ดร. ภาณุ เป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงในทางมีใจเอื้อเฟื้ออารี เดิมมีภูมิลำเนาอยู่ในเมืองหลวงแคว้นไมเซอร์ บิดามารดาเป็นคนในวรรณะพราหมณ์ มีเงินทองร่ำรวยมาก บิดาดำรงตำแหน่ง อัครอำมาตย์แห่งแคว้นนั้น ตัวท่านจึงเป็นพราหมณ์อุภโตสุชาติ ชอบศึกษาวิชาแพทย์ตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อโตขึ้น บิดาจะให้เรียนรัฐศาสตร์ แต่ปฏิเสธเสียกลับเข้าศึกษาวิชาแพทย์ศาสตร์ เมื่อสำเร็จแพทย์แล้วก็อพยพครอบครัวมาตั้งอยู่ที่ชนบทแถบถิ่นภูเขาโรหิตคีรี อันเป็นชนบทที่กันดารยิ่งนัก และ ปรากฏว่ามีชาวบ้านล้วนเป็นคนในวรรณะศูทร วรรณะจัณฑาล ซึ่งเป็นวรรณะที่พวกพราหมณ์จะเข้าไปใกล้ชิดไม่ได้ ความเป็นอยู่ของชาวชนบท แถบเทือกเขานี้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งถ้าหากเป็นทัศนะของนาครชน แล้วก็ป่าเถื่อนไร้อารยธรรม ดร. ภาณุ บำเพ็ญตนเป็นแพทย์ที่ดียิ่งของประชาชนด้วยการเสียสละ ไม่เคยคิดค่าตรวจโรคหรือค่าแรงฉีดยา แม้ค่ายาก็คิดพอสมควร และมีบ่อย ๆครั้งที่ท่านผู้นี้ให้ยาแก่คนไข้ โดยมิได้เรียกร้องสิ่งตอบแทน ถ้าหากว่าเป็นคนไข้ยากจน ดร. ภาณุ ก็ปฏิบัติต่อคนไข้นั้นด้วยอัธยาศัยอ่อนโยนไม่มีการฉุนโกรธเมื่อถูกคนไข้บางคนเซ้าซี้ถาม พยายามเข้าใจและเห็นอกเห็นใจคนไข้ทุกราย ที่ต้องการทราบสมุฏฐานโรคของตนอย่างละเอียด และวิธีการรักษา ฉะนั้นไม่นานนักเกียรติคุณของท่านผู้นี้ก็แพร่หลาย จากตำบลหนึ่งสู่อีกตำบลหนึ่ง
เมื่อเพื่อนแพทย์จากโรงพยาบาลในเมืองออกมาเยี่ยมเยียน ก็พากันบ่นว่า ทำไมเขาจึงทนฝังตัวเองในชนบทอันป่าเถื่อนเช่นนี้ ซึ่งจะหวังร่ำรวยอะไรไม่ได้เลย ทำไมจึงไม่ไปรักษาคนร่ำรวยคนใหญ่คน โต ซึ่งถ้ารักษาหายสักรายสองรายแล้ว ลาภยศเงินทองก็จะไหลมาเทมา และ ชื่อหรือก็จะเหมือนพลุที่ดังโด่งฟ้า ฝีมือผ่าตัดอันชำนาญของท่านจะทำให้เป็นศัลยแพทย์ชื่อดังของประเทศได้อย่างแน่นอน ถ้าหากไปทำงานในเมือง บิดามารดาญาติพี่น้อง ก็มาบ่นกับท่านว่าทำไมจึงยอมแตะต้องตัวพวกศูทร และพวกจัณฑาล บิดาได้เตือนให้สำนึกว่า เกิดในวรรณะพราหมณ์ควรรักษาเกียรติของวรรณะให้มาก มิไยที่บิดามารดาหรือมิตรสหายจะค่อนว่าอย่างไร ดร. ภาณุก็ได้แต่ยิ้มและบางครั้งก็พูดอย่างรำคาญว่า “ฉันเป็นแพทย์ ซึ่งมีหน้าที่ขจัดโรค ฉันไม่ได้เป็นพ่อค้าเพราะถ้าฉันคิดจะเป็นพ่อค้า ฉันจะไม่เรียนวิชาแพทย์ให้เสียเวลา” แพทย์ในเมืองนี้มากมาย มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ปีหนึ่ง ๆ ผลิตแพทย์ออกมาเป็นจำนวนมากแต่แพทย์เหล่านั้น ส่วนใหญ่พากันดำรงอาชีพกันแต่ในถิ่นเจริญ จนคับคั่งล้นไปเสียด้วยซ้ำ ส่วนประชาชนในแถบถิ่นทุรกันดาร มีชีวิตถูกปล่อยไปตามยถากรรมไม่มีผู้ใดสนใจ ดร. ภาณุกล่าวย้ำว่า “เกียรติยศชื่อเสียงที่แท้จริงของแพทย์ คือความเมตตาอารีและทำตนให้เป็นที่พึ่งของคนไข้ได้จริง ไม่ควรคำนึงแต่ในเรื่องเงินทองหรือความร่ำรวย และควรจะเป็นแพทย์ที่สามารถรักษาไข้ ทั้งทางกายและ ทางใจได้ด้วย” เพื่อนแพทย์ด้วยกันเมื่อฟังแล้วก็พากันหัวเราะเยาะ พูดว่า “ถ้านายแพทย์ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามอุดมคติของแก ในโลกก็เห็นจะไม่มีผู้ใดอยากจะเป็นแพทย์แน่ ดร. ภาณุก็ตอบว่า “อาจจะเป็นได้ และเพราะดั่งนั้น จรรยาแพทย์ซึ่งท่องบ่นกันขึ้นใจในมหาวิทยาลัย จึงมีค่าเท่ากับบทอาขยานเท่านั้น ส่วนการปฏิบัติให้เต็มทุกข้อนั้น จึงหาผู้ทำได้น้อยนักหนา” พร้อมกับย้ำว่า “การปฏิบัติตามจรรยาแพทย์ได้ทุกข้อไปนั้นจะต้องเกิดจากความรู้สึก อันลึกซึ้งในดวงใจก่อน” ความรู้สึกยินดีต่อการเสียสละความเห็นแก่ตนและแล้วมุ่งต่อประโยชน์สุขของมหาชนแทน เช่นนี้เรียกกันว่า“อาตมยาคะ” แปลว่า “การบริจาคตน” ซึ่งตัวท่านยอมรับว่ามันเกิดขึ้นในใจของท่าน ด้วยอำนาจดลบันดาลใจ จากการศึกษาพระพุทธจริยา ในปางเมื่อพระ พุทธองค์ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีต่าง ๆ มีทานบารมีเป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นวิธีการบริจาคตนทั้งสิ้น แม้ ดร. ภาณุ จะเกิดเป็นพราหมณ์อุภโตสุชาติ แต่ก็เลื่อมใสในคำสอนของพระพุทธเจ้านักหนา ฉะนั้นจึงไม่เกิดทิฏฐิมานะเรื่องชนวรรณะสูงต่ำเลย
กลางดึกคืนหนึ่งในฤดูเหมันค์ ดร. ภาณุถูกปลุกขึ้นจากเตียงนอนไปรักษาไข้หนักรายหนึ่ง ณ ตำบลอันห่างไกลขนาดเดินบุกป่าเป็นชั่วโมง ๆ คนไข้เป็นชายชราในวรรณะจัณฑาล ยากจนมาก ป่วยเป็นโรคมาเลเรียขึ้นสมอง เขามีลูกชายคนหนึ่งเป็นกรรมกรขนหินของบริษัทฝรั่งในตำบลนั้น ดร. ภาณุ จัดการฉีดยาและมอบยาให้ และได้บุกป่าข้ามตำบลมาฉีดยาให้คนได้อีก ๔-๕ ครั้ง จนคนไข้หายเป็นปกติ ค่ายารักษาใด ๆ ท่านไม่ยอมรับเลย อีกหนึ่งเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งขณะที่ ดร. ภาณุตื่นนอนประกอบกิจวัตรส่วนตัวเสร็จแล้ว เตรียมตัวลงมือตรวจรักษาคนไข้ซึ่งมานั่งรอกันเป็นทิวแถวในห้องตรวจโรค ก็พอดีเหลือบไปเห็นชายชราคนนั้นเดินเข้ามาหา และกราบไหว้อยู่ หลายครั้งหลายหน ดร. ภาณุนึกว่าเขามาขอบคุณ จึงพูดชี้แจงว่าไม่ควรถือว่าเป็นบุญคุณอะไรตนทำไปด้วยความพึงใจและโดยหน้าที่ของแพทย์ผู้รักษาชีวิตคนป่วยโดยตรง ชายชราอ้ำอึ้งอยู่เป็นครู่ แล้วก็พูดด้วยเสียงกระเส่าว่า นอกจากที่ตนมากราบไหว้เพราะสำนึกในพระคุณที่ช่วยชีวิตไว้แล้ว ยังกราบไหว้เพื่อขอขมาโทษของตัวอีกด้วย โดยครั้งนี้ตนทำผิดอย่างใหญ่หลวงนักที่จะต้องทำการประหนึ่งเนรคุณว่าแล้วก็ร้องไห้ ดร. ภาณุจูงมือชายชราให้ขึ้นนั่งบนเก้าอี้ แล้วถามว่า มีเรื่องอันใดจงเล่าไปเถิด อย่าได้คิดว่าจะโกรธหรือไม่พอใจเลย
ชายชราผู้นั้นกล่าวว่า เมื่อเวลาข้าพเจ้านอนป่วยอยู่นั้น เบื้องหัวนอนได้วางห่อเล็ก ๆ ห่อหนึ่งใส่เงิน ๓๐ รูปี ซึ่งเป็นค่าแรงงานของข้าพเจ้ากับลูกชายรวมกันเก็บเล็กเก็บน้อยมาเป็นเวลานานปี และเมื่อข้าพเจ้าหายป่วยแล้ว ปรากฏว่าห่อผ้านั้นอันตรธานไป ข้าพเจ้ากับลูกได้ค้นหาทุกซอกทุกมุมกระท่อมก็หาไม่พบ ครั้งนี้เป็นที่สุดปัญญาแล้วจึงจำต้องทำประหนึ่งเนรคุณ มากราบเรียนถามคุณหมอว่า คุณหมอยังจะได้เห็นห่อผ้านั้นบ้างหรือไม่ ? คนไข้คนอื่น ๆ ที่อยู่ในที่นั้น ได้ฟังดังนั้นก็พากันไม่พอใจ มีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า เงินของแกอาจถูกขโมยมันลักไปก็ได้เวลาแกป่วยหลับไป แต่ตาเฒ่านั้นเถียงว่า เวลาแกป่วยลูกชายของแกอยู่กับแกเสมอ มิได้ออกไปภายนอกกระท่อม แม้วันที่ไปตามคุณหมอมารักษา ก็ได้วานให้เพื่อนบ้านเขาไปตามให้ ไม่เห็นร่องรอยที่จะมีคนนอกเข้ามาถึงเตียงนอนของแก ว่าพลางก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียดายเงิน คนไข้อีกคนหนึ่งก็พูดขึ้นบ้างว่า คุณหมอน่ะหรือจะเห็นเงิน ๓๐ รูปี ก็ถ้าคุณหมอจะเห็นแก่เงินแล้ว ทำไมคุณหมอจึงไม่คิดค่ารักษาค่ายาจากแก แกนี่บาปหนา มาว่าผู้ใจบุญ ดร. ภาณุก็พูดตัดบทว่าเงิน ๓๐ รูปีนั้น ข้าพเจ้าเอาไปจริงอย่ามัวทุ่มเถียงกันเลย เป็นความผิดของข้าพเจ้า ๆ จะใช้คืนให้ ว่าแล้ว ดร. ภาณุก็หยิบเงินจำนวน ๓๐ รูปี ส่งให้ชายชรานั้นไป ตาเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อตัวสั่น รีบรับเงินพลางบ่นว่า ผู้ที่เข้าไปที่เตียงของข้าพเจ้าก็มีอยู่ ๒ คนเท่านั้น คือคุณหมอกับลูกชาย คนอื่นไม่เห็นมี พวกชาวบ้านที่อยู่ ณ ที่นั้นเห็นเหตุการณ์ดังนั้น ก็พากันมองตากันด้วยความรู้สึกบางอย่าง
นับตั้งแต่วันนั้นมา ก็มีเสียงซุบซิบนินทา ดร. ภาณุว่า เห็นคนหน้าเนื้อใจเสือ ชาวบ้านพากันเสื่อมความนิยมนับถือ เห็นว่า ดร. ภาณุ แกล้งทำเป็นนักบุญไปอย่างนั้นเอง แท้จริงก็หลอกลวงทั้งสิ้น ไม่มีใครไว้วางใจอีกต่อไป บางคนถึงกับแสดงกริยารังเกียจออกนอกหน้า ฝ่าย ดร. ภาณุ กลับรู้สึกชุ่มชื่นใจที่มีโอกาสบำเพ็ญทานบารมี เมตตาบารมี และขันติบารมี ยังแผ่เมตตาให้แก่คนเหยียดหยามท่านทุกคน จำเนียรกาลล่วงมาตกในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ ดร. ภาณุออกมาเดินซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่ตลาดในตำบลที่อยู่ ตาเฒ่าคนนั้นพร้อมด้วยลูกชายพากันมากราบไหว้ แลร้องไห้ทั้งสองคนพ่อลูก ดร. ภาณุคิดว่าสองคนพ่อลูกคงมีอะไรหายไปอีกจึงถามว่า “อะไรของท่านสูญหายไปอีกหรือ ” ชายชราจึงพูดว่า “ถุงเงิน ๓๐ รูปี ของข้าพเจ้านั้น ความจริงหาได้หายไปไหนไม่ เป็นด้วยข้าพเจ้าป่วยนอนปัดตกลงไปที่ร่องกระดานพื้นห้องโดยมิรู้ตัว มาเมื่อเช้าวันนี้บุตรข้าพเจ้าตัดไม้มาเปลี่ยนกระดานพื้นที่ผุพังใหม่ จึงได้มาพบเข้า ฉะนั้นจึงนำเงินของคุณหมอมาคืน และมาขอขมาโทษที่ข้าพเจ้าพ่อลูกเข้าใจคุณหมอผิดไป ดร. ภาณุก็พูดปลอบใจและมอบเงินที่เขานำมาคืนให้อีก แต่ต้องยัดเยียดพร่ำชี้แจงเหตุผลอยู่นาน คนทั้งสองจึงยอมรับแลได้ลาจากไป ขณะที่พ่อลูกเดินกลับก็ร้องตะโกนติตนเองแลสรรเสริญ ดร. ภาณุให้คนทั้งหลายในตลาดได้ยิน ชาวบ้านเมื่อทราบความจริงเข้าก็พากันซาบซึ้งในคุณธรรมของ ดร. ภาณุยิ่งนัก ที่เคยแสดงกิริยาเหยียดหยามก็พากันมาขอขมาโทษและมีผู้ถาม ดร. ภาณุว่า “เมื่อมิใช่เป็นผู้เอา เหตุไฉนจึงยอมรับ และให้เงินนั้นไปเล่า” ดร. ภาณุก็ชี้แจงว่า “เงิน ๓๐ รูปีเป็นเสมือนหนึ่งชีวิตของคนยากจน เพียงเงินหายเท่านั้นก็ทำความโทมนัสอย่างสาหัสให้เกิดแก่เขาอยู่แล้ว ชายชราผู้นั้นเป็นผู้รื้อไข้ใหม่ ๆ ประกอบทั้งเป็นผู้มีอายุเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง หากมิได้เงินคืนก็จะเสียใจตายเป็นแน่ ครั้นจะให้เงินไป โดยมิรับว่าเป็นผู้ขโมยเล่า แกก็จักมิยอมรับ ด้วยรู้อุปนิสัยว่า แกเห็นผู้ที่ไม่ยอมพึ่งพาคนอื่น เมื่อรู้ว่ามิ ใช่เงินของแกที่หามาเองก็จักไม่ยอมเอาเลย แล้วแกก็จะครุ่นคิดเสียใจแต่เรื่องเงินของแกหาย ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงจำต้องยอมรับว่าเป็นขโมยด้วยเช่นนี้ แม้จะเป็นการปดก็เป็นการปดโดยที่มิได้เบียดเบียนผู้ใด เป็นการช่วยให้ผู้มีทุกข์พ้นทุกข์ พวกชาวบ้านได้ฟังก็ร้องสาธุการแซ่ซ้องสรรเสริญว่า ดร. ภาณุเป็นนักบุญที่แท้จริง ดร. ภาณุตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นเพียงสาวกของพระพุทธองค์ และกำลังพยายามทำตามหลักอาตมยาคะเท่านั้น”
ต่อมาอีก ๓๕ ปี เมื่อ ดร. ภาณุ ถึงมรณกรรมชาวชนบทในแถบเทือกเขาโรหิตคีรีได้เรี่ยรายเงินกันสร้างอนุสาวรีย์ ดร. ภาณุ เป็นรูปศิลาสูงเท่าคนจริงไว้ ณ สนามหน้าโรงพยาบาลภาณุยาคะสุขาลัย ซึ่งก็สำเร็จขึ้นด้วยการอุทิศเงินมรดกทั้งก้อนของ ดร. ภาณุเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่และทันสมัย ที่หน้าประตูของโรงพยาบาลมีป้ายใหญ่จารึกไว้ว่า “ยินดีต้อนรับคนทุกชั้นทุกวรรณะ” ในห้องพักคนไข้ ณ ผนังห้องมีจารึกพระพุทธวจนะ ที่ลอกคัด มาจากคัมภีร์ พระธรรมบท ส่วนที่ฐานอนุสาวรีย์รูป ดร. ภาณุนั้นมีข้อความจารึกไว้ว่า
“อนุสาวรีย์ของ ดร. ภาณุ นักบุญผู้พลีตนแก่พหุชนทั่วไป”