พระพุทธรูปเป็นอุดมวัตถุอันประเสริฐ ซึ่งพุทธบริษัทสร้างขึ้น สมมติเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประสงค์ให้เป็นจุดศูนย์กลางที่จะน้อมรำลึกถึงพระคุณทั้งหลายของพระองค์ท่าน ด้วยความเคารพศรัทธาอันสูงสุด. ในตำนานพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ได้กล่าวถึงการสร้างพระพุทธรูปว่า มีขึ้นแล้วในสมัยพุทธกาล แม้ในตำนานฝ่ายเถรวาทของเราก็มีดุจกันดังประวัติของพระแก่นจันทน์ ทางเมืองเหนือเป็นต้นเข้าใจว่า จะได้รับอิทธิพลจากฝ่ายมหายานนั่นเอง ในจดหมายเหตุ บันทึกเรื่องประเทศทางภาคตะวันตกของพระสมณะ เฮี่ยงจัง เล่าว่าพระเจ้าอุทยัน หรือท้าวอุเทนราชาแห่งนครโกสัมพี ทรงสร้างพระพุทธรูปด้วยไม้จันทน์ขึ้นองค์หนึ่ง ประดิษฐานบูชาอยู่ในพระราชฐาน ด้วยสมัยนั้นพระบรมศาสดา เสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ ดาวดึงสเทวโลก เพื่อแสดงพระสัทธรรมโปรดพระพุทธมารดา และทวยเทพ พระเจ้าอุทยันมีความอนุสรณ์ถึงพระพุทธองค์นัก จึงตรัสขอให้พระโมคคัลลานะ พานายช่างหลวงขึ้นไปจำลองพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบรมครู มาสร้างเป็นพระพุทธรูปขึ้น เมื่อออกพรรษาแล้ว พระพุทธองค์เสด็จกลับลงมายังมนุษยโลก พระพุทธรูปองค์นี้มีปาฏิหาริย์ลุกขึ้นยืนต้อนรับ พระบรมศาสดาจึงตรัสปฏิสันถารด้วย
ต่อมาพระเจ้าปเสนชิตหรือปัสเสนทิ ราชาแห่งโกศล ได้ทราบข่าว ก็โปรดให้สร้างพระพุทธขึ้นบ้าง พระพุทธรูปสององค์นี้ ปัจจุบันอยู่ ณ แห่งหนใด หรือสาบสูญไปด้วยประการใด ก็ไม่มีหลักฐานจะทราบได้ รู้แต่ว่าในทางโบราณคดี ย่อมเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า พระพุทธรูปเป็นของเกิดหลังพระพุทธปรินิพพานแล้วกว่า ๔๐๐ ปีเศษในสมัยที่อารยธรรมของกรีก และอินเดียมาสัมพันธ์กันขึ้นต่อมาจึงได้แพร่หลายออกไปกว้างขวาง ทั่วนานาประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธรูปย่อมมีทั้งที่สร้างด้วย ศิลา, ดินเผา, ไม้, โลหะ, ปูนปั้น, แกะสลัก มีทั้งประเภทใหญ่มหึมา และประเภทเล็กๆ คือพระพิมพ์ ประเทศไทยเป็นประเทศใหญ่ ซึ่งสมบูรณ์ด้วยพระพุทธรูปนานาประเภท บทความเรื่องนี้จะเล่าแต่พระพุทธรูปยืนใหญ่ ๆ ที่สำคัญโดยสังเขป ก็พระพุทธรูป ซึ่งสร้างขึ้นนั้นมักนิยมสร้างกันมากในปาง ๔ อิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน แต่พระพุทธรูปขนาดใหญ่ เท่าที่ปรากฏ ณ บัดนี้เป็นพระยืน พระนั่ง และพระนอน ขาดพระเดิน หรือที่เรียกกันว่า ปางลีลาไป พระพุทธลีลาแม้จะมีอยู่ ก็เป็นขนาดกลางและขนาดเล็ก ขอเล่าแต่เรื่องพระพุทธรูปยืนต่อไปนี้
พระพุทธรูปยืน
พระยืนในสมัยโบราณ เช่นสมัยสุโขทัย เรียกว่าพระอัฏฐารส เป็นพระยืนซึ่งมีส่วนสูงขนาด ๑๘ ศอก หรือสูงยีงกว่านั้น ก็สงเคราะห์เข้าด้วยได้ มักสร้างเป็นปางประทานอภัย นิยมสร้างกันในยุคสุโขทัย ยุคเชียงใหม่และยุคกรุงศรีอยุธยาตอนต้น แต่ในสมัยอยุธยาไม่เรียกว่าพระอัฏฐารสแล้ว เพราะผู้สร้างได้ถวายพระนามเฉพาะองค์
ในจารึกสุโขทัยหลัก ๑ พรรณนาถึงสภาพความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัย
“.....กลางเมืองสุโขทัยนี้ มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารส...ฯลฯ...เบื้องตะวันตก เมืองสุโขทัยนี้ มีอรัญญิก ฯลฯ...ในกลางอรัญญิกมีพิหารอันหนึ่ง มนใหญ่สูงงามแก่กม มีพระอัฏฐารสอันหนึ่งลุกยืน....”
พระอัฏฐารสของพ่อขุนรามคำแหง ที่ระบุไว้ในจารึกนี้ ปัจจุบันยังมีปรากฏอยู่ คืออยู่ในวัดมหาธาตุ กลางเมืองสุโขทัยเก่า เป็นพระรูปปั้นทรุดโทรมมากแห่งหนึ่ง และพระอัฏฐารสบนเขาสะพานหินอีกแห่งหนึ่ง อยู่นอกเมืองสุโขทัยเก่า ทางทิศตะวันตก ซึ่งในยุคสุโขทัย เป็นอรัญญิกาวาส ของคณะสงฆ์ลังกาวงศ์พระอัฏฐารสองค์นี้ ประดิษฐานอยู่ในวิหารโปร่งก่อด้วยอิฐและแลงสูงใหญ่มาก ปัจจุบันยังมีซากเสาแลงวิหารเหลืออยู่ให้เห็น องค์พระสูงราว ๖ วา หรือ ๒๔ ศอก เบื้องหลังมีพระกำแพงก่อเป็นผนังค้ำองค์พระมิให้ล้ม เป็นของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ โปรดให้สร้างขึ้นไว้ เมื่อคราวเสด็จไปตรวจราชการทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ
ลองนึกดูว่า สมัยที่องค์พระและวิหารยังบริบูรณ์อยู่จะแลดูสูงตระหง่านน่าตื่นใจเพียงใด เพราะสถานที่ตั้งก็อยู่บนเขาซึ่งไม่สูงนัก ความรู้สึกของผู้ที่มาบูชาคล้ายกับว่าค่อย ๆ ยกระดับของตนสูงในจากโลกียธรรม สู่โลกุตตรวิสัย เมื่อถึงองค์พระปฏิมาแล้วฉะนั้น จึงเป็นข้อไม่น่าประหลาดใจอันใดว่า เหตุใดพ่อขุนรามคำแหงจึงโปรดเสด็จไปถวายสักการะพระอัฏฐารสองค์นี้ในวันขึ้นแรม ๑๕ ค่ำ เป็นพระราชกิจวัตร ดังข้อความในจารึกว่า
“....วันเดือนดับเดือนเต็ม ท่านแต่งช้างเผือกกระพัดลยาง (คือช้างทรง ซึ่งพร้อมพรั่งด้วยสายรัดกูบ และเครื่องประดับหัวช้าง) เทียรย่อมทอง งา... ขวาชื่อ รูจาศรี (ชื่อช้าง) พ่อขุนรามคำแหงจนขี่ไปนบพระ...(อัฏฐารส)(ใน) อรัญญิกแล้วเข้ามา....”
ส่วนทางเมืองเหนือ ปรากฏว่า ในสมัยพระเจ้าเม็งราย ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกแห่งวงศ์เม็งราย และเป็นผู้สร้างนครเชียงใหม่ขึ้นเป็นราชธานี พระองค์ได้สร้างพระพุทธรูปยืนองค์หนึ่งสูง ๙ ศอก เป็นพระหล่อ เดี๋ยวนี้ประดิษฐานอยู่ ณ วัดคานคอด (เมื่อสร้างพระยืนองค์นี้ ทรงสร้างพระนั่งอีก ๔ องค์ ครั้นมาในปี พ.ศ. ๑๙๕๕ ในแผ่นดินพระเจ้าสามฝั่งแกน ครั้งนั้นเจ้าแม่ติโลกจุฑา พระราชมารดาพันปีหลวง โปรดให้หล่อพระอัฏรารส สูง ๑๘ ศอก กล่าวกันว่า ในเวลาที่ทำการหล่อนั้น มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อ นราจานิยะเถระ ได้ทำการอธิษฐาน อ้างพระบารมีของพระองค์ สามารถอุ้มเอาเบ้าทอง ซึ่งกำลังเดือดพล่านด้วยมือเปล่า แล้วยกขึ้นทูนศีรษะ เดินไปเทลงในเบ้าหล่อได้ พระอัฏฐารสองค์นี้ ปัจจุบันยังอยู่ในพระวิหารวัดเจดีย์หลวง.
ครั้นมาในสมัยอยุธยาตอนต้น ได้มีการสร้างพระยืนใหญ่ ๓ องค์ คือ พระอัฏฐารส วัดวิหารทอง พิษณุโลก ซึ่งเป็นวัดตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ พระพุทธรูปองค์นี้สูง ๕ วาเศษ เป็นพระหล่อ ไม่ปรากฏว่าเป็นของท่านผู้ใดสร้าง มีผู้รู้สันนิษฐานว่า จะเป็นแบบอย่างพระสุโขทัยยุคต้น แต่ผู้เขียนยังไม่เห็นด้วย และสันนิษฐานว่าบางทีจะสร้างขึ้นในแผ่นดินพระมหาธรรมราชาที่ ๙ กษัตริย์สุดท้ายของราชวงศ์พระร่วง ซึ่งเสด็จประทับครองเมืองพิษณุโลกช้านาน แต่ยังมิได้เสวยราชย์ และเนื่องด้วยเป็นสมัยที่อาณาจักรสุโขทัย ตกเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา มาตั้งแต่ครั้งพระมหาธรรมราชาที่ ๒ จึงจัดเข้าเป็นสมัยอยุธยาได้
อีกอย่างหนึ่ง อาจจะสร้างขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าบรมไตรโลกนาถ กษัตริย์อยุธยา ซึ่งเสด็จขึ้นไปเสวยราชย์อยู่ ณ เมืองพิษณุโลก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๐๖ - พ.ศ. ๒๐๓๑ ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดวาอารามไว้มากในเมืองนั้น มีวัดจุฬามณีเป็นต้น อาจจะทรงสร้างพระอัฏฐารสองค์นี้ก็ได้
วัดวิหารทองเข้าใจว่าจะถูกทิ้งร้างตั้งแต่สมัยศึกอะแซหวุ่นกี้ เมื่อแผ่นดินธนบุรี ต่อมาถูกไฟป่าเผาผลาญอีก น่าแปลกอยู่ที่ว่า เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์นี้ โปรดให้ข้าหลวงไปเที่ยวอัญเชิญพระพุทธรูปโบราณ ตามวัดในหัวเมืองเหนือเข้ามารวบรวมรักษาไว้ในกรุงเทพ ฯ พวกข้าหลวง มิได้อัญเชิญพระอัฏฐารสองค์นี้ลงมาด้วย
ลุถึงรัชกาลที่ ๓ สมเด็จพระนั่งเกล้า ๆ มีพระราชดำริว่า พระอัฏฐารสเป็นพระสำคัญไม่ควรปล่อยให้ทรุดโทรมในกลางบ่า จึงโปรดให้อัญเชิญลงมาสร้างวิหาร ประดิษฐานไว้ ณ วัดสระเกศ เมื่อพ.ศ. ๒๓๗๒ ต่อมาสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ทรงถวายพระนามเพิ่มสร้อยอีกว่า “พระอัฏฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร” วิหารพระอัฏฐารสนี้ เปิดให้ประชาชนนมัสการทุกวัน ฉะนั้นท่านอาจจะไปนมัสการและชมพระพุทธรูปองค์นี้ได้ตามโอกาส
ครั้นลุถึงแผ่นดินพระรามาธิบดีที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๔๓ โปรดให้หล่อพระพุทธรูปยืน ด้วยทองสัมฤทธิ์หนัก ๕๓,๐๐๐ ชั่ง เริ่มพระราชพิธีเททองหล่อ เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ แล้วโปรดให้แผ่ทองคำหุ้มองค์พระ หนัก ๒๘๖ ชั่ง กินเวลาหล่อและตกแต่งองค์พระอยู่ ๓ ปี มาแล้วบริบูรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๐๔๖ โปรดให้มีพระราชพิธีฉลอง เมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๘
ส่วนของพระพุทธรูป ตั้งแต่พระบาทถึงพระรัศมี ๘ วา พระพักตร์ยาว ๔ ศอก กว้าง ๓ ศอก พระอุระกว้าง ๑๑ ศอก ถวายพระนามว่า พระศรีสรรเพ็ชญ์ ประดิษฐานไว้ ณ พระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ในพระบรมมหาราชวัง พระพุทธรูปองค์นี้นับว่าเป็นพระหล่อยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ และเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา ที่มีต่อพระพุทธศาสนาของพระมหากษัตริย์ไทยอย่างยอดยิ่ง ด้วยทรงอุทิศทองคำ หนัก ๒๘๖ ชั่ง ออกแผ่หุ้มองค์พระ คิดเป็นราคาทองในปัจจุบันนี้ตกราว ๑๐ ล้านกว่าบาท
วัดพระศรีสรรเพ์ชญ์ที่ประดิษฐานเล่า ก็เป็นวัดสำคัญอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เดิมเป็นทองพระราชวังหลวงตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีที่ ๑ ถึงรัชสมัยพระบรมไตรโลกนาถทรงอุทิศที่วังเดิมนี้สร้างขึ้นเป็นวัด ทรงย้ายพระราชวังไปทางริมน้ำ ในครั้งนั้นคงมีการก่อสร้างถาวรวัตถุขึ้น แล้วอย่างน้อยก็ต้องมีพระวิหารประดิษฐานรูปหล่อพระโพธิสัตว์ ๕๐๐ ชาติ ซึ่งพระบรมไตรโลกนาถ โปรดให้หล่อขึ้นไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๑
ต่อมาในรัชกาลพระรามาธิบดีที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๐๓๕ โปรดให้สร้างพระสถูปใหญ่๒ องค์ บรรจุพระอัฐิธาตุ ของพระเจ้าบรมไตรโลกนาถพระบิดา และพระอัฐิธาตุของพระบรมราชาธิราชที่ ๓ พระเชษฐา คือพระสถูปองค์ตะวันออกและองค์กลาง ต่อมาอีก ๖ ปี นั่นคือในปี พ.ศ. ๒๐๔๒ โปรดให้สร้างพระวิหารใหญ่สาหรับประดิษฐานพระศรีสรรเพ็ชญ์
ครั้นล่วงมาถึงแผ่นดินพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร โปรดให้สร้างพระสถูปอีกองค์หนึ่ง ทางทิศตะวันตก บรรจุพระอัฐิของพระรามาธิบดีที่ ๒ พระบิดา และผู้เขียนขอสันนิษฐานว่าพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร น่าจะทรงสร้างพระพุทธรูปใหญ่ขึ้นอีกองค์หนึ่ง หลังจากสร้างพระสถูปแล้ว คือพระโลกนาถ เป็นการเอาอย่างพระราชบิดา ซึ่งทรงสร้างพระศรีสรรเพชญ์ฉะนั้น และคงจะถวายพระนามว่า พระโลกนาถด้วย
พระพุทธรูปองค์นี้สูง ๕ วา ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระเชตุพน ผู้เขียนเข้าใจว่า ถ้ารัชสมัยของพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรไม่สั้นเกินไป (พ.ศ. ๒๐๖๒-๒๐๗๖) บางทีพระโลกนาถ จะได้หุ้มทองคำอย่างพระศรีสรรเพ็ชญ์เป็นแน่ และเมื่อถึงขนาดนั้นแล้ว คงจะมีจดไว้ในจดหมายเหตุพงศาวดารว่า พระโลกนาถเป็นของผู้ใดสร้าง
วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ปรากฏในพงศาวดารว่า มีการซ่อมใหญ่ ๒ ครั้ง คือในปี พ.ศ. ๒๒๑๗ แผ่นดินพระเจ้าปราสาททองหนหนึ่ง และในปี พ.ศ. ๒๒๒๘แผ่นดินพระเจ้าบรมโกษ โปรดให้กรมพระราชวังบวรเจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ เป็นแม่กองอำนวยการปฏิสังขรณ์อีกหนหนึ่ง พระวิหารหลวงที่ประดิษฐานพระศรีสรรเพ็ชญ์คงเป็นวิหารโถงใหญ่ที่สูงตระหง่าน ในจดหมายเหตุบาทหลวงเดอชัวสี ซึ่งเข้ามากับราชทูตฝรั่งเศส ในแผ่นดินพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๙ มีพรรณนาถึงพระวิหารหลวงนี้หน่อยหนึ่งว่า เสาวิหารปิดทองทุกต้น และในวิหาร แม้จะมีชวาลาจุดเป็นประทีปถึง ๕๐ ดวง ก็ยังดูมืดทึบ
ที่บาทหลวงว่าน่าจะจริง เพราะวิหารสูงใหญ่อย่างนั้น ย่อมมีเสาต้นโต ๆ รับขื่อเพดานหลายต้น ชวาลาที่ว่าคงจะเป็นตะเกียงโคม จุดแขวนไว้ให้ห้อยย้อยลงมาจาก.เพดานวิหาร หรือแขวนไว้ตามเสานั้นเอง และคงจุดติดเนื่องกันตลอดวันและคืนเป็นพุทธบูชา แสงสว่างจึงไม่ทั่วถึงเหตุเพราะแขวนไว้สูงหนึ่ง หรือแขวนไว้ต่ำ แสงสว่างไม่พอ จะส่องสะท้อนขึ้นไปบนเพดานวิหาร และกีดด้วยเงาเสาบังกันหนึ่ง
บาทหลวงเดอชัวสีกล่าวต่อไปว่า รู้สึกตื่นเต้น ที่เห็นองค์พระศรีสรรเพ็ชญ์ หุ้มทองคำหนาถึง ๓ นิ้วฟุต ดูอร่าม เมื่อคราวศึกพม่า พ.ศ. ๒๑๐๖ รัชสมัยพระมหาจักรพรรดิ มีทหารคนหนึ่งลอบเข้ามาตัดพระหัตถ์ของพระศรีสรรเพ็ชญ์ไปข้างหนึ่ง ต่อมาไทยจึงได้ซ่อมให้สมบูรณ์ ยังปรากฏมีรอยต่อให้เห็นอยู่
ความข้อนี้ไม่ปรากฏในพงศาวดาร แต่ที่บาทหลวงว่าไว้ก็ชอบกล จะปฏิเสธว่าไม่จริงก็ไม่ถนัด เพราะบาทหลวงเห็นรอยต่อกับจักษุของตัวเอง ผู้เขียนสันนิษฐานว่า เมื่อศึกพม่าพ.ศ. ๒๑๐๖ ซึ่งเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าศึกช้างเผือก ทั้งนี้เพราะพระเจ้าชนะสิบทิศหงษาวดีบุเรงนอง หาเหตุจะมาตีไทยด้วยการขอช้างเผือก ๔ เชือก จากพระมหาจักรพรรดิไทยไม่ยอมให้ ด้วยเป็นการเสียเกียรติยศ พม่าจึงยกกองทัพเข้ามาประชิดกรุงศรีอยุธยา ไทยสู้ไม่ได้ ยอมจำนนต่อพม่า ในตอนนี้เอง คงจะมีทหารพม่าลอบเข้ามาทำร้ายพระศรีสรรเพ็ชญ์ แต่จะตัดพระกรท่านได้อย่างไร แล้วจะนำพระกรที่ใหญ่โตออกไป โดยไม่ให้ไทยรู้อย่างไร พิจารณาแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้
ผู้เขียนเข้าใจว่า ทหารพม่าคนนั้นจะปลอมแปลงตนเข้ามา ขูดลอกทองที่บริเวณพระกรตอนใดตอนหนึ่งเอาไปเท่านั้น ไม่ถึงตัดเอาไปทั้งข้าง ส่วนการซ่อม คงซ่อมในแผ่นดินพระมหาจักพรรดินั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ในสมัยที่วัดพระศรีสรรเพ็ชร์ยังปรกติดีอยู่ คงจะเป็นภาพประทับใจ ชวนให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยบรรยากาศของพระวิหารหลวงนั้นมีแสงสว่างสลัว ๆ ในท่ามกลาง ก็ปรากฏมีภาพอันยิ่งใหญ่สุกปลั่งอร่ามรุ่งของทองคำ คือพระศรีสรรเพ็ชญ์ ซึ่งถ้าจะมองดูพระพักตร์ ก็ต้องแหงนคอดู แต่น่าเสียดายนักหนาพระพุทธรูปองค์นี้ ต้องมาผจญอันตราย เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งหลัง พ.ศ. ๒๓๑๐ ข้าศึกเอาไฟสุมองค์พระลอกเอาทองคำไปหมด มิหนำยังปล่อยไฟเผาวัดด้วย เมื่อกำแพงวิหารพังทับลงมา พระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งยังยับเยินอยู่ก็ยิ่งโทรมทลายลง ส่วนพระโลกนาถ แม้จะถูกไฟเผา ก็ยังไม่ถึงยับเยิน
เคยมีผู้ออกความเห็นว่า ทองคำที่พม่าลอกไป คงจะเอาไปหุ้มพระมหาเจดีย์ชเวดะกอง เมืองย่างกุ้ง แต่ผู้เขียนคิดว่า คนที่ลอกทองพระพุทธรูปได้จะต้องไม่มีจิตเป็นกุศล ถึงกับคิดหุ้มทองพระเจดีย์หรอก และในประการเดียวกัน คนที่มีใจศรัทธา คิดหุ้มทองพระเจดีย์ ก็จะต้องไม่กล้าทำลายพระพุทธรูปเป็นแน่
พระศรีสรรเพชญ์ และพระโลกนาถ ยืนอยู่ท่ามกลางความปรักหักพังของซากกรุงศรีอยุธยากว่า ๒๐ ปี เมื่อลุพ.ศ. ๒๓๓๑ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มีพระราชศรัทธาให้บูรณะปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม ขึ้น เป็นวัดเชตุพน มีรับสั่งให้ข้าหลวงขึ้นไปอัญเชิญพระพุทธรูปโบราณ ตามเมืองโบราณต่าง ๆ เช่น อยุธยา ลพบุรี พิษณุโลก สุโขทัย สวรรคโลก ลงมาบูรณะซ่อมแซม ประดิษฐานไว้ ณ วัดพระเชตุพน และพระราชทานให้เจ้านาย ข้าราชการไปซ่อมแซมประดิษฐานไว้ ณ วัดอื่น ๆ บ้าง พระศรีสรรเพชญ์ และพระโลกนาถได้ถูกอัญเชิญลงมาครั้งนี้ด้วย
ครั้งนั้นทรงทอดพระเนตรเห็นพระศรีสรรเพ็ชญ์ ทรุดโทรมมากเหลือกำลัง จะซ่อมจึงมีพระราชดำริจะยุบหุ่นที่เหลืออยู่ แล้วหล่อใหม่ถวาย มีพระราชปุจฉาเผดียงถามสมเด็จพระสังฆราช และพระราชาคณะว่าจะเป็นการสมควรประการใด สมเด็จพระสังฆราชถวายพระพรว่า ไม่เป็นการสมควร เพราะพระศรีสรรเพ็ชญ์สำเร็จเป็นองค์พระพุทธรูปแล้ว หาควรเอาเข้าไฟอีกไม่ จึงมีพระโองการให้สถาปนาพระมหาเจดีย์ บรรจุพระศรีสรรเพ็ชญ์ ณ วัดพระเชตุพน ดังมีรายละเอียดในแผ่นจารึกซึ่งติดอยู่ ณ มุขหลังวิหารตะวันออกของวัดนั้น มีความว่า
“ครั้ง ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ แรม ๑๑ ค่ำ ปีฉลู นักษัตรเบญจศก ให้จัดการปฏิสังขรณ์ สร้างพระอุโบสถ....ฯลฯ...ตรงพระวิหารทิศตะวันออก ไปให้ขุดรากพระเจดีย์ใหญ่ กว้าง ๑๐ วา ลึก ๕ ศอก ตอกเข็มเอาอิฐหักกระทุ้งให้แน่น แล้วเอาไม้ตะเคียนยาว ๙ วา หน้าศอกจัตุรัสเรียงระดับประกบกันเป็นตาราง ๒ ชั้น แล้วจึงเอาเหล็กดอกเห็ดใหญ่ยาว ๒ ศอก ตรึงตลอดไม้แกงแนงทั้ง ๒ ชั้นหว่างช่องแกงแนงนั้น เอาอิฐหักทรายถมกระทุ้งให้แน่นดีแล้ว
รุ่งขึ้น ณ วันศุกร์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีขาลเพลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระราชวงศ์เสนาพฤฒามาตย์ ราชปุโรหิตโหราจารย์ มายังที่ลานพระมหาเจดีย์ จึงให้ชักชะลอพระพุทธรูปปฏิมากรศรีสรรเพ็ชญ์ อันชำรุดรับมาแต่กรุงเก่า เข้าวางบนราก ได้ศุภฤกษ์ประโคมฆ้องกลองแตรสังข์ดุริยางค์ดนตรีปี่พาทย์ เสด็จทรงวางอิฐทอง อิฐนาก อิฐเงิน ก่อราก ข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวงระดมกันก่อฐานกว้าง ๘ วา ถึงที่บรรจุ จึงเชิญพระบรมธาตุ แลฉลองพระเขี้ยวแก้ว ๑ พระเขี้ยวทององค์ ๑ พระเขี้ยวนากองค์ ๑ บรรจุในห้องพระมหาเจดีย์ แล้วก่อสืบต่อไปจนสำเร็จ ยกยอดสูง ๘๓ ศอก กระทำเป็นพระระเบียงล้อม ๓ ด้าน ผนังเขียนนิยายรามเกียรติ์ จึงถวายพระนามพระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ...ฯลฯ...”
พระมหาเจดีย์นี้ล่วงมาถึงรัชกาลที่ ๓ สมเด็จพระนั่งเกล้าโปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่หมด ได้ประดับกระเบื้องเคลือบสีเขียว ทำเป็นดอกดวงลายแย่ง อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ และทรงสร้างพระมหาเจดีย์ขึ้นอีก ๒ องค์ทางเหนือองค์หนึ่ง ทางใต้องค์หนึ่ง ประดับกระเบื้องเคลือบสีเหลือง พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพ็ชญ์จึงอยู่กลาง
ในรัชกาลที่ ๔ โปรดให้สร้างพระมหาเจดีย์อีกองค์หนึ่งในบริเวณเดียวกัน ประดับกระเบื้องสีม่วง
ส่วนพระโลกนาถ รัชกาลที่ ๑ โปรดให้ซ่อมแล้วก่อปูนหุ้มลงรักปิดทอง ทรงบรรจุพระบรมธาตุประดิษฐานอยู่ ณ มุขหลังวิหารตะวันออก
ครั้นลุถึงแผ่นดินสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๔ ได้มีผู้สร้างพระยืนใหญ่ขึ้นอีก ๒ องค์ ท่านผู้สร้างคือสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง นอกจากจะสร้างพระยืนแล้ว ท่านยังสร้างพระนอน พระนั่ง ขึ้นอีกหลายองค์ ฉะนั้นจึงควรทราบประวัติสังเขปของท่านบ้าง
สมเด็จเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๑ ในรัชกาลที่ ๑ ที่จังหวัดอยุธยา บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดอินทรวิหาร เมื่อยังชื่อว่าวัดบางขุนพรหมนอก มีเจ้าคณะพระบวรวิริยเถระ (อยู่) วัดบางลำภูบน (วัดสังเวชวิศยาราม) เป็นอุปัชฌาย์ แล้วย้ายมาศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดระฆัง ในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (นาก) ปรากฏว่าสามเณรโตมีความปราดเปรื่องแตกฉานในพระปริยัติธรรมมาก และเป็นธรรมกถึกแต่สมัยนั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (ภายหลังเสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ ๒) ทรงรับเป็นอุปฐาก
ในปี พ.ศ. ๒๓๕๐ สามเณรโตเจริญวัสสาครบปีอุปสมบท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ทรงพระเมตตารับเป็นนาคหลวง โปรดให้อุปสมบท ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระสังฆราช (สุก) เป็นอุปัชฌาย์ แต่พระภิกษุโตไม่เข้าสอบพระปริยัติธรรมเป็นทางการ ทั้งที่ท่านมีความเจนจบในพระไตรปิฎก และทรงไว้ซึ่งสัลเลขธรรมอันยวดยีง ท่านมีพระเมตตาวิหารเป็นปกติธรรมในอัชฌาสัย เป็นที่เคารพสักการะของพระมหากษัตริย์เจ้านาย ขุนนาง และประชาชน จึงยกย่องขึ้นเป็นเปรียญยก (คือเปรียญที่ไม่ได้ผ่านการสอบ)
ในรัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๓๙๕ โปรดให้แต่งตั้งพระมหาโต เปรียญยกนี้เป็นพระราชาคณะที่พระธรรมกิติ ครองวัดระฆัง พ.ศ. ๒๓๙๗โปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระเทพกวี พ.ศ. ๒๔๐๗ โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี ดับขันธ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๕ ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๕ สิริอายุกาลได้ ๘๕ ปี
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านสร้างพระพุทธรูปองค์โต สมกับชื่อของท่าน ที่เป็นพระยืนปรากฏอยู่๒ องค์ คือ ได้สร้างพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตรสูง ๖ วามีเศษ ที่วัดกลาง ตำบลคลองข่อย จังหวัดราชบุรีแห่งหนึ่ง ที่และวัดอินทรวิหาร ตำบลบางขุนพรหม พระนคร แห่งหนึ่ง แต่แห่งหลังนี้ท่านสร้างยังไม่ทันแล้วก็ดับขันธ์ไปเสียก่อน ท่านเจ้าคุณพระอินทรสมาจารย์ (เงิน) เจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร กรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า สมเด็จ ฯ ท่านสร้างได้แต่เพียงครึ่งองค์ สูงราว ๙ วาเศษ และรูปลักษณะที่จะสร้างเป็นพระที่นั่งห้อยบาทอย่างพระป่าเลไลยก์
ต่อมาในสมัยหลัง จึงได้ดัดแปลงขึ้นเป็นพระยืนปางอุ้มบาตร การสร้างเสริมสมบูรณะเริ่มแต่ในสมัยพระครูธรรมานุกูล (หลวงปู่ภู) ในสมัยพระครูสังฆบริบาล (แดง)รับปฎิสังขรณ์ต่อมา จนถึงในสมัยของท่านเจ้าคุณ เมื่อยังเป็นพระครูสังฆรักษ์ ได้บอกบุญทายกทายิกาสร้างปฏิสังขรณ์ต่อจนสำเร็จ ดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ คณนาแต่พระบาทถึงพระรัศมีสูง ๑๖ วาเศษ พระอุระกว้าง ๔ วาทางวัดได้ให้มีพิธีเฉลิมฉลอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ พระพุทธรูปยืนวัดอินทรวิหาร จึงนับเป็นพระยืนที่สูงใหญ่ที่สุดในประเทศไทย.