ปาฐกถาเรื่อง “ข้อปฏิบัติสำคัญของนิกายเซน (ฌาน) ” นี้ นายแพทย์ต้นม่อเซี้ยง แซ่ตั้ง ฌานวังศะ แสดง ณ พุทธสมาคม แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ ท่านผู้ปาฐกเป็นผู้มีความรู้แตกฉานในนิกายเซ็น (ฌาน) นี้โดยเฉพาะ ท่านเป็นกรรมการทำการเผยแผ่พุทธธรรมของสมาคมพุทธบริษัท สยาม จีน ประชา ในปาฐกถาเรื่องนี้ในฐานะที่ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลเป็นภาษาไทย ก็ใคร่จะแสดงความเห็นและความรู้สึกบางประการไว้บ้างดังต่อไปนี้
(๑) เรื่องของศาสนาเป็นเรื่องที่แปลกมาก
ซึ่งไม่ว่าผู้ใดจะเป็นเชื้อชาติไหนก็ตาม เมื่อมีทรรศนะทางใจถูกตรงกันแล้ว ปัญหาเรื่องเชื้อชาติหลายภาษานับถือ ถึงแม้ว่าบางสมัยหมู่ชนชาตินั้น ๆ จะได้เคยเป็นศัตรูคู่อริกัน ก็เป็นเพียงแต่ปัญหาทางชาติหรืออื่น ๆ แต่พอมาถึงเรื่องของศาสนาแล้ว ความรู้สึกในด้านไม่ถูกกันนั้น รู้จักพลันดับสูญมิมีเหลือและความรู้สึกใหม่อีกชนิดหนึ่งจะเกิดขึ้นแทนมันเป็นความรู้สึกที่เห็นอกเห็นใจ ความรักใคร่ เมตตา ความอยากจะช่วยเหลือ ความมีตนเสมอ ดุจดังได้เคยเป็นภราดรกันมา เขาทั้งหลายล้วนแต่เป็นบุตรของพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน และเป็นพี่น้องกันได้เอง โดยความรู้สึกทางจิตใจอย่างแท้จริง
ในระหว่างการสงคราม จีน ญี่ปุ่นเป็นศัตรูคู่อาฆาตแก่กันเพียงไรนั้น เราทั้งหลายก็ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อถึงปัญหาศาสนา พุทธศาสนิกชนจีนกับญี่ปุ่นกลับร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งในการที่จะเผยแผ่พุทธธรรมให้แพร่หลาย เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาของเรานั้น มีอิทธิพลเพียงไรในการที่จะสามารถเปลี่ยนใจของบุคคลมาให้เป็นผู้สมัครสมานรักใคร่กัน และถ้าเราไม่ลืมว่า ในพระสุตตันตปิฎกมีพุทธพจน์อยู่ตอนหนึ่งที่น่าจับใจ และควรที่เราทั้งหลายจะประพฤติตาม มีปรากฏในอัคคัญญสูตรแห่งทีฆนิกายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับวาเสฏฐะ ดังนี้
“ดูก่อนวาเสฏฐะ พวกเธอและมีชาติต่าง ๆ กัน มีนามต่าง ๆ กัน มีโคตรต่าง ๆ กัน มีสกุลต่าง ๆ กัน ออกบวชละจากคฤหสถานแล้ว ถูกเขาถามว่า ‘พวกท่านเป็นใคร’ ดังนี้ จงตอบเขาว่า ‘เป็นสมณศากยบุตร’ ดังนี้เถิด วาเสฏฐะ เอ๋ย ! ก็ผู้ใดมีความเชื่อมั่นฝังลงแล้ว ตั้งใจไว้แล้วอย่างแน่นหนา อันสมณพราหมณ์ หรือเทพยดา หรือมาร หรือพรหม หรือใคร ๆ ในโลกพึงนำไปไม่ได้, ผู้นั้นควรกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นบุตร เป็นโอรส ประสูติแล้วจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีธรรมเป็นธงชัย อันธรรมสร้างแล้ว เป็นทายาทแห่งธรรม’
พระพุทธวจนะนี้ถึงแม้กล่าวแก่ผู้เป็นสมณะ แต่แม้พวกเราผู้เป็นพุทธบริษัททั้งหลายก็อาจสงเคราะห์รวมลงไปได้ และด้วยอมตพจน์อันงดงามนี้เอง ที่ได้ก่อให้เกิดมีมหาสามัคคีขึ้นในระหว่างพุทธมามกะทั้งหลาย และข้าพเจ้าเชื่อว่า ถ้าโลกทั้งหมดจะถือเอาคติจากพระพุทธพจน์นี้แล้ว ศานติอันชาวโลกปรารถนานักนั้น ก็จักมีมาเอง
(๒) หลักธรรมะในนิกายเซ็น
ทางพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานถือสำคัญมาก ในจำนวนนิกายทั้งหมดของมหายาน นิกายเซ็น (ฌาน) นี้นับว่าเป็นนิกายหนึ่งที่ทรงอิทธิพลมาก เป็นนิกายฝ่ายวิปัสสนาโดยเฉพาะ ในส่วนธรรมะนั้นก็ดูเหมือนว่าไม่มีความแตกต่างอะไรมากนักกับพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทของเรา เช่นในข้อที่ว่า พุทธภาวะมีอยู่ในสรรพสัตว์ เมื่อรู้ก็เป็นพุทธะ เมื่อยังโง่ก็เป็นสัตว์ ฝ่ายเราก็มีกล่าวว่า เมื่อทำลายอวิชชาเสียได้ ก็เป็นผู้ตรัสรู้เท่ากันหมด และที่ยังไม่ได้ตรัสรู้เพราะอวิชชาความหลงผิด
วิธีปฏิบัติซึ่งทางนิกายเซ็นกล่าวว่า เป็นแนวพิเศษที่สามารถจะทำให้ได้ตรัสรู้อย่างฉับพลัน เป็นพุทธะในปัจจุบันทันด่วนไม่ต้องรีรอนั้น ข้อนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าธรรมปฏิบัติเช่นนี้ ไม่ใช่มีแต่ในนิกายเซ็นเท่านั้น แท้จริงเป็นหลักทั่วไปของพระพุทธศาสนา เพราะเหตุว่าธรรมปฏิบัติเพื่อจะทำบุคคลให้ได้บรรลุเป็นพุทธะในปัจจุบันนี้นั้น เป็นสิ่งที่ถูกสอนจากสมเด็จพระบรมครูผู้ให้กำเนิดแก่พระพุทธศาสนา จึงนับได้ว่า เป็นหลักพระพุทธศาสนาทั่วไป ไม่ใช่เป็นหลักนิกายใดนิกายหนึ่ง
หลักของพระศาสดาก็มีสำคัญในการที่ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถหลุดพ้นทุกข์ได้ในปัจจุบันชาติ โดยไม่ต้องไปรอความหลุดพ้นต่อเมื่อชาติหน้าหรือชาติไหน ๆ เพราะว่า ชาตินี้ก็เป็นโอกาสอันเหมาะอย่างยิ่งที่เราจะทำความหลุดพ้นให้แก่ตัวเอง ฉะนั้น จึงมีคำสรรเสริญว่า “การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของประเสริฐที่สุด” เพราะเป็นเหตุให้ได้มีโอกาสทำความพ้นทุกข์ได้ในชาตินั้น ๆ
แม้บรรดาพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ก็มิใช่ว่าท่านจะต้องปฏิบัติอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วจึงจะได้บรรลุก็หามิได้ เพราะถ้าเช่นนั้นแล้ว เราอาจจะไม่เห็นพระอรหันต์กันก็ได้ เพราะท่านต้องไปรอเอาตรัสรู้กันในชาติต่อ ๆ ไป และที่ว่านิกายเซ็นเป็นนิกายย่นทางตรัสรู้ให้เร็ว คือไม่ต้องรักษาศีลก่อน แล้วจึงค่อยหัดทำสมาธิ แล้วจึงไปขึ้นปัญญานั้น
ถ้าจะดูตามหลักฐานต่าง ๆ ในปกรณ์ฝ่ายของเรา ก็จะพบว่า ได้มีพระอรหันต์เป็นจำนวนมากที่ไม่ได้ผ่านการรักษาศีล หรือการทำสมาธิอย่างชนิดสูง ๆ แต่ว่าได้ตรัสรู้กันในขณะฟังธรรมบรรยายของพระบรมศาสดา เช่นพระยสและเหล่ามิตรสหายเป็นต้น ท่านเหล่านี้มิใช่พวกตรัสรู้อย่างฉับพลันหรือว่าไร?
พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้เล่า ทางพระพุทธศาสนา ชนิดที่ไม่เป็นของนิกายใดนิกายหนึ่งโดยเฉพาะ ก็ได้วางแนวไว้สองทาง; ทางหนึ่งได้แก่พวกที่ได้ตรัสรู้ด้วยการบำเพ็ญเพียรทางศีล แล้วเลื่อนขึ้นมาบำเพ็ญเพียรทางสมาธิหนักในทางจิตจนสามารถบรรลุฌานต่าง ๆ ทั้ง รูปฌาน อรูปฌาน เมื่อจิตถูกอบรมฝึกฝนจนมีอำนาจแข็งแกร่งแล้ว ก็ใช้อำนาจแห่งจิตนั้น ทำลายอวิชชาเสียได้ เรียกกันว่า พวก “เจโตวิมุต” แปลว่า หลุดพ้นด้วยอำนาจจิต พระอริยเจ้าเหล่านี้ เพราะเหตุที่บรรลุฌานมาก่อน จึงสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ อีกทางหนึ่งได้แก่ ท่านที่ใช้อำนาจปัญญา พิจารณาสภาวธรรมทั้งหลายตามเป็นจริง จนสามารถหลุดพ้นทุกข์ได้ พวกนี้ไม่จำเป็นต้องได้ฌานสมาบัติ เพียงแต่มีสมาธิขั้นขณิกแล้วยกจิตขึ้นสู่ปัญญาเท่านั้น เรียกว่าพวก “ปัญญาวิมุต” แปลว่า หลุดพ้นด้วยอำนาจปัญญา แสดงอิทธิปาฏิหาริย์อะไรไม่ได้
พระอริยเจ้าทั้งสองพวกนี้ ถ้าเราจะพิจารณาดูกันแล้ว หลักธรรมในนิกายเซ็นก็คือการปฎิบัติเอาทางปัญญากันโดยเฉพาะ อันได้แก่พวกหลังนี้เอง คำสอนทางฝ่ายของเราก็มีกล่าวเป็นไปอย่างทำนองนี้หลายแห่ง เช่นพุทธภาษิตในติลักขณาทิคาถาว่า
“เมื่อใดมาเห็นสังขารทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน; เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ อันนี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์หมดจด”๑
ในพุทธภาษิตนี้ไม่ได้บอกว่า ต้องรักษาศีล แล้วทำสมาธิ จึงจะเกิดมีปัญญาหลุดพ้นทุกข์ได้แต่ว่า มีปัญญาเห็นแจ้งในพระไตรลักษณ์แล้ว ก็เป็นเหตุให้หลุดพ้นได้ นี่เป็นการแสดงถึงความสำคัญของปัญญาไปในตัว เพราะเหตุว่า ขณะใดมีปัญญา ขณะนั้นก็มีสมาธิและศีลไปในตัว ขณะใดมีสมาธิ ขณะนั้นก็มีศีล พระเถระผู้ทรงคุณธรรมของฝ่ายเรา ก็เคยเทศนาย้ำกล่าวเสมอ เช่น ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) วัดบรมนิวาส กล่าวว่า “ศีลอันใด สมาธิก็อันนั้น สมาธิอันใด ปัญญาก็อันนั้น” และที่กล่าวว่า เมื่อได้บรรลุเป็นพุทธะแล้ว เหตุที่ไม่มีอิทธิปาฎิหาริย์ หรือไม่มีคุณลักษณะอย่างพระศาสดานั้นก็เป็นอันเฉลยด้วย คือว่า พวกปัญญาวิมุตนั้นแสดงฤทธิ์ไม่ได้ และเพราะเหตุที่ไม่ใช่เป็นสัมมาสัมพุทธะ แต่เป็นเพียงสุตพุทธะ หรืออนุพุทธะเท่านั้น จึงไม่มีมหาปุริสลักษณะอย่างพระบรมครู นี้เป็นความเห็นของข้าพเจ้า
(๓) นิกายเซ็นเป็นนิกายแห่งปัญญา
เมื่อเรารู้ว่านิกายเซ็นก็คือนิกายแห่งปัญญาวิมุตเช่นนี้แล้ว ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ข้อปฏิบัติต้องหนักไปในทางปัญญา เพราะฉะนั้นจึงเกิดมีปริศนาธรรม หรือ กงอั้น (โกอาน) ไว้สำหรับให้ขบคิด
วิธีการปฏิบัติและกงอั้น นอกจากจะดำเนินตามคำสอนของพระศาสดาแล้ว ยังมีวิธีการปฏิบัติและกงอั้นที่ถูกตั้งขึ้น โดยท่านสมาธิยาจารย์แห่งนิกายเซ็นอีกด้วย เรียกว่า “จูซือสัน” คือ “แบบสมาธิของท่านบูรพาจารย์” ซึ่งมีอยู่มากมาย แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการปฏิบัติและกงอั้นเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมะที่ลึกซึ้งชวนขบคิดทั้งสิ้น
ข้าพเจ้าจักอธิบายกงอั้นบางอันตามมติของตนเอง พอเป็นเครื่องชี้ให้เห็นความลึกซึ้งของนิกายเซ็น
กงอั้นที่สมเด็จพระภควาตรัสแก่พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ และท่านมัญชุศรีได้ทูลตอบไปว่า
“ข้าพระองไม่เห็นธรรม แม้หนึ่งอยู่ภายนอกประตู เหตุไรจึงทรงสอนให้ข้าพระองค์เข้าประตูเล่า?”
ตอนนี้แสดงให้รู้ถึงธรรมชาติหนึ่ง อันเรียกว่า “พระนิพพาน” พระนิพพานเป็นสิ่งที่มีอยู่ที่ทั่ว ๆ ไป ไม่จำกัดที่ทาง ไม่มีการเข้า การออก เพราะนิพพานภาวะมีอยู่ทั่วไปทุกซอกทุกมุม หรืออีกนัยหนึ่งคือว่า พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ได้บรรลุความเห็นแจ้งแล้ว ไม่มีการที่จะต้องกลับกลาย เข่นเข้า-ออกต่อธรรมอีก เพราะธรรมทั้งหลาย ท่านละวางไว้ขาดแล้ว มีปัญญาอันไพบูลย์ เห็นสรรพสิ่งมีภาวะว่างเปล่านั่นเอง และที่พระพุทธองค์ทรงนิ่งไม่ตอบพาหิรชน ก็เพราะพระองค์ต้องการแสดงนิพพานภาวะอันลึกซึ้งให้เห็น พาหิรชนผู้นั้นเป็นผู้มีปัญญา ได้รู้แจ้งจึงเลื่อมใส และที่ว่าพระสังฆปริณายกองค์ที่สองหาจิตไม่พบนั้น เพราะเหตุที่จิตนี้เกิดดับอยู่เป็นนิตย์ไม่มีตัวตนอันใด
ข้อที่ธรรมาจารย์ผู้หนึ่งว่า ขี่โคไปหาโค นั้น อธิบายว่า ตัวเรานั้นก็เป็นพุทธะอยู่แล้ว ยังจะไปหาพุทธะที่ไหน คือหมายว่า พุทธะก็อยู่ที่เรา ๆ จะไปค้นหาพุทธะข้างนอกนั้นไม่พบหรอก เพราะเหตุที่ พุทธะนั้นก็คือ ภาวะในตัวเรา นี้เอง
อนึ่ง ข้อที่ให้คอยระวังโค นั้น ความตรงนี้ดูจะมีความหมายกระไรชอบกลอยู่ คือ ถ้าหากว่า เราสามารถค้นพบและเห็นแจ้งพุทธภาวะในตัวเราแล้ว ก็หมายความว่า เราได้ตรัสรู้พระนิพพานแล้ว เหตุไรจึงยังต้องคอยระวังรักษาอีกเล่า? เพราะฉะนั้น ความตอนนี้ส่อให้เห็นว่า ที่กล่าวมาแต่เบื้องแรกว่าผู้ได้ตรัสรู้ (อันข้าพเจ้าแปลตรงกับความหมายทางภาษาจีน) แล้ว ยังต้องคอยทะนุถนอมภาวะอันนั้นอยู่ นั้นหมายความว่า การได้ผลจากการเห็นแจ้งในธรรมะที่ยังเป็นขั้นต่ำ ๆ ชนิดยังเป็นสังขตะอยู่ เช่น การได้สมาธิจิต เป็นต้น ถ้าเราปล่อยปละละเลยไม่นำพา สมาธิจิตก็อาจจะเสื่อมได้ แม้พวกฌานชั้นสูง ๆ เช่น อรูปฌาน ก็เช่นกัน เพราะฉะนั้น จึงสรุปความได้ว่า ความหมาย ณ ที่นี้ ไม่ได้หมายเอาว่า ได้พระนิพพาน แต่หมายเอาว่า เริ่มที่จะได้สูดกลิ่นไอน้อย ๆ ของพระนิพพาน เช่นการที่จิตใจสงบจากกิเลสชั่วคราวอะไรเหล่านี้
(๔) ลังกาวตารสูตร หรือจีนเรียกว่า “ลางเจียงเจิง”
ลังกาวตารสูตรเป็นพระสูตรชนิด “หัวใจของนิกายเซ็น” พระภควาแสดงพระสูตรนี้ ณ ภูเขาบนเกาะลังกาแก่ท่านมหาปัญญาโพธิสัตว์ ภายในกล่าวถึงข้อธรรมอันลึกซึ้ง อันเป็นอภิปรัชญาของพุทธธรรม มีข้อธรรมที่ชวนให้ขบคิดมาก
(๕) ศูรางคมสมาธิสูตร
ศูรางคมสมาธิสูตรนั้น เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่พระอานนท์ กล่าวถึง อายตนะภายในภายนอก และการปฏิบัติธรรม มีการทำสมาธิ เป็นต้น ไว้อย่างพิสดาร พุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานนับถือพระสูตรนี้มาก กล่าวกันว่า ถ้า ผู้ใดได้รู้แจ้งหรือได้อ่านพระสูตรนี้แล้ว เวลาทำสมาธิจักไม่เกิดนิมิตอันจะชวนให้ใจเขว หรือหวั่นไหวเลย เพราะในพระสูตรนั้นสอนให้รู้เท่าถึงนิมิตต่าง ๆ และพระสูตรนี้ปรากฏตามตำนานว่า เป็นสูตรสำคัญของพระพุทธศาสนามหายาน และเป็นกุญแจสำคัญของนิกายเซ็นด้วย
(๖) วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร
วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นพระสูตรสำคัญในการปฏิบัติธรรมอีกพระสูตรหนึ่ง ปกติจัดเป็นพระสูตรสำหรับสวดเหมือนทำวัตรของเรา พุทธศาสนิกชนฝ่ายเหนือรู้จักพระสูตรนี้ดีมาก และสวดกันอย่างแพร่หลาย ในนั้นกล่าวถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ล้วน ๆ แก่ท่านสุภูติมหาเถระ ปฏิเสธขันธ์ ๕ ว่าไม่เป็นตัวตน และปฏิเสธความเป็นอยู่แห่งอาตมัน ผู้ที่ได้อ่านย่อมได้ปัญญาความรู้ แจ้ง
มีเรื่องเล่าว่า ในประเทศจีนสมัยราชวงศ์หมิง มีศิษย์ผู้หนึ่งของท่านธรรมาจารย์เหยียนฉือ ได้บำเพ็ญสมาธิ ปรากฏเห็นนิมิตต่าง ๆ จึงได้มีจดหมายมาถามท่านธรรมาจารย์ ท่านธรรมาจารย์องค์นั้นมีจดหมายตอบไปโดยยกเอาข้อความในวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรมาอ้างว่า “วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรกล่าวว่า สิ่งที่มีลักษณะทั้งหลายล้วนแต่เป็นของว่างเปล่า และมายา”
ศิษย์ผู้นั้นได้รับจดหมายนั้นแล้ว ก็เห็นแจ้ง
๑ ข้าพเจ้านำ ๓ คาถามารวมเป็นคาถาเดียว
ที่มา: นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๙ ฉบับที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๘