสสกตาญาณ ถ้าคนที่มีกัมมสกตาญาณเชื่อในเรื่องว่าทำกรรมได้รับผลแห่งกรรมนั้นเท่ากับเชื่อว่าจะต้องมีเวียนว่ายตายเกิด
ถ้าเชื่อกรรมก็ต้องเชื่อเวียนว่ายตายเกิดเป็นเงาตามตัว คน ๆ นั้นก็ขาดโลกียสัมมาทิฏฐิ เมี่อไม่มีโลกียสัมมาทิฏฐิแล้ว โลกุตตรสัมมาทิฏฐิก็เกิดไม่ได้ โลกุตตรสัมมาทิฏฐิได้แก่การเห็นแจ้ง ในอริยสัจจ์ 4 เป็นโลกุตตรสัมมาทิฏฐิแต่การที่จะเห็นแจ้งในอริยสัจจ์ 4 ได้นั้น คนนั้นจะต้องมี โลกียสัมมาทิฏฐิเป็นบุพภาค ไม่มีโลกียสัมมาทิฏฐิเป็นบุพภาคแล้ว การเห็นแจ้งในอริยสัจจ์เป็นไปไม่ได้
คือพูดง่ายๆ ว่าถ้าไม่มีกัมมัสสกตาญาณเสียแล้ว ที่ไหนจะมาเชื่อเรื่องมรรคผลนิพพาน ถ้าคนเราไม่มีกัมมัสสกตาญาณแล้ว ไม่เชื่อเรื่องมรรคผลนิพพานอย่างเด็ดขาด อันนี้แหละครับเป็นปัจจัยสำคัญที่ว่าทำอย่างไรจะทำให้กัมมัสสกตาญาณในคนปัจจุบันนี้มีมาก ๆ เพราะความชั่วในสังคมปัจจุบันเกิด เพราะคนในสังคมปัจจุบันนี้ ขาดกัมมัสสกตาญาณ ขาดโลกียสัมมาทิฏฐิ โลกุตตรสัมมาทิฏฐินี่เราอย่าเพิ่งไปหวังเลย เอาแค่โลกียสัมมาทิฏฐิ ก่อนว่าทุกวันนี้เราจะช่วยสังคมให้ปลอดภัยจากเรื่องความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมได้อย่างไร
ถ้าหากว่าเราทุกคนเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดแล้ว สังคมก็จะเป็นสังคมที่ปลอดโปร่งสบาย เรื่องการทำร้ายเรื่องการเบียดเบียนก็จะบรรเทาเบาบางลงเหมือนอย่างสังคมสมัยโบราณ ซึ่งเป็นสังคมของชาวพุทธแท้ ๆ กลัวบาปกลัวกรรมกัน เรื่องการทำร้ายคดีอุกฉกรรจ์แปลก ๆ ที่ทุกวันนี้มีอยู่ในครั้งกระโน้นก็ไม่มี อันนี้แหละครับสำคัญมาก เพราะเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตอบปัญหาบางครั้ง ถ้าหากว่าไม่พิจารณา ก็นึกว่าพระพุทธเจ้าปฏิเสธเรื่องชาติหน้า
อย่างตอบวัชชโคตรปริพาชก ถ้าไปอ่านเพียงครึ่งเดียวเหมือนพระพุทธเจ้าไม่ตอบ ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าชาติหน้าไม่มีซิ ถ้านึกอย่างนั้นเข้าใจผิด ต้องไปดูตอนปลายว่าพระพุทธเจ้าพูดกับวัชชโคตรว่าอย่างไร แล้ววัชชโคตรมีสันดาน มีทิฏฐิมาก่อนอย่าไร แล้วเพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงไม่พูดกับวัชชโคตรทันทีทันควัน ว่าชาติหน้ามีอะไรไปเกิด นี่เราต้องพิจารณาโดยโยนิโสมนสิการให้ดีว่าข้างหน้าข้างหลังชนปลายอย่างไร
โดยมากคนที่นึกอย่างนั้น ไปจับเอาความข้างเดียวมาพูด ไม่ได้ดูความถ่องแท้ทั้งเบื้องต้นเบื้องหลัง
แล้วก็บอกว่าพระพุทธศาสนานี่ปฏิเสธภพชาติ นี่เป็นเรื่องนอกศาสนาเป็นเรื่องศาสนาพราหมณ์ พระพุทธเจ้าแท้ ๆ ท่านแสดงมีแต่เรื่องพ้นทุกข์อย่างเดียว เรื่องจะไปนิพพานอย่างเดียว เรื่องนอกนั้นเป็นเรื่องนอกศาสนา เป็นพราหมณ์ทั้งนั้นแหละ นึกอย่างนั้นเป็นความเข้าใจผิด คราวนี้ถ้าจะเกิดชาติหน้ามีอยู่ การเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่ ก็มักจะมีปัญหาขึ้นมาว่าทำไมเรายังระลึกชาติไม่ได้ ถ้าชาติหน้ามี อะไรเป็นเหตุที่ให้เราระลึกชาติไม่ได้ และเหตุที่เป็นเหตุให้เราระลึกชาติไม่ได้ ไม่ใช่อื่นไกลหรอกครับ เพราะว่า เรามารับ จิตตชรูป อุตุชรูป อาหารชรูปในปัจจุบันภพ รูปที่เราติดมาแต่อดีตภพเกิดจากอดีตกรรมนี่ มีกัมมชรูปอันเดียว
กัมมชรูปที่เกิดพร้อมในปฐมปฏิสนธิขณะจิต กัมมชรูปเกิดหยั่งลงสู่ครรภ์ของมารดา ปฏิสนธิจิตเกิดขณะต้นกัมมชรูปก็เกิดพร้อมทีเดียว อันนี้กัมมชรูปนี้สืบมาจากอดีต อดีตกรรม ปรุงโดยตรง สายตรงมาทีเดียว แต่ว่าอาหารชรูป อุตุชรูป เรามารับเอารูปใหม่ในปัจจุบันภพ กายเนื้อ กายหยาบที่เราเห็นอยู่นี้ มหาภูตรูปนี่เรามารับเอาใหม่ในปัจจุบันภพ รับเอาใหม่อันสำเร็จมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อแม่ร่วมกัน
เพราะฉะนั้นมันสมองคือ สมองของเรานี่แหละก็เป็นของใหม่ ไม่ใช่ของเก่า มันสมองนี่เป็นรูปใหม่ในปัจจุบันภพ ไม่ใช่ของเก่าสืบมาจากชาติก่อน ของเก่าที่เป็นส่วนรูปธาตุมาจากชาติก่อนมีเพียงกัมมชรูปอย่างเดียว คราวนี้เมื่อมันสมองเป็นของใหม่ มันสมองเท่ากับว่าเป็นเครื่องมือสำหรับให้จิตเหมือนกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าจะปรากฏจะมีปฏิกิริยาออกมาก็ต้องผ่านไดนาโม ถ้าไม่มีเครื่องไดนาโมแล้ว ไฟฟ้าจะไม่มีปฏิกิริยาออกมา
ทุกวันนี้ในอากาศเรานี่มีไฟฟ้าทั้งนั้นแหละ แต่ที่ไม่มีปฏิกิริยาเพราะเรามองไม่เห็นมัน เพราะว่ายังไม่มีเครื่องเข้าไปจับไปกระจายพลังงานมันออกมา ไปกลั่นกรองพลังงานมันออกมา เราก็ยังไม่สามารถสัมผัสไฟฟ้าได้ แต่ว่าความจริงแล้ว ไฟฟ้ามีอยู่รอบบรรยากาศในรอบตัวเรานี่ฉันใด จิตก็เหมือนกัน จิตสืบสันตติมาจากภพเก่าเป็นองค์แห่งภพ เก็บเอาพฤติกรรม ต่างๆ ในชาติก่อน ๆ เอาไว้
แต่จิตนั้นจะสำแดงพฤติการณ์ออกมาได้ก็ต้องผ่านสมอง ผ่านทางสมองออก แล้วสมองก็สั่งงานไปทางประสาท ทางร่างกายอีกชั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้นท่านจึงเปรียบบอกว่า สมองนี่เหมือนกับเครื่องจักร ชีวิตกับร่างกายเหมือนกับลำเรือ มันสมองเหมือนเครื่องจักร ส่วนผู้คุมเครื่องจักร กัปตันเรือคือ จิต มีเพียงลำพังกัปตันเรือ แต่ว่าไม่มีเครื่องเรือก็ไม่มีลำเรือก็ไม่สำเร็จอีก มีแต่ลำเรือ มีเครื่องเรือ ไม่มีกัปตันเรือ เรือลำนั้นก็เป็นซาก ทำอะไรไม่ได้ แล่นก็ไม่ไป ไม่มีคนคุมคนจัดการให้เครื่องมันเดิน มันก็แล่นไม่ไปฉันใด ชีวิตกับร่างกายมันสมองก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมื่อมันสมองเป็นเนื้อก้อนใหม่ ๆ ที่สำเร็จในปัจจุบันภพเช่นนี้แล้ว มันสมองก้อนนี้จึงไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะทำให้จิตระลึกชาติเก่า ๆได้ เพราะเป็นของใหม่ในปัจจุบัน ก็คิดได้ทำได้แต่ของใหม่ ๆ จิตเองแม้จะระลึกชาติก็ระลึกไม่ออก เพราะอะไร
เพราะความที่จิตนั้นถูกความเศร้าหมองของกิเลสสะกดเอาไว้ สะกดเอาไว้ ท่านเปรียบจิตเหมือนกับบ่อน้ำ บ่อน้ำที่แสนจะลึก แล้วก็อารมณ์ต่างๆ หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำมาแต่ชาติภพเก่า ๆ เหมือนกับเราโยนเอาทัพพสัมภาระวัตถุต่างๆ ลงในบ่อน้ำนั้น โยนทับถมกันเรื่อยไป ที่โยนไปก่อน ๆ ก็ถูกของใหม่ ๆ ทับเอาไว้ มองไม่เห็น เราจะเห็นได้เฉพาะที่เพิ่งจะโยนประเดี๋ยวประด๋าวใหม่ๆ เมื่อกี้นี้ โยนเมื่อกี้นี้แต่โยนเมื่อกี้นี้ขณะที่ยังไม่จมถึงก้นบ่อก็ยังพอเห็น แต่พอจมถึงก้นบ่อแล้วก็ไม่เห็นอีก เพราะอะไร เพราะความขุ่นของน้ำ
ความขุ่นอันนี้ก็คือ กิเลส กิเลสตัณหาที่มันเกาะเป็นสนิมใจ เกาะกันมา ทับถมกันมา ธรรมดาบ่อน้ำของโยนมากก็จะไม่เห็นอยู่แล้วนะ มิหนำซ้ำเจ้าน้ำในบ่อนั้น ยังเป็นน้ำขุ่นอีกเสียด้วย ขุ่นอย่างน้ำครำอย่างนี้ เพราะฉะนั้นของอะไรร้อยแปด โยนลงไปจึงไม่มีเห็นหรอก ไม่มีเห็น ขณะดังป๋อมใหม่ ๆ พอเห็น พอรู้ แต่โยนแล้วไม่ใช่วันเดียวสองวันตั้งหลายร้อยอเนกอันนตชาติ
แล้วเราจะไประลึกได้อย่างไร ไม่มีทางระลึกได้ มิหนำซ้ำสด ๆ ร้อนๆ เช่นว่าเราตายปุบเกิดปับอย่างนี้ ควรจะระลึกชาติเก่าได้ยังระลึกไม่ได้ ก็เพราะอะไร เพราะมาเจอมันสมองก้อนใหม่นี่มาเป็นอุปสรรคสำคัญ คอยกีดกั้นเอาไว้ มันสมองก้อนี้แหละที่เรารับจากพ่อแม่ในภพปัจจุบันนี้แหละ มันกีดกั้นเอาไว้ บังเอาไว้ ถ้าจะเปรียบ มันสมองก็เหมือนหนึ่งวัตถุแท่งทึบที่แสงไม่สามารถทะลุไปได้มากีดกั้นเอาไว้ พฤติกรรมของจิตในอดีตอารมณ์ในอดีต ภวังค์ไม่สามารถที่จะมาปรากฏได้ก็เพราะอานุภาพของสมองในปัจจุบันนี้กีดกั้นเอาไว้ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งเกิดเพราะความขุ่นมัวของกิเลสในพื้นเพของจิต อีกประการหนึ่งเกิดเพราะว่าพฤติกรรมต่างๆ ที่ทับถมหมักหมมอยู่ในพื้นเพของจิตใจมีมากมายก่ายกองเหลือเกิน
จนกระทั่งเราไม่สามารถที่จะจับต้นชนปลายถูกว่าอะไรเป็นอะไร วัตถุสิ่งนั้น เพราะมันทับถมมากมายหลายโกฎิหลายพันล้าน สิ่งอยู่ในบ่อน้ำบ่อเดียว คือ จิตนี่แหละครับ 3 กรณี เหตุนี้เป็นเหตุให้เราระลึกชาติไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เราเกิดสดๆ ร้อนๆ ตายปุบเกิดปับเรายังระลึกไม่ได้เลย มูลเหตุอีกข้อหนึ่งที่ระลึกไม่ได้คือเวลาที่อยู่ในท้องแม่ 10 เดือน เหมือนกับคนติดตะราง ติดตะราง 10 เดือนนี่ เสวยทุกขเวทนาสาหัสนะ สัตว์ที่อยู่ในครรภ์ของแม่นี่
ท่านเปรียบเหมือนคล้าย ๆ คนตกนรก เสวยทุกขเวทนาสาหัส แม่กินของร้อนก็ร้อนตามอย่างเช่น กินของชอบ ถ้าผู้หญิงที่แพ้ท้องชอบกินของเผ็ดจัดอย่างนี้ ทารกในครรภ์ทุกขเวทนาเหลือเกิน ปวดแสบปวดร้อนทุกสรรพางค์ทีเดียว แม่กินของเย็นก็เย็นหนาวเหมือนกับตกนรกขุมหนาวอย่างนั้นแหละ นี่หนาวทีเดียว หนาวเย็นไปตามนั้น
ถ้าแม่เปลี่ยนอิริยาบถรุนแรงเกินไป เช่นวิ่งหรือว่าเกิดตกบันไดผลัดตกลงมา ลุกในครรภ์ก็กระทบกระเทือนเจ็บปวดไปด้วยทุกขเวทนา 10 เดือนเรามองโดยสายตามนุษย์เห็นว่าเวลาเพียง 10 เดือนจะเป็นอะไร แต่ความรู้สึกของเด็กในครรภ์ของมารดานั้น 10 เดือนเหมือนกับ 10 โกฎิปี เหมือนกับตกนรก 10 โกฏิ ความรู้สึกมันช้านานเหลือเกิน ที่ถูกจองจำคุมขังเอาไว้ ไม่ใช่คุมขังเปล่า จะดิ้นก็ลำบาก จะพลิกตัวก็ลำบากงอมืองอเท้า มิหนำซ้ำยังถูกความเย็นความร้อนนี่มันเสียดแทงจากมารดาดื่มกินเข้าไป
อาหารต่างๆ เข้าไปเสียดแทงร่างกาย ทุกขเวทนาในครรภ์ 10 เดือนนี้ลืมความเก่าหมดเลย เหตุการณ์เก่า ๆ อย่างเช่นว่าเราจะตาย เราก็ตั้งใจไว้ว่าเจ้าประคุณ ชาติหน้าให้ระลึกชาติได้เถิด ก็พยายามระลึกผูกจิตเอาไว้ บอกว่ากูตายชาตินี้แล้วชาติหน้าต้องระลึกชาติให้ได้ หมายใจผูกพันกับอารมณ์นี่อย่างเต็มแก่มาแล้ว พอครั้นตายจริงเข้าครรภ์มารดาปุบ 10 เดือนกว่า เหมือนตกนรกในครรภ์มารดา ลืมความแล้ว ความทุกข์ที่มันทับถมนี่ ความผูกใจแต่ก่อนขาดใจตายในชาติที่แล้ว บอกจะเอาความเก่ามาจำให้ได้ในชาตินี้ จะได้เล่าให้คนฟังบ้างว่า ชาติก่อนเกิดเป็นอะไรมา เป็นอันยกเลิกเลย ลืมกันระหว่าง 10 เดือนนี้ลืมหมด นี่ 10 เดือนเป็นปัจจัยอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ระลึกชาติไม่ได้
เพราะฉะนั้นท่านว่าสัตว์นรกที่ตกนรก เวลาเราแผ่ส่วนบุญ ให้สัตว์นรก มักจะไม่ใคร่ถึง สัตว์นรกมักจะไม่ใคร่รู้ เพราะอะไร เพราะสัตว์นรกมีทุกข์มาก ไม่มีแก่ใจจะมารับส่วนบุญของใคร สัตว์ประเภทที่จะมารับส่วนบุญง่าย ๆ ก็คือพวกเปรต พวกนี้สุข ทุกข์ก้ำกึ่ง คล้าย ๆ มนุษย์ มีสุขบ้าง มีทุกข์บ้าง ถึงแม้จะมีทุกข์ก็ไม่ทุกข์อย่างสัตว์นรกทุกข์
เพราะฉะนั้น พอมีเวลาที่จะมานึกถึงความดีบ้าง คนที่มีทุกข์มาก ๆ ทุกขเวทนามาก ๆ หาเวลาแม้ชั่วขณะที่จะระลึกความดีได้ยากเหลือเกิน นอกจากว่าสัตว์นรกตัวใดจวนจะสิ้นกรรมที่เขาทำมาแล้ว บางครั้งอกุศลอันเป็นอปราประ
ถ้าติดตามมานี่ก็ผลุดขึ้นได้ในบางขณะ นึกขึ้นได้เหมือนกัน หรือบางครั้งผู้ที่มีบุญญาวาสนาสูง ๆ มีบุญญาธิการมาก ๆ เขาทำบุญ กระแสจิตเขาแรง เขาแผ่ไป อย่างพระโพธิสัตว์อย่างนี้ บำเพ็ญบามีแผ่บารมีลงไปอย่างนี้ สัตว์นรกที่กรรมเวรจวนจะหมดแล้วก็มีเวลาว่างเพียงชั่วอึดใจหนึ่งมาอนุโมทนาก็พ้นกรรมอันี้ไปสู่สุคติได้ก็มีอยู่
แต่โดยเยภุยยนัยแล้วลำบาก ลำบากมาก เพราะว่าความทุกข์นี่บีบคั้นรุนแรงมากเหลือเกิน เหมือนกันกับทารกในครรภ์ของแม่ตลอดระยะ 10 เดือนนี่ ความทุกข์บีบคั้นมาก อันนี้เรียกว่า ทุกข์เกิดตั้งแต่ อยู่ในครรภ์แล้ว วินาทีแรกแล้ว ถูกบีบคั้นอย่างนี้ ไหนเลยจะมีเวลามานึกถึงเหตุการณ์ในชาติก่อน ๆ ไหนเลยจะเอาใจใส่มาทรงจำเหตุการณ์ในชาติก่อน ๆได้
ความลำบากแค่ 10 เดือนก็เต็มทนแล้ว เพราะฉะนั้นพอคลอดออกมา ความเก่าก็ลืมหมดทีเดียว ระยะที่คลอดออกมานี่มันสมองก็ยังเป็นของใหม่อารมณ์ก็ยังของใหม่อยู่ กว่าจะเติบโตรู้ความได้ ก็เข้า 3 ขวบ พอเข้า 3 ขวบแล้ว หมดแล้ว ความเก่า ๆ ที่ตั้งใจจะระลึกเอาไว้เป็นอันยกยอด แทงสูญเลย กลายเป็นคนระลึกชาติไม่ได้ แล้วก็บอกว่าชาติก่อนไม่มี ฉันระลึกไม่ได้ เพราะชาติก่อนไม่มี ใช้ไม่ได้ เหตุผลเพียงแต่ว่าฉันนึกไม่ได้ จึงว่าอดีตไม่มี นี่ใช้ไม่ได้
ถ้าเราเพียงแต่เอาเหตุผลเพราะเหตุที่ฉันนึกไม่ได้ อดีตจึงไม่มีแล้ว เหตุการณ์ในปัจจุบันที่เราระลึกไม่ได้มีเยอะแยะ ถ้าเช่นนั้นเหตุการณ์ในปัจจุบันที่ระลึกไม่ได้ชื่อว่าเป็นของไม่มีกระนั้นหรือ ผู้ที่นิยมในเหตุผลย่อมไม่สามารถจะกล่าวได้ว่าเป็นความชอบธรรม เหตุการณ์ในปัจจุบันที่ระลึกไม่ได้มีมากมาย แม้แต่เหตุการณ์สด ๆ ร้อน ๆ เดี๋ยวนี้แหละ อย่างผมจะถามบอกว่า เมื่อกลางวันนี่ท่านผู้ฟังเวลารับประทานอาหาร เคี้ยวอาหาร เคี้ยวกี่ครั้ง ท่านจำได้บ้างไหม ว่าเคี้ยวอาหารลงไปในท้อง เคี้ยวกี่ครั้ง ท่านจำได้บ้างไหม ว่าเคี้ยวอาหารลงไปในท้อง เคี้ยวกี่ครั้ง ปากเราเคี้ยวกี่ครั้ง ท่านก็ตอบไม่ได้ เหตุการณ์ปัจจุบันสด ๆ ร้อน ๆ ท่านยังตอบไม่ได้เลยว่าท่านเคี้ยวอาหารกี่ครั้ง เมื่อรับประทานอาหารกลางวัน จะป่วยการกล่าวไปไยกับเรื่องที่ข้ามภพข้ามชาติ ยิ่งระลึกไม่ได้ใหญ่ เพราะเหตุที่มีอุปสรรคต่างๆ ดังได้พรรณนามาเป็นอุปสรรคกีดขวาง เป็นเหตุให้ระลึกไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะมีปัญหาถามบอกว่าทำไมคนบางคน เกิดมาถึงระลึกชาติได้เล่า นี่มี ทำไมจะไม่มี ในประเทศไทย เราก็มีเยอะแยะ คนระลึกชาติ ในต่างประเทศทั่วโลกก็มีการระลึกชาติได้เยอะแยะ กระทั่งศาสตราจารย์ในอเมริกาเขาตั้งเป็นทุนให้มิสเตอร์ฟรานซิสตอรี่เข้ามาสืบสวน ทำประวัติต่างๆ ของบุคคลที่ระลึกชาติได้ทั่วโลก และท่านฟรานซิสตอรี่นี้ได้มา ถึงเมืองไทยเมื่อสองสามปีมานี้
มาทำชีวิประวัติของบุคคลที่ระลึกชาติได้ในเมืองไทย ทั้งพระทั้งคฤหัสถ์ ทั้งหญิงทั้งชาย หลายท่านด้วยกัน เอาไปในเมืองนอก เขาทำอย่างนั้น แล้วก็วิชาการสะกดจิตได้ทำให้การระลึกชาติได้ก็มีอยู่ ในประเทศอังกฤษ มีผู้หญิงคนหนึ่งป่วย ไม่สบาย ไปหาจิตแพทย์รักษาจิตแพทย์ก็ต้องใช้การสะกดจิต เพื่อที่จะขุดขุ้ยเอาอารมณ์ค้างว่า ผู้หญิงคนนี้ที่มีความทุกข์ทนหม่นหมองในชีวิตที่แก้ไม่ตกจะต้องมีอารมณ์ค้างอะไรในใจอย่างหนึ่ง
การที่จะตรวจหาอารมณ์ค้างซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ต้องใช้วิธีการสะกดจิตรักษา และก็ล้วงเอาอารมณ์ค้าง พูดง่ายๆ ล้วงเอาความลับในใจออกมา วิชาสะกดจิตนี่แม้แต่ในทางการเมืองเขายังใช้กัน ล้วงความลับศัตรูด้วยวิธีการสะกดจิต
ถูกสะกดแล้วมีอะไรเป็นความลับในใจ เปิดเผยออกมาหมดเลย อย่างนี้ ในประเทศอังกฤษ มีผู้หญิงคนหนึ่งไปให้หมดสะกด คือจิตแพทย์รักษาด้วยการสะกดจิต หมอคนนี้สะกดไปสะกดมา สะกดถอยหลัง อายุ 20 ปี ชีวิตได้มีประสบการณ์อะไรที่ประทับใจบ้าง ถอยหลังอายุ 15 ปีมีอะไรประทับใจบ้าง อายุ 10 ปีมีอะไรประทับใจบ้าง อายุ 5 ปีมีอะไรประทับใจบ้าง เอ พอถึงอายุ 5 ปี ผู้หญิงคนนี้ก็ตอบมาเลยว่ามีสิ่งประทับใจในชิต มีอะไรตอบเป็นจังหวะ ๆ ทีเดียว
หมอสะกดจิตก็ทดลองว่า ถ้าอย่างนั้นอายุ 1 ปี มีความประทับใจอะไรบ้าง ผู้หญิงคนนี้ก็ตอบได้ว่ายังเป็นเด็ก เด็กทารกอายุขวบเดียว มีสิ่งประทับใจอะไรเกิดแก่เขา หมอนั้นก็แปลกใจ เอ ลองสะกดต่อไปซิว่าอยู่ในครรภ์มีความประทับใจอะไรบ้าง หมดก็สะกดทีเดียว สะกดอย่างลึกซึ้ง ผู้หญิงคนนี้ตกภวังค์อย่งลึกซึ้งแล้วก็ถามความเป็นไปในตรงที่อยู่ในครรภ์ว่า เมื่ออยู่ในครรภ์มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง
ผู้หญิงคนนี้ก็สารภาพออกมาหมดว่าอยู่ในครรภ์แม่ มีความทุกขเวทนาอย่างไร ๆ เล่าอย่างที่ผมเล่าเมื่อสักครู่นี่แหละว่า เหมือนตกนรกนี่แหละ เล่ามาคราวนี้หมอก็อัศจรรย์ใจใหญ่ว่า เราสะกดกระทั่งล้วงเอาความรู้สึกเมื่ออยู่ในครรภ์แม่มาพูดได้ก็ถ้าอย่างนั้นชาติก่อนก็ต้องพูดได้ซิ
ลองสะกดดูถึงชาติก่อนเลย เด็กผู้หญิงคนนี้ให้ถอยหลังระลึกซิ ระลึกว่าชาติก่อนจะมาเกิดเป็นผู้หญิงคนนี้เกิดอยู่ที่ไหน ทำอะไร มีอาชีพเป็นอะไร คราวนี้ระลึกชาติได้เลย สะกดในความเก่า ๆ ว่าชาติก่อนนี้เกิดในตำบลหนึ่ง ในภาคเหนือของอังกฤษ มีสามีเป็นกรรมกรในโรงงาน ขุดถ่านหิน แล้วสามีเป็นคนขี้เมาหยำเป ชอบทุบตีตัวเองเสมอ กระทั่งวันหนึ่งเกิดทะเลาะกับสามี ถูกสามีผลักหกล้ม กระดูกขาหักแล้วก็ตายไป จำที่ฝังศพของตัวได้ว่าอยู่ในโบสถ์นั้น ป่าช้าเท่านั้น เลขที่เท่านั้น ที่ฝังศพของตัว บอกหมด หมอหรือจิตแพทย์ผู้นี้ก็ทำรายงานทีเดียว ตามที่ผู้หญิงคนนี้บอก
ทำรายงานหมดแล้วก็คลายสะกด พอคลายสะกด ผู้หญิงก็ฟื้น ไม่รู้หรอกสักครู่นี้ตัวเป็นอะไร พูดอะไรไปบ้างไม่รู้ หมอก็ปิดเป็นความลับ แล้วก็เสนอรายงานอันนี้ไปสู่ที่ประชุมของจิตแพทย์ให้สอบสวนว่า ข้อความหญิงที่ถูกสะกดจิตคนนี้จะมีข้อเท็จจริงประการใด
ปรากฏว่าไปสอบสวนที่ตำบลที่เกิดของหญิงคนนี้ ไปดูทะเบียนเกิด มีจริง ๆ เมื่อประมาณสัก 100 ปีมาแล้ว ทะเบียนใบเกิดยังอยู่ ผู้หญิงคนนี้เกิดเมื่อ 100 ปีมาแล้ว ชื่อนางคนนี้ ชื่อนั้น สามีเป็นกรรมกรโรงงานทำถ่านหินแล้วก็ตายด้วยโรคนั้นๆ
แต่ว่าหาโบสถ์ที่ตั้งไม่อยู่ ปรากฏว่าโบสถ์นั้นถูกไฟไหม้แล้วก็เปลี่ยนใหม่ แล้วโบสถ์เก่าถูกไฟไหม้ไปและก็มีผู้มาเช่าทำที่ทางใหม่ ป่าช้านั้นก็ยังอยู่ สุสานนั้นก็ยังอยู่ นี่ข้อเท็จจริงอันนี้ก็เป็นการพิสูจน์ว่า ชาติก่อนมีจริง และการสะกดจิตนี้เป็นเหตุให้คนระลึกชาติได้ ถ้าหากว่าอยู่ในภาวะรับสะกดอย่างลึกซึ้ง อย่างนี้ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า ชาติอนุสรณญาณ ชาติอนุสรณญาณนี้ไม่ใช่ บุพเพนิวาสานุสติญาณ
อย่าปนกัน บุพเพนิวาสานุสติญาณนี้ ต้องเกิดด้วยอำนาจฌาน ฌานสมาบัติ จัดอยู่ในอภิญญา ฌานสมาบัติแล้วก็อยู่ในอภิญญาวิถี ถึงจะเกิดได้ บุพเพสิวาสานุสติญาณนั้น แล้วผู้ที่ได้บุพเพนิวาสานุสติญาณนี่ระลึกได้หลายร้อยชาติ ถ้ายิ่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วระลึกได้นับไม่ถ้วนชาติ พระปัจเจกพุทธเจ้าระลึกได้น้อยกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอรหันต์ชั้มหาสาวกระลึกได้น้อยลงมาอีก
กระทั่งถึงพระอรหันต์ชั้นไม่ใช่มหาสาวก ชั้นธรรมดา แต่เป็นเจโตวิมุติ พร้อมด้วยฉฬภิญญา ก็ระลึกได้น้อยกว่าชั้นมหาสาวก คราวนี้ถ้าเป็นฤษีนอกศาสนาที่ได้อภิญญาวิถีจิตมาแล้วก็ระลึกได้น้อยลงมาอีกตามส่วน แต่ขนาดว่าน้อยแล้วก็ระลึกกันเป็นกัป ๆ ไม่ใช่ระลึกเพียง 10 – 20 ชาติ ระลึกกันได้เป็นกัปๆ 100 กัป เป็นแสน ๆ มหากัป คราวนี้ชาติอนุสรณญาณ ไม่ใช่บุพเพนิวาสานุสติญาณ ไม่ได้เกิดในอภิญญาวิถี แต่ว่าเกิดกับปุถุชน ปุถุชนธรรมดาอาจจะมีชาติอนุสรณญาณได้ ระลึกได้อย่างมากไม่เกิน 2 ชาติ
แต่ส่วนใหญ่แล้วระลึกได้มากเพียงชาติเดียว คือชาติที่แล้ว ชาติที่แล้วเท่านั้น ระลึกได้ อย่างผู้หญิงอังกฤษที่เล่านี่ ถูกระลึกด้วยอำนาจของการสะกด การสะกดนี่ถ้าจะว่าแล้วก็เป็นอิทธิวิธีอย่างหนึ่ง ท่านสงเคราะห์ว่า เป็นวิทยาธรอิทธิ อิทธิของพวกวิทยาธร เพราะว่าวิทยาธรคือผู้ทรงไว้ซึ่งวิทยาคุณ หมดสะกดจิตก็เป็นวิทยาธรประเภทหนึ่ง เป็นจิตตวิทยาธร เพราะฉะนั้นใช้อำนาจอิทธวิธีของเขา คือ อำนาจกระแสจิตของเขาสะกดหญิงคนนี้ให้ระลึกชาติได้
เพราะฉะนั้นชาติอนุสรณญาณเกิดได้จากเหตุปัจจัย 2 สถาน
สถานที่ 1 เกิดจากอำนาจสะกดของคนอื่นหรืออำนาจบันดาลของผู้ที่มีกระแสจิตสูงกว่า บันดาลให้เห็นไป อย่างองคุลีมาล องคุลีมาลตอนที่จะถูกพระพุทธเจ้าทรมานให้กลับใจมาเลื่อมใสพระพุทธเจ้าท่านสะกดองคุลีมาลให้ระลึกชาติ องคุลีมาลถูกสะกด ชาติก่อนองคุลีมาลเกิดเป็นพญายมราช แล้วก็เบื่อหน่ายเหลือเกิน อธิษฐานใจบอกว่าอย่าเลย การทำหน้าที่เป็นตุลาการพิพากษาบาปโทษของสัตว์นรกน่าเบื่อหน่าย ทำมาตั้งหลายร้อยหลายพันปีแล้ว ถ้ากระไรขอให้ชาติหน้าได้เกิดทันเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ให้ได้เฝ้าพระองค์ ให้ได้สดับธรรมของพระองค์ แล้วให้ได้รู้เห็นธรรมของพระองค์ด้วยเถิด
พญายมราชอธิษฐานอย่างนี้ พอหมดบุญลงไป ก็มาเกิดเป็นองคุลีมาล มาเกิดเป็น อหิงสกกุมาร เพราะฉะนั้น ตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานองคุลีมาลในป่านั้น พระพุทธเจ้าได้เข้าสมาบัติแล้วก็สะกดองคุลีมาลให้องคุลีมาลระลึกชาติเก่าของตัวได้ว่า ชาติเก่าเราเกิดเป็นพญายมราช แล้วทำหน้าที่ตัดสินสัตว์นรกอย่างนั้น ๆ แล้วก็เบื่อหน่ายในหน้าที่ของตัว จนกระทั่งในที่สุดกลับมาเกิดเป็นตัวเรา ณ. บัดนี้ พอพระพุทธเจ้าคลายสะกด องคุลีมาลก็เลยเชื่อแล้ว บุญบาปมี เชื่อแล้ว นรกสวรรค์มีจริง แล้วเลิกเชื่ออเหตุกวาทะ อกิริยาวาทะ เกิดมีโลกียสัมมาทิฏฐิขึ้นในขณะนั้น พอพระพุทธเจ้าแสดงอนุปุพพิกถา องคุลีมาลก็ได้โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ เป็นอรหันตบุคคลขึ้นในขณะนั้นเอง นี่เพราะฉะนั้นข้อแรกชาติอนุสรณญาณนั้นเกิดจากอำนาจสะกดของผู้มีฤทธิ์ทำให้เราระลึกชาติได้ ช้อที่ 1
สถานที่ 2 ไม่ต้องอาศัยสะกด สถานที่ 2 เกิดจากตัวเราเอง ความประทับใจอย่างรุนแรงในเหตุการณ์ก่อนจะตายในชาติที่แล้ว เป็นเหตุให้เราระลึกได้ในชาตินี้ แต่ทั้งนี้ต้องหมายความว่า ตายจากคนก็เกิดเป็นคน สวนทันทีทันควัน ถ้าหากว่าตายจากคนแล้วไปตกนรกเสีย 100 ปี กลับมาเกิดเป็นคนใหม่จำไม่ได้ ตายจากคนขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์ตั้งกัปหนึ่งแล้วลงมาเกิดเป็นคนอีกก็ระลึกชาติไม่ได้ ตายจากคนไปเกิดเป็นหมาเสียชาติหนึ่ง พอตายจาหมามาเกิดเป็นคนอีก ก็ระลึกชาติไม่ได้ เพราะอะไร….