ราว ๑ ศตวรรษเศษล่วงมา อาเธอร์ โชเป็นเฮาเออร์ (Arthur Schopenhauer) ปรัชญาเมธีชาวเยอรมันได้กล่าวถ้อยคำว่า โลกนี้ชั่วร้ายและชีวิตเป็นทุกข์ เขาถูกคนประณามว่าเขาเป็นปรมาจารย์แห่งลัทธิทุนิยม (Pessimism) ที่มองทุกสิ่งด้วยใจอันแห้งแล้งและ เบื่อหน่าย แต่โชเป็นเฮาเออร์ก็ได้กล่าวอีกว่า เจตจำนง (Will) ของเราได้สร้างโลกและชีวิตขึ้น และความทุกข์จะดับได้ ต้องดับที่เจตจำนง นับถอยหลังขึ้นไปอีก ๒๔ ศตวรรษ เมื่อพระศากยมุนีพุทธะแห่งลุ่มแม่น้ำคงคาตรัสแก่บรรดาพระสาวก ว่า ความเกิดเป็นทุกข์, ความแก่, เจ็บและตายก็เป็นทุกข์ พวกนักศึกษาบางคนได้รีบตะครุบพระพุทธโอวาทตอนนี้ไปวิจารณ์ว่า พระพุทธองค์ก็เป็นปรมาจารย์แห่งปรัชญาทุนิยมเหมือนกัน มีฐานะเดียวกับโชเป็นเฮาเออร์ แต่ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า คำสอนเรื่องทุกข์ของพระพุทธองค์ กับปรัชญาทุนิยมของโขเป็นเฮาเออร์จะอยู่ในแนวระดับเดียวกันหรือไม่ ? และเป็นความจรึงหรือเปล่า ที่ว่าพระองค์ก็เป็นนักทุนิยมไปด้วย ?
ความคิดของโชเป็นเฮาเออร์ในเรื่องทุกข์ และเจตจำนงอันเป็นเหตุเกิดของทุกข์นั้น เข้าใจว่าได้รับอิทธิพลจากปรัชญาฮินดูและพระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่า เรื่องเจตจำนงของเขานั้น ตรงกันกับคำว่าตัณหาในพระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู พระพุทธศาสนากล่าวว่า ตัณหาหรือเจตจำนงของมนุษย์ที่มีต่อกาม, ภพ, ล้วนเป็นสมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์ แต่เจตจำนงของโชเป็นเฮาเออร์หาได้หมายลึกซึ้งเท่าความหมายของคำว่า ตัณหาในพระพระพุทธศาสนาไม่ ปรัชญาทุนนิยมของเขา ถึงแม้ได้บอกทางออกของทุกข์ด้วยการทำลายเจตจำนง แต่ทว่าวิธีที่จะทำลายเจตจำนงอย่างถูกต้อง และเป็นผลสำเร็จอย่างแท้จริงนั้น พุทธิพลอย่างโชเป็นเฮาเออร์ยังห่างไกล ต่อความสามารถที่จะแสดงนั้นมากมายและดังนั้น ตลอดชีวิตของเขาจึงเต็มไปด้วยเรื่องของความกลุ้มอกกลุ้มใจ เห็นคนอื่นเลวไปหมด อันเป็นธรรมชาติของนักปรัชญาส่วนมากผู้มีความเขลาต่อการจะเอาชนะตนเอง
พระพุทธศาสนาไม่ได้ติเตียนเจตจำนงอย่างหมดราคาเช่นโชเป็นเฮาเออร์ เพราะเจตจำนงก็มีส่วนที่จะนำความสุขมาให้แก่ชีวิตเหมือนกัน คือ แก่ชีวิตที่ยังวิวัฒน์ไปไม่ถึงขั้นอันสมควรต่อการเข้าถึงความจริง เจตจำนงที่เป็นบุญเป็นกุศล ก็เป็นเกาะกลางสมุทรสำหรับให้ชีวิตนั้นพักได้ จนกว่าจะข้ามวัฏฏสงสารไป
ในอังคุตตรนิกายเราจึงพบภาษิตว่า “ร่างกายเกิดเป็นมาด้วยตัณหา บุคคลพึงอาศัยตัณหาละตัณหาได้” เหตุนั้นพระพุทธศาสนาจึงไม่ได้ปฏิเสธถึงคุณค่าแห่งความสุขบนรากฐานของเจตจำนงที่ดี มีเหตุผล พระพุทธองค์ได้ทรงสอนวิธีบรรลุถึงความสุขอย่างชาวโลก เช่นความสุขในการครอบครองคู่ของสามีภริยาและความสุขระหว่างบิดามารดากับบุตร นายกับผู้รับใช้ และความสุขระหว่างเพื่อนเป็นต้น แม้จนกระทั่งพระอริยบุคคลชั้นอนาคามี ซึ่งเป็นชั้นที่สุกงอมแก่กล้าต่อการบรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ยังมีเศษแห่งเจตจำนงเหลืออยู่อย่างบาง ๆ
เจตจำนงในพระพุทธศาสนาจำแนกออกเป็น ๓ คือ
กามตัณหา เจตจำนงต่อความสุขที่เกิดจากรูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส
ภวตัณหา เจตจำนงต่อการเกิดอีก และ ความปรารถนาในความสุขในภพทั้งชนต่ำและชั้นสูง ๆ ขึ้นไป เช่น ความสุขของโยคีผู้บำเพ็ญฌานเป็นต้น
วิภวตัณหา เจตจำนงที่ปฏิเสธต่อคุณค่าของศีลธรรมกับผลของการกระทำที่ดีและชั่วเป็นต้น เพราะมีความเห็นว่าตายแล้วก็ขาดสูญจึงไม่ต้องกังวลในการทำคุณงามความดีอะไรอีก
ในบรรดาเจตจำนงทั้ง ๓ ประการนี้ เจตจำนงที่พระพุทธศาสนาได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด และ ถือว่าเป็นข้อเสียหายอย่างรุนแรงมากก็คือ เจตจำนงประการสุดท้ายซึ่งเป็นเจตจำนงที่ทำลายเจตจำนงอันดีทั้งหลายของมนุษย์ชาติ เพราะเป็นการโค่นรากฐานแห่งจริยศาสตร์ศีลธรรมของสังคมโลก พระพุทธศาสนาเรียกพวกที่มีเจตจำนงประการหลังนี้ว่า มิจฉาทิฏฐิ ส่วนเจตจำนงอีก ๒ ประการนั้น พระพุทธศาสนามิได้ประณามว่าเป็นความชั่วร้ายอะไรเลยนอกจากกล่าวว่าเป็นการสนองความจำนงหวังชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แล้วก็จะสลายไปไม่อยู่กับเราได้ตลอดไป และ ในขณะที่มันเปลี่ยนแปลง เราผู้ไปยึดถือเกาะเกี่ยวเข้าก็เกิดไม่สบายใจ นี่คือทุกข์ละ
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราหลบหนีชีวิตอย่างคนขี้ขลาดตาขาวที่ยอมจนแต้มแก่ปัญหาชีวิต แต่พระองค์สอนว่า เราต้องผจญกับความจริงในชีวิตด้วยการใช้ปัญญาอย่างกล้าหาญ และนั่นแหละคือความพ้นทุกข์ พระนิพพานซึ่งเป็นสภาพแห่งความดับสนิทของทุกข์ยากทั้งหลายไม่ได้ตั้งอยู่ที่นั่นที่นี่ ไม่ใช่โลกสวรรค์วิมานที่อยู่สูงขึ้นไป แต่พระนิพพานนั้นแผ่อยู่ทั่วไปในที่ทุกแห่งแม้ในคุกในตะรางยิ่งเสียกว่าอากาศเสียอีก ถ้าหากเราเปลี่ยนเจตจำนงของเราให้กลายเป็นปัญญาที่แทงทะลุต่อปัญหาชีวิตได้ เราก็จะพบว่าพระนิพพานอยู่กับตัวเราในเดี๋ยวนี้และที่นี้นั้นเอง การกล้าผจญต่อชีวิต ไม่ใช่ลัทธิที่โชเป็นเฮาเออร์สอนเลยการกล้าผจญต่อชีวิต ก็คือก้าวแรกแห่งการพยายามเพื่อชนะทุกข์ การรับรองความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของชีวิตด้วยใจอันไม่วอกแวกสะเทือน คือการพยายามชนะทุกข์ก้าวต่อไป และการสามารถหมุนเจตจำนงให้กลับเป็นตัวปัญญาคือ เห็นทุกสิ่งเป็นมายา และแม้กระทั่งตนเอง ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้เห็นก็เป็นตัวมายา จึงเป็นมายาช้อนมายา จนเป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง นั่นคือการชนะทุกข์ขั้นเด็ดขาด เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาจึงไม่เป็นทุนิยม และทั้งไม่เป็นสุนิยมด้วย ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญาที่ไม่ติดทั้งในทุนิยมและสุนิยม พระพุทธองค์ได้ตรัสค้านปรัชญา ๒ สายนี้ในธรรมจักรปวัตตนสูตรปฐมเทศนาของพระองค์ที่พาราณสี ในนามแห่งอัตตกิลมถานุโยค การประกอบตนให้ลำบาก และ กามสุขัลลิกานุโยค การประกอบตนให้เพลิดเพลินในกาม แต่ทรงสอนให้มี มัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลางอันประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น ซึ่งสามารถนำให้พ้นทุกข์ ได้
ทุนิยมเป็นฝ่ายลบ เพราะมูลเหตุของทุนิยมเกิดจากการขาดในสิ่งที่เราต้องการ สุนิยมเล่าก็มีนัยตรงกันข้าม เพราะปทัฏฐานเกิดจากการได้ในสิ่งที่ตนต้องการเสมอจึงเป็นฝ่ายบวก ทุนิยม ที่ไร้จริยศาสตร์ศีลธรรมบังคับบัญชา เมื่อถึงขึ้นรุนแรงหนักเข้า ก็อาจก่อให้เกิดการฆ่าฟันกัน หรือประพฤติเป็นโจรผู้ร้าย เป็นต้น สุนิยม ถ้าปราศจากจริยศาสตร์ศีลธรรมควบคุม ก็กลายเป็นการหลงเหลิงเห็นแก่ตนยิ่งขึ้นหลงในวัย ในคุณวุฒิ และ ในฐานะ สำคัญตนเป็นผู้เลิศเหนือคน ในที่สุดก็อาจนำพาไปสู่สงครามได้เช่นเดียวกัน ปรัชญาทั้ง ๒ สายนี้เมื่อค้นได้ถึงจุดสุดท้าย ก็มี “อหังการ” เรื่องเดียวเป็นมูลการณ์ ต่างฝ่ายต่างใช้อหังการ หรือเจตจำนงของตนในคนละทัศนะ และคนละวิธี และผลก็คือได้รับความทุกข์ด้วยกัน หากทุกข์ของฝ่ายทุนิยมนั้นปรากฏเด่นชัดเหมือนหม้อน้ำเดือดที่ไม่มีฝาปิดควันพลุ่งขึ้นโขมง ทุกข์ของฝ่ายสุนิยมเหมือนหม้อน้ำเดือดที่มีฝาปิดควันพลุ่งขึ้นน้อย แต่น้ำภายในหม้อนั้น องศาขีดเดือดเท่ากัน
แต่เมื่อพิจารณากันอย่างยุติธรรมแล้วปรัชญาของโชเปนเฮาเออร์ก็ไม่เชิงจะเป็นทุนิยมเสียทีเดียว เพราะโชเปนเฮาเออร์ก็ได้ชี้ทางบรรเทาทุกข์ โดยวิธีระงับเจตจำนงไว้ให้ด้วย แต่นั่นแหละปรัชญาของเขาก็เป็นเพียงผลอันเกิดจาก สุตมยปัญญา (ปัญญาอันเกิดจากการฟัง) และจินตามยปัญญา (ปัญญาอันเกิดจากการไตร่ตรองคิดนึก) เท่านั้นหาได้เป็น ภาวนามยปัญญา (ปัญญาซึ่งเกิดจากการอบรมตนเอง จนได้ผลเห็นแจ้งประจักษ์แก่ใจตน) ไม่ เพราะฉะนั้นโชเปนเฮาเออร์จึงต้องเป็นคนหงุดหงิดกลุ้มใจไปตลอดชีวิตของเขา แม้ว่า เขาจะสามารถสาธยายปรัชญาแห่งการละเจตจำนง อันเป็นความจริงแค่เพียงครึ่งเดียวได้ก็ตาม สมดังพระพุทธภาษิตที่ว่า เหมือนกับผู้รับจ้างรีดนมวัวให้ผู้อื่น ตนเองไม่เคยลิ้มรสเลยแม้แต่น้อย หรือนัยหนึ่งก็เหมือนนกแก้วร้องภาษาคนออกแจ้ว ๆไป ตนเองไม่เข้าใจในคำร้องเหล่านั้นเลย ข้อสำคัญที่สุดก็คือ โชเปนเฮาเออร์ไม่ได้แนะวิธีการเอาชนะเจตจำนง อย่างสมเหตุสมผลต่อการเพิ่งพิสูจน์ว่า เราจะละเจตจำนงได้ด้วยวิธีปฏิบัติอย่างมีเหตุผลพร้อมมูล แต่พระพุทธองค์ได้ตรัสเทศนาถึงวิธีการปฏิบัติละอหังการ และความทุกข์ไว้ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นเบื้องต้น มีสัมมาสมาธิเป็นปริโยสานไว้อย่างมืเหตุผล ท้าทายการพิสูจน์ของผู้ปรารถนาได้ทุกโอกาส และพระองค์เองได้เป็นผู้ปฏิบัตินำก่อนผู้อื่นและได้บรรลุผลแล้ว จึงได้ชี้แจงสั่งสอนผู้อื่นต่อไปด้วยพระมหากรุณา ฉะนั้นในระหว่างพระพุทธองค์ผู้ประเสริฐกับนักปรัชญาชาวเยอรมันผู้นี้ ก็ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเอาเองว่าใครเป็นอย่างไร
ทางสายกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธองค์นั้นจึงมิใช่ปรัชญาฝ่ายลบหรือฝ่ายบวก แต่เป็นสัจธรรมที่กำจัดความรู้สึกในทางลบกับบวกออกเสียได้อย่างสิ้นเชิง และเมื่อความรู้สึกว่าคนเป็นฝ่ายขาดแคลนหรือว่าตนเป็นฝ่ายได้หมดสิ้นไปแล้ว สันติความสงบสุขซึ่งไม่แอบอิงเจตจำนงกิเลสใด ๆ จึงมักเกิดขึ้นและ เป็นสันติที่ถาวรไม่แปรเปลี่ยน เพราะมูลเหตุคืออหังการได้ถูกตัดรอนเสียสิ้นแล้วนั่นเอง ผู้บรรลุถึงสภาพเช่นนั้นจึงเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ทั้งกาย, วาจา, ใจ และสมสวรแก่การเคารพบูชาอย่างสูงสุด
ตัวอย่างในพุทธจริยาตอนหนึ่งอันควรจะอัญเชิญมากล่าว ณ ที่นี้ เพื่อยืนยันต่อข้อความที่กล่าวแล้วในกกุธสูตรแห่งสังยุตตนิกาย ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในป่าอัญชนวัน ใกล้เมืองสาเกต เมื่อปฐมยามสิ้นไปแล้วกกุธเทวบุตรได้เข้าเฝ้าพระศาสดาและได้ทูลถามพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระสมณะ พระองค์ทรงยินดีอยู่หรือ ?”
พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนผู้มีอายุ เราได้อะไร จึงจะยินดี
กาม “ถ้าแต่พระสมณะ ถ้าอย่างนั้นพระองค์ทรงเศร้าโศกอยู่หรือ ?”
ตอบ “ดูก่อนผู้มีอายุ เราเสึ่อมอะไรไป จึงจะเศร้าโศก”
ถาม “ข้าแต่พระสมณะ ถ้าอย่างนั้นพระองค์ไม่ทรงยินดีเลย ไม่ทรงเศร้าโศกเลยหรือ ?”
ตอบ “เป็นเช่นนั้นผู้มีอายุ”
ถาม “ข้าแต่พระสมณะ พระองค์ไม่มีทุกข์บ้างหรือ ความเพลิดเพลินไม่ครอบงำพระองค์ผู้ประทับนั่งแต่พระองค์เดียวบ้างหรือ ?”
ตอบ “ดูก่อนเทวบุตร เราไม่มีทุกข์เลยและความเพลิดเพลินก็ไม่มีแก่เรา อนึ่งความเบื่อหน่ายก็ไม่ครอบงำเราผู้นั่งแต่คนเดียว”
ถาม “ข้าแต่สมณะ ทำไมพระองค์จึงไม่มีทุกข์ ทำไมความเบื่อหน่ายจึงไม่ครอบงำพระองค์ ผู้นั่งแต่ผู้เดียว ?”
ตอบ “ผู้มีทุกข์นั้นแลจึงมีความเพลิดเพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั้นแลจึงมีทุกข์ ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลินไม่มีทุกข์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด ท่านผู้มีอายุ”
เทวบุตรแสดงความอัศจรรย์ใจและเลื่อมใส