สุนทรียภาพในพระพุทธศาสนา
เสถียร โพธินันทะ
บรรยายถวายพระสงฆ์หน่วยพัฒนาทางจิตรุ่นที่ ๑ ของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย
ณ พระตำหนักสมเด็จ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ (ก่อนถึงแก่กรรมไม่นานนัก เมื่อผู้บรรยายอายุ ๓๘ ปี)
บรรยายถวายพระสงฆ์หน่วยพัฒนาทางจิตรุ่นที่ ๑ ของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย
ณ พระตำหนักสมเด็จ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ (ก่อนถึงแก่กรรมไม่นานนัก เมื่อผู้บรรยายอายุ ๓๘ ปี)
คำว่า “สุนทรียะ” นี้ ศิลปินได้กล่าวไว้ว่า ทุกสิ่งในโลก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ย่อมมีสุนทรียในตัว ถ้าหากว่าเราผู้ดู เป็นผู้เข้าใจมอง ไม่มีสิ่งใดที่จะไม่เป็นสุนทรียะ อันนี้พูดไปตามภาษาของนักศิลปะที่มองทุกอย่างเป็นศิลป์ เหมือนกับธรรมะก็เหมือนกัน ผู้ที่เป็นนักธรรมะย่อมมองเห็นความเป็นไปต่าง ๆ ในโลกทุกแง่ทุกมุม เป็นคติธรรมได้ ท่านจึงเปรียบเหมือนกับแพทย์ แพทย์สมัยโบราณอย่างหมอชีวก ถูกส่งไปเรียนวิชาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยตักสิลา ก่อนจะจบหลักสูตรรับปริญญาของแพทย์จากสำนัก อาจารย์ได้สั่งให้หมอชีวกไปดูบรรดาต้นหมากรากไม้ในป่า ว่าต้นหมากรากไม้ชนิดใดบ้างที่ทำยาไม่ได้ ที่มาประกอบเป็นสมุนไพรรักษาโรคไม่ได้ หมอชีวกรับคำสั่งอาจารย์แล้วก็ไปเที่ยวดูต้นไม้ในป่าทั้งหมด ปรากฏว่าทุกต้นเป็นยาได้หมด หาต้นไม่ที่ทำยาไม่ได้ไม่เจอ กลับมาเรียนอาจารย์ว่า “ไม่มีเลย ต้นไม้ในป่าทุกต้นเท่าที่ผ่าน เท่าที่ดู ล้วนมีสรรพคุณทั้งนั้น” อาจารย์จึงได้มอบปริญญาให้ว่า “ถ้าเช่นนั้น เธอก็สำเร็จวิชาแพทย์จากสำนักฉันแล้ว”
นี่เป็นการทดสอบให้เกิด Experience (ประสบการณ์) ขึ้นในตัว เพราะผู้ที่จะรู้หลักเกณฑ์ทฤษฎีอย่างเดียวไม่เพียงพอ อาจารย์จึงได้ทดสอบความรู้วุฒิของหมอชีวก ด้วยการใช้ Experience ซึ่งหมอชีวกถ้าไม่เก่งจริงแล้ว ก็ไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงคุณประโยชน์ ของต้นหมากรากไม้ทุกชนิดในป่าได้ เมื่อรู้ว่าต้นหมากรากไม้ทุกชนิดในป่าเป็นยาได้ จึงชื่อว่าหมอชีวกนั้นจบแพทย์ศาสตร์โดยสมบูรณ์แล้ว อาจารย์จึงได้มอบปริญญาปละสำเร็จกลับมาเป็นหมอหลวงประจำพระเจ้าพิมพิสารต่อไป ต่อมาก็ได้เป็นหมอหลวงประจำพระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคด้วย นี่คือเรื่องของหมอชีวกมองต้นไม้ทุกต้นเป็นยาได้ฉันใด ศิลปินย่อมมองทุกสิ่งให้เป็นสุนทรียะได้ฉันนั้น
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสุนทรียะในตัว การมองธรรมะให้เป็นสุนทรียะไม่ใช่ว่าเราแกล้งมองที่จะให้มันเป็น แต่มันเป็นไปโดยธรรมดาของธรรมะอยู่แล้ว เพราะว่าธรรมะเป็นเรื่องสำหรับข้อปฏิบัติของชีวิต การมองชีวิตนั้นจะต้องมีศิลปะ ผู้ที่ครองชีวิตโดยไม่รู้จักการใช้ศิลปะนั้น ผู้นั้นจะไม่ประสบความสำเร็จของชีวิต ไม่ประสบความสุขของชีวิต แต่ถ้าผู้ใดได้รู้จักการใช้ศิลปะในการครองชีวิตแล้ว ผู้นั้นจะได้ประโยชน์จากชีวิต และความสุขจากชีวิตอย่างมากมาย ก็เมื่อธรรมะเป็นคุณสมบัติของการครองชีวิตเช่นนี้ ธรรมะจึงชื่อว่าเป็นสุนทรียะในตัว ไม่ว่าเราจะมองในมุมใดมุมหนึ่ง แง่ใดแง่หนึ่ง เราก็จะประสบพบเห็นสุนทรียะในพระพุทธศาสนาเสียทุกด้าน
เพราะฉะนั้นคำว่า “สุนทรียะ” ในที่นี้ไม่ได้จำกัดหมายเพียงแต่เรื่องของศิลปวัตถุ การก่อสร้าง เช่นวัดวาอาราม หรือพระพุทธปฏิมา แต่หมายถึงตัวธรรมะอันเป็นคุณสมบัติของการปฏิบัติด้วย มีศิลปะด้วย
สุนทรียะในพระพุทธศาสนานั้น มี ๒ ชั้น ชั้นนอก หมายถึงสุนทรียะทางด้านวัตถุ เช่น การก่อสร้างวัดวาอาราม พระพุทธปฏิมา ลวดลายศิลปะต่าง ๆ ส่วนด้านในนั้น หมายถึงตัวธรรมะโดยตรง คราวนี้เมื่อธรรมะของพระพุทธเจ้ามีจำนวนมาก การที่เราจะศึกษาสุนทรียะในศาสนานั้น เราก็ต้องแยกประเด็นในการศึกษา
สุนทรียะในด้านพระชาติภูมิของพระพุทธองค์
ประเด็นแรก ถ้าเราพิจารณาชีวประวัติของบรรดาจอมศาสดาที่เป็นเจ้าของศาสนาใหญ่ ๆ ในโลกมาเปรียบเทียบ เราจะเห็นได้ว่าชีวประวัติของศาสดาบางศาสนานั้น เต็มไปด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจ มีความยากจนหม่นหมอง มีชาติตระกูลที่ไม่ได้รับการยกย่องจากสังคม บางคนก็มีอาชีพเป็นผู้นำในการค้าขาย บางคนก็เกิดในสกุลที่ไม่มีโอกาสจะส่งเสียลูกให้ได้รับการศึกษาดี เป็นกสิกร เป็นผู้เลี้ยงปศุสัตว์ สิ่งแวดล้อมในประเทศท้องถิ่นนั้นก็เป็นประเทศที่เรียกว่า “ด้อยในทางพัฒนา” อย่างภาษาพูดเดี๋ยวนี้ คือ เป็นเมืองป่าเมืองดงอยู่ในท่ามกลางทะเลทรายนี่ เป็นชาติภูมิ ข้อบกพร่องในด้านสุนทรียะที่เราเมื่อเปรียบเทียบกับพระชาติภูมิของพระพุทธเจ้าแล้ว จะเห็นว่าต่างกันไกลทีเดียว
อินเดียก่อนพระพุทธกาลถึง ๑,๐๐๐ ปี เป็นยุคทองของความคิดของบรรดานักปราชญ์เจ้าลัทธิต่าง ๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงคิดนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งใหม่ แต่ว่าบรรดานักปราชญ์เขาคิดกันมาก่อนตั้งพันปีแล้ว แต่พระพุทธเจ้าได้ทรงพบความสำเร็จที่เหนือกว่า ยิ่งใหญ่กว่า บรรดาเจ้าลัทธิอื่น อันเป็นข้อที่ทำให้พระพุทธศาสนาแตกต่างกับลัทธิเหล่านั้น นี่ก็แปลว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้เกิดในบ้านป่าเมืองเถื่อนชนิดที่ จะว่าอะไรว่าตามกัน ทำอะไรก็ทำตามกัน โดยที่ผู้ทำตามนั้นไม่ต้องใช้ความเฉลียวฉลาดของตัวเองไตร่ตรอง แต่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในท่ามกลางคนมีปัญญา คนฉลาด คนที่เขากำลังขบคิดปัญหาชีวิต คนที่เขากำลังต้องการค้นคว้าหาความจริงจากชีวิต ต้องการเหตุผล การที่พระพุทธศาสนาได้รับชัยชนะ จนกระทั่งสามารถตั้งเป็นศาสนาหนึ่งเอกเทศต่างหากนั้น ก็นับว่าเป็นสุนทรียะข้อหนึ่งของพระพุทธศาสนาในแง่ชาติภูมิ
เกียรติภูมิทางชาติวรรณะ
พูดถึงในแง่ชาติภูมิเช่นนี้ บางท่านก็อาจจะแย้งว่า แคว้นศากยะ ซึ่งมีเมืองกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวงนั้น เป็นเมืองขึ้นของแคว้นโกศลมิใช่หรือ ? การที่พระพุทธเจ้าท่านไปถือประสูติในแคว้นศากยะนั้น ไม่เป็นเหตุให้เกิดความคิดด้วยในทางพระชาติภูมิหรือ ?
ในข้อนี้เราต้องทราบข้อเท็จจริงเสียก่อน อินเดียในครั้งโบราณ เขาไม่ได้ถือเรื่องเอกราชหรือมหาอำนาจยิ่งใหญ่เป็นสำคัญเท่าเรื่องชาติวรรณะเลย ตรงกันข้าม ถ้าหากว่าบุคคล แม้จะเป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์สักปานใด แต่ถ้าเกิดในวรรณะต่ำ สกุลต่ำ บุคคลนั้นก็ไม่ได้ให้การยกน่องเทิดทูนมากมายนัก นอกจากบรรดาบริวารที่ตกอยู่ในอำนาจของท่านผู้นั้น จะยกย่องด้วยความเกรงกลัวในอิสริยยศ แต่ว่าในสังคมทั่วไปแล้ว เขาไม่ได้ยกย่อง ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งมีฐานะเป็นมหาราชาธิราชองค์หนึ่ง ที่ได้รับส่วยบรรณาการจากแคว้นศากยะ แคว้นศากยะจะต้องส่งส่วยเครื่องราชบรรณาการให้พระเจ้าปเสนทิ ในขณะที่พระเจ้าปเสนทิเกิดมีความประสงค์ต้องการจะเป็นพระญาติกับพระศาสดา ถึงกับส่งทูตไปขอศากยธิดามาอภิเษกสมรสนั้น สภาเจ้าศากยะได้ตั้งข้อรังเกียจพระเจ้าปเสนทิว่าเป็นคนวรรณะต่ำ ที่ได้ดีก็เพราะว่าบรรพบุรุษได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจในประเทศนั้น แล้วก็ตั้งตัวเห็นใหญ่ขึ้น แต่ในชาติวรรณะแล้ว ก็ไม่สมควรที่ศากยธิดาจะพึงอภิเษกสมรสกับคนวรรณะเช่นนั้นด้วย ในที่สุดก็ได้ส่งลูกนางทาสี คือพระนางวาสภขัตติยา พระมหานามะเป็นพระบิดา มาดาเป็นทาสีในพระมหานามะ มีพระโอรสในพระเจ้าปเสนทิโกศล คือ พระเจ้าวิฑูฑภะ ไปให้ไปเป็นมเหสีของพระเจ้าปเสนทิ โดยปกปิดความจริงไว้
อันนี้จะเห็นได้แล้วว่า เกียรติภูมิทางการเมืองนั้น ไม่ใหญ่กว่าเกียรติภูมิทางชาติวรรณะ เกียรติภูมิทางชาติวรรณะนั้นสูงกว่าเกียรติภูมิทางการเมือง เกียรติภูมิทางการเมืองเป็นเพียงชั่วแล่นของอำนาจ แต่เกียรติภูมิทางชาติวรรณะนั้น สังคมอินเดียในยุคโบราณถือกันเป็นเรื่อง เรียกว่า “ชั่วนาตาปี” กันเลยทีเดียว ชั่วลูกชั่วหลานสืบกันไม่รู้จักสิ้นสุดทีเดียว
เพราะฉะนั้น การที่พระผู้มีพระภาค ทรงถือปฏิสนธิในศากยวงศ์นั้น ก็เป็นการสมควรแล้ว เพราะว่าวงศ์ศากยะ สังคมอินเดียซึ่งเป็นพวกถือชั้นวรรณะรุนแรง ย่อมยกย่องว่าบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายมารดาทั้งฝ่ายบิดา คือระดับโคตรขึ้นไปถึง ๗ ชั่วโคตร ไม่มีการมัวหมองหรือผสมคละด้วยการสมรสกับคนวรรณะอื่นแลย เป็นวรรณะกษัตริย์ที่สืบมาจากสุริยวงศ์แท้
กษัตริย์โบราณของอินเดียมีอยู่ ๒ วงศ์ด้วยกัน วงศ์หนึ่งเรียกว่า สุริยวงศ์ วงศ์หนึ่งเรียกว่าจันทรวงศ์ สุริยวงศ์นั้นสืบสายวงศ์จากพระเจ้าอิสวาปิ หรือเรียกกันในภาษายาลีว่า พระเจ้าโอกากราช จันทรวงศ์นั้นก็สืบสายมาจากพระเจ้ารามจันทร์ หรือพระรามในวรรณคดีรามเกียรติ์ ซึ่งเป็นตำแหน่งราชวงศ์กษัตริย์โบราณ ๒ วงศ์นี้ นับถือเป็นราชวงศ์ตัวอย่างในทางมีเลือดเนื้อเชื้อไขบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์
วงศ์ศากยะเป็นสาขาหนึ่งของสุริยวงศ์ซึ่งแยกออกไปตั้งแว่นแคว้นขึ้นในแถบถิ่นหิมพานต์ เพราะฉะนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์ยังสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ก่อนหน้าที่จะมาถือปฏิสนธิในโลกมนุษย์นั้น เมื่อเทพยดาในแสนโกฏิจักรวาลกราบทูลอัญเชิญ พระองค์จึงได้แสดงปัญจวิโลกนะ คือพิจารณาความเป็นไปของโลก ตั้งแต่โลกที่จะทรงอุบัติ ประเทศที่จะทรงอุบัติ ตระกูลที่จะทรงอุบัติ และก็พระพุทธบิดา พระพุทธมารดา ซึ่งจะเป็นของที่พระองค์จะเข้าไปถือการอุบัตินับระดับชั้นลงไป พระองค์จึงได้เลือกเอาแคว้นศากยะ หรือศากยวงศ์นี่แหละ เพราะถือกันว่าเป็นเรื่องที่มีชาติวรรณะบริสุทธิ์ เป็นสาขาของสุริยวงศ์ เพราะฉะนั้น เกียรติภูมิทางการเมืองจึงไม่ยิ่งใหญ่ ไม่สำคัญ เท่ากับเกียรติภูมิทางชาติวรรณะ เหตุนี้พระผู้มีพระภาคของเราจึงได้อุบัติขึ้นในวงศ์ศากยะ
ในข้อนี้พวกพราหมณ์ ซึ่งเป็นเจ้ายศเจ้าอย่างในเรื่องระบบวรรณะ เขาก็ยอมยกนิ้วให้ เช่น โสณทัณฑพราหมณ์มีอายุตั้ง ๑๒๐ ปี เป็นผู้กินส่วยเมืองจำปานคร คือเป็นเจ้าเมืองด้วย เป็นเจ้าลัทธิด้วย พอรู้กิตติศัพท์พระพุทธเจ้านำภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่มาพักอยู่ที่สระโบกขรณี ชื่อว่าคัคครา แขวงเมืองจำปา ก็ปรารภว่าจะไปเฝ้าพระองค์ แต่บรรดาบริวารบอกว่า
“ไม่ควร ท่านเป็นผู้ใหญ่คราวปู่ของพระสมณโคดม แล้วท่านก็เป็นพราหมณ์ถึง ๗ ชั่วโคตร บริสุทธิ์บริบูรณ์ทางด้านมารดาบิดา เป็นผู้รู้จบไตรเพท เป็นผู้ที่มหาพราหมณ์ใหญ่ในอินเดียเช่นว่า ชาณุโสนิพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ วังกีพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ เป็นต้น ถือเป็นอาจารย์ ท่านก็ยังเป็นคนที่พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิได้แสดงอัญชลีกรรมสามีจิกรรม ได้ถวายพรหมไทยไว้ให้กับท่านเป็นจำนวนมาก แม้แต่ผู้ที่เวลาตกใจไอ ก็เปล่งคำบูชาออกมาว่า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ท่านโสณทัณฑะ ก็เมื่อท่านบริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติถึงปานเช่นนี้แล้ว ควรที่พระสมณโคดมจะเดินทางมาเฝ้า มาหาท่านมากกว่าที่ท่านจะเดินทางไปหาสมณโคดม
โสณทัณฑพราหมณ์นั้นเป็นบัณฑิต เมื่อถูกลูกน้องยับยั้งด้วยการให้เหตุผลเช่นนี้ ท่านจึงชี้แจงให้ลูกน้องทั้งหลายฟังว่า
“เดี๋ยวก่อน ท่านทั้งปวง ท่านทั้งปวงยังไม่รู้คุณสมบัติของพระสมณโคดมที่ดียิ่งกว่าเรา ยกตัวอย่างเช่นว่า พระสมณโคดมนั้นที่เป็นชาติดีคือ เกิดเป็นชาติกษัตริย์ ท่านเกิดในสกุลดี คือศากยสกุล ท่านเกิดโคตรดี คือโคตมโคตร
คำว่า “โคตมะ” ไม่ได้แปลว่า “วัว” หรือ “โค” อย่างการแปลไปตามตัวหนังสือ โคตมะ ในที่นี้แปลได้หลายนัย นัยหนึ่งแปลว่า “ดวงอาทิตย์” อาทิตย์นี่ก็เรียกว่าโคตมะได้ นัยหนึ่งหมายถึง “ดอกทานตะวัน” เพราะฉะนั้นโคตมโคตรนี่ไม่ได้แปลว่า วงศ์วัว แต่แปลว่า วงศ์พระอาทิตย์ ก็ได้
พระสมณโคดมมีบิดาและมารดาเป็นสุขุมาลชาติ ๗ ชั่วโคตรตามลำดับชั้นขึ้นไป ไม่มีมลทินแปดเปื้อนในทางเลือดเนื้อเชื้อไข พระสมณโคดมเป็นผู้มีความรู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ คือรู้ด้วย ประพฤติตามที่รู้ได้ด้วย พระสมณโคดมเป็นผู้มีรูปงาม เป็นผู้มีวาจาอ่อนหวาน เป็นผู้กล่าวประโยชน์ เป็นผู้ทำความเบิกบานใจแก่ผู้เข้าหา และก็เป็นสมณะของบรรดามหาพราหมณ์ใหญ่ ๆ เช่น โสนพราหมณ์ วัวกีพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ มหาพราหมณ์เหล่านี้ก็ล้วนแต่ถือพระสมณโคดมเป็นที่พึ่ง พระเจ้าแผ่นดินใหญ่ ๆ เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าอุเทน ก็ถึงพระสมณโคดมเป็นที่พึ่ง แม้เทวดา มีท้าวจาตุมมหาราช ท้าวสักกะ ก็ถือพระสมณโคดมเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นควรที่พวกเราจะเป็นฝ่ายไปหาพระสมณโคดม ในขณะมี่พระสมณโคดมอุตส่าห์มาเยี่ยมบ้านเมืองของเราในที่นี้”
บรรดาลูกศิษย์ก็บอกว่า “โอ, ถ้าพระสมณโคดมประกอบด้วยคุณสมบัติดังที่ท่านอาจารย์พรรณนามาแล้ว อย่าว่าแต่ท่านมาพักอยู่ทีสวนโบกขรณีคัคครา ดงไม้จำปา ข้างนครจำปาของเราเลย ต่อให้เดินแบกคอนอาหารรอนแรมไปหาอีกไกลเท่าไกล พวกเราก็ควรจะขวนขวายไปกัน”
นี่เป็นเรื่องเกียรติภูมิสุนทรียภาพทางชาติภูมิของพระพุทธเจ้าว่าพระองค์ไม่มีปมด้อยในพระราชหฤทัยอย่างพวกเจ้าลัทธิอื่น เจ้าศาสดาอื่น ซึ่งเขามีเจ้าศาสดามีปมด้อยเรื่องบิดามารดาบ้าง มีปมด้อยเรื่องวงศ์สกุลบ้าง มีปมด้อยอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับเลือดเนื้อเชื้อไข บางทีเกิดมาก็หาพ่อไม่ได้ อยู่ ๆ ก็อาศัยมารดาตั้งครรภ์ขึ้นมา อ้างว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาบ้าง บิดาไม่ยอมรับท่านผู้นั้นเป็นบุตรบ้าง กระมั่งมีผู้ลึกลับมากระซิบบอกว่า “ผู้นั่นแหละ เป็นลูกของฉันเอง” อย่างนี้ก็มี คือ มีปมด้อยอย่างนี้ที่จะให้ผู้ที่เขาไม่เลื่อมใส ตั้งข้อหาท้วงติงประมาณว่า อย่างนี้ก็ได้ แต่สำหรับพระศาสดาของเรานั้น ปมด้วยในเรื่องชาติภูมิไม่มีเลย อันนี้ก็เป็นสุนทรียภาพในเรื่องอัตประวัติ
บางศาสดากับการตั้งลัทธิศาสนา
ถ้าเราจะไปปรับกับชีวิตของเจ้าลัทธิศาสดาอื่น บางเจ้าลัทธิตั้งลัทธิขึ้นมาด้วยอารมณ์ ๓ ประการ คือ อารมณ์โลภ ๑ อารมณ์โกรธ ๑ อารมณ์หลง ๑
อารมณ์โลภนี่คืออะไร
อยากจะได้ลาภสักการะ อยากจะได้บริวารอิสริยยศ อยากจะให้เขายกย่องว่าเป็นศาสดา ก็ตั้งศาสนาหรือตั้งลัทธิขึ้นเพื่อประโยชน์ดังที่ว่ามานี้ บางคนก่อนจะตั้งตัวเป็นศาสดานั้นเป็นคนไม่มีอะไรเลย เรียกว่าไม่มีอะไรจากตัวเลย แต่ครั้นพอตั้งตัวเองเป็นศาสดาขึ้นมาก็อาศัยอิทธิพลของศาสนาเที่ยวตีบ้านตีเมือง ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ พูดง่าย ๆ ว่าอาศัยศาสนาเป็นเครื่องมือสำหรับก้าวไปสู่บัลลังก์ความเป็นกษัตริย์อย่างนี้ก็มี
บางคนตั้งศาสนาขึ้นด้วยอารมณ์โกรธ เช่น มีปมด้วยจากถูกดูหมิ่นในสังคม หรือตั้งลัทธิศาสนาขึ้นเพื่อต้องการแก้แค้นสังคม ประชดประชันสังคม ก็ตั้งลัทธิศาสนาขึ้นมา เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวนี้ก็มี
บางศาสดาหรือบางเจ้าลัทธิ ตั้งศาสนาและลัทธิขึ้นด้วยความหลง คือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ตั้งขึ้นมาก็มี ประเภทนี้ยกตัวอย่างเช่นว่า สัญชัยเวลัฏฐบุตร ยึดอัญญานวาท หรือเรียกกันว่า อมราวิกเขปิกทิฏฐิ ที่กล่าววาจาทัพฝ่ายอื่น เปรียบเหมือนปลาไหล จับไม่อยู่ เพราะตัวไม่มีความรู้แจ้งเห็นจริง ครั้นจะพูดอะไรยืนยันเด็ดขาดไปหรือ ก็กลัวเขาจะจับไต๋ของตัวได้ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวเบี่ยงไปเบี่ยงมา
สมมติว่ามีใครมาตั้งปัญหาถามอาจารย์สัญชัยว่า “ท่านอาจารย์ ชาติหน้ามีไหม ?”
อาจารย์สัญชัยก็ย้อนถามผู้ถามบอกว่า “แกล่ะ เชื่อว่ามีไหม ?”
ถ้าเขาตอบว่า “เชื่อ”
สัญชัยก็ตอบว่า “ข้าก็เชื่อว่าชาติหน้ามี”
แต่ในประเด็นเดียวกัน ถ้ามีอีกคนหนึ่งมาถามท่านว่า “ชาติหน้ามีไหม ?” ก็ย้อนถามว่า “แกเชื่อว่ามีไหม ?” ถ้าเขาตอบว่า “เชื่อ” สัญชัยก็ตอบว่า “ข้าก็เชื่อว่าชาติหน้ามี”
ตกลงว่า คำพูดของสัญชัยนี่เป็นการตอบบ่ายเบี่ยง ไม่กล้ายืนยันพยากรณ์ข้อเท็จจริงอย่างเด็ดขาดว่ามันมีหรือไม่มี พูดบ่ายเบี่ยงไปตามคำถามที่มีผู้ผูกปัญหามาถาม ที่บ่ายเบี่ยงเช่นนี้ก็เพราะเกิดจากอัญญาณคือ โมหะ ไม่รู้จริง เมื่อไม่รู้จริงแล้วก็ไม่สามารถจะยืนยันความจริงออกมาได้ ครั้นจะพูดไปทั้งไม่รู้ก็กลัวจะเสื่อมลาภ เสื่อมสักการะ เสื่อมผู้นับถือ การตอบเช่นนี้ จึงเท่ากับว่า ตอบเอาใจผู้ถาม อย่างน้อยก็ให้ผู้ถามรู้สึกว่าตนมีทิฏฐิร่วมกับผู้ถามนั้น จะได้ผู้ถามมาเป็นพวกด้วย อาจารย์สัญชัยเป็นคนอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จึงตั้งลัทธิขึ้นด้วยอำนาจของอัญญาณ เป็นอัญญาณวาทะอันประกอบด้วยโมหะ
มักขลิโคสาละนี่ตั้งขึ้นโดยอารมณ์โกรธ มีโกรธเป็นสมุฏฐาน เดิมเป็นทาส ถูกซื้อมาเป็นทาสตั้งแต่เด็ก แล้ววันหนึ่ง นายสั่งให้ตักน้ำทำความสะอาด แล้วก็ไปจ่ายตลาด ซื้อนม ซื้อเนยมาหม้อหนึ่ง จับทูนไว้บนหัวมือหนึ่ง โชว์ข้างหนึ่ง เดินร้องเพลงมาตามถนน พอมาถึงหน้าประตูบ้าน เผอิญลื่น หม้อดินตกลงมาแตกกระจายหมด แกกลัวความผิดว่านายจะจับตัวไปเฆี่ยน ไปคุมขัง ก็หนี นายก็วิ่งไล่จับ คว้าผ้าที่แกห่ม คว้าได้แต่คว้าตัวไม่ได้ แกเลยสลัดผ้าทิ้ง หนีไป ตั้งแต่นั้นมา แกก็ไม่นุ่งผ้า เพราะไหน ๆ นุ่งผ้าแล้ว เปลือยกายหนีต่อหน้าธารกำนัล แล้วตั้งตัวเป็นผู้วิเศษว่า “บัดนี้ฉันเป็นพระอรหันต์แล้ว ฉันไม่ต้องนุ่งผ้า ฉันสิ้นอายแล้ว คนใดยังมีอาย คนนั้นยังไม่เป็นอรหันต์ ท่านที่ยังมีความรู้สึกในเรื่องเพศอยู่ จะต้องปิดบังเพราะว่าคนนั้นยังไม่เป็นอรหันต์ ต้องอย่างฉันซิ ฉันเป็นอรหันต์แท้ หมดอายแล้ว ไม่มีกาม”
แล้วความจริงที่แกหมดอาย ไม่ใช่แกไม่อาย แต่ผ้านุ่งแกถูกนายเขาไล่คว้าเอาไป แกเลยตกกระไดพลอยโจน ไม่นุ่งผ้าในวันนั้นเลย
นี่มักขลิโคสาล แล้วตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิ และเจ้าศาสนาเหล่านี้มีข้อบกพร่องพิสูจน์ได้ดังกล่าวมา แต่เราพิจารณาดูอัตประวัติของพระผู้มีพระภาค เราต้องมีความปสาทะ เลื่อมใสว่า พระองค์ไม่มีข้อมัวหมองต่าง ๆ ทรงสมบูรณ์ด้วยความผาสุก ตามเยี่ยงโลกียวิสัยทุกประการ ไม่เคยเป็นคนยาก คนจน มาก่อน มีทุกสิ่ง มเหสีก็สวย บิดามารดาก็เอาอกเอาใจ ปัญหาเรื่องเสื่อมลาภ เสื่อมยศก็ไม่มี พระองค์ก็ทรงสละสิ่งเหล่านี้ สละจากความมีอะไร ๆ มาเป็นผู้ไม่มีอะไร ๆ แตกต่างกับเจ้าลัทธิบางท่าน จากความเป็นผู้ไม่มีอะไร ๆ มาเป็นผู้มีอะไร ๆ จากความเป็นผู้ที่นอนกลางดิน กินกลางทราย ลำบากลำบนกลายเป็นกษัตริย์ นำกองทัพเที่ยวรบพุ่งชิงชัยเขา แต่พระพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงเป็นกษัตริย์สละการมีอะไร ๆ มานอนกลางดิน กินกลางทราย ไม่มีอะไร ๆ
เราจะเห็นว่าการประดิษฐานพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่เกิดเพราะโลภหรือโกรธหรือหลง ถ้าจะเกิดเพราะโลภแล้วมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่มีเลย สมบัติแต่เพียงฟ้า ๓ ผืน เป็นกษัตริย์อยู่ต่อไป ไม่ดีกว่าหรือ มีสาวสนมกำนัลในมากมายก่ายกอง เพราะโกรธหรือ พระพุทธเจ้าของเราไม่เคยโกรธใคร ไม่ได้ถูกชิงชังจากพระญาติวงศ์ ไม่ได้ผิดหวังจากฐานะตำแหน่ง ทรงอยู่ในตำแหน่งฐานะรัชทายาท ที่จะมีหวังครองราชสมบัติอยู่แล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงผิดหวัง หรือมีปมด้อยในอัตประวัติใด ๆ เลย ก็ทรงสละสิ่งนั้นออกมา
ใครจะมาตั้งข้อจ้วงจาบ พระพุทธศาสนาว่าพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือของชนชั้นมั่งมีบ้างละ เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองบ้างละ คำจ้วงจาบเหล่านี้ จ้วงจาบไม่ขึ้น คำจ้วงจาบเหล่านี้อาจจะจ้วงจาบขึ้นสำหรับศาสนาอื่นหรือที่อื่น แต่กับพระพุทธศาสนานั้นไม่มีเลย พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนมั่งมีในสมัยเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
อันนี้ก็เป็นสักขีพยานพอแล้วที่จะเห็นว่าศาสนาพุทธนั้นไม่ได้ตั้งเพื่อมุ่งประสงค์เหล่านี้
เจตนารมณ์การประดิษฐานพระพุทธศาสนา
เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์คือศาสนานี้ เราประพฤติไม่ใช่เพื่อหลอกลวงคน เราประพฤติไม่ใช่เพื่อต้องการจะเป็นเจ้าลัทธิสำหรับโต้วาทีแก้อย่างโน้นตอบอย่างนี้ เราประพฤติไม่ใช่เพื่อจะเรียกร้องให้ใครมาเคารพสักการะ เพื่ออามิสบูชา แต่ที่แท้พรหมจรรย์นี้มีแก่นสาร คือความพ้นทุกข์ ความดับทุกข์ และความพ้นจากราคะเป็นแก่นสาร”
อันนี้เป็นแก่นสารของพรหมจรรย์นี้จนปัจจุบันนี้ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์อย่างแท้จริงของพระพุทธองค์ที่ทรงประดิษฐานศาสนาพุทธขึ้น ไม่ใช่เพราะแอบอิงโลภ โกรธ หลง
บุคคลิกภาพของพระพุทธเจ้า
คราวนี้เรามาพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง ถึงในส่วนบุคคลิกภาพของพระพุทธเจ้า ถ้าจะมองในแง่สุนทรียะก็สมควรรักอย่างยิ่ง คือเป็นชายรูปงาม พระวรกายโปร่ง สมาร์ท ดวงพระเนตรคมหวาน นัยน์ตาพระพุทธเจ้าทั้งหวาน ทั้งคม เป็นชายตาหวานซึ่งต่างกับตากริ่ง ตากริ่งนี่ตาเจ้าชู้ ใช้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ตากริ่ง แต่ทรงหวาน และก็ระคนกับคม ทั้งหวานทั้งคม มองใครก็มองซึ้งไปถึงหัวใจ แล้วนอกจากซึ้งถึงหัวใจแล้ว ยังฝากไว้ซึ่งความเย็นไว้ในแววตาด้วย ถ้าใครสบพระเนตรกับพระพุทธเจ้าแล้ว คนนั้นสบายใจ ชื่นอกชื่นใจ ถ้าเนตรประสานเนตรฉับเข้าให้เมื่อไหร่ละก็ เมื่อนั้นแหละ คน ๆ นั้นจะรู้สึกปีติความชื่นชมอย่างแปลกประหลาด เพราะสายเนตรของคนที่ตาคม อ่านหัวใจคนออกทุกคนหมด ใครจะมาปกปิดมารยาอย่างใด ปกปิดพระองค์ไม่ได้ พระองค์ท่านตั้งแตใบหน้าทะลุหัวใจตาหวานก็ทรงหลั่งความรักความแมตตาให้ผู้นั้น นี่ทั้งคมทั้งหวาน
บรรดาสมณพราหมณ์ที่ยกย่องบุคคลิกภาพของพระพุทธเจ้านั้น มีคำยกย่องอยู่คำหนึ่ง บอกว่านยเนตรของพระสมณโคดมนั้น ประหนึ่งเป็นนัยน์ตาของลูกกวางอ่อน ไม่ใช่ลูกกวางแก่ ลูกกวางอ่อน ๆ สายตาหวานอย่างไร เราหลับตานึกก็แล้วกัน มันมองเราอย่างซื่อ ๆ แววซื่อ แววหวานของนัยน์ตากวางเป็นอย่างใด นี่แสดงความซื่อ ความเปิดเผย ความเป็นผู้มีสัจจะ อุปมาอย่างนั้น ทั้งคม ทั้งหวาน
ขนตาพระพุทธเจ้างอน แต่ไม่ใช่งอนโค้ง ๆ จนน่าเกลียด ไม่ใช่งอนอย่างสุภาพสตรีปัจจุบัน เสริมสวยเอาเครื่องดัด กระทั่งโง้งผิดธรรมชาติ โง้งแบบนั้นไม่งาม ฝืนธรรมดา ฝืนธรรมชาติ
พระพักตร์ของพระองค์ มีคำอุปมาของบรรดาสมณพราหมณ์ยกย่องว่าพระพักตร์ของพระสมณโคดมนั้น กลมกล่อมเหมือนจันทร์เพ็ญ คำว่ากลมกล่อมเหมือนจันทร์เพ็ญเป็นเพียงแต่คำอุปมาของกวี หมายถึงว่า ดวงพระพักตร์นั้น ไม่ใช่ ๔ เหลี่ยม ไม่ใช่ไข่ไก่ แต่เป็นวงพระจันทร์ที่งามได้ส่วนสัด ไม่ใช่โค้งอย่างพระจันทร์ หรือครึ่งซีกอย่างพระจันทร์ ใครมีดวงหน้าอย่างพระจันทร์ก็แย่ ใครเห็นก็หนี เวลาข้างขึ้นอ่อน ๆ กลางเป็นเสี้ยว พอข้างขึ้นแก่ ๆ กลายเป็นกลม เปลี่ยนได้ นี่เป็นเพียงสำนวนอุปมาของกวีเท่านั้นเอง
พระโอษฐ์นั้นแดงประดุจชาด ไม่ใช่ว่าริมฝีปากซีดหรือริมฝีปากเขียว ถ้าจะสวยด้วยการแต่งทารู๊จก็ไม่ใช่ แดงด้วยชาดตามธรรมดา
รพระทนต์สม่ำเสมอ ไม่มีฟันโครเมี่ยมหรืออะไร ไม่ต้องทั้งนั้น ไม่เขยิน สมัยพุทธกาลมักจะเรียกลักษณะคนมาเป็นชื่อ อย่างมีพราหมณ์คนหนึ่ง ฟันแกเขยิน เลยใคร ๆ เรียกว่า กูฏทันตพราหมณ์ แปลว่า พราหมณ์ฟันเขยิน กูฏทันตะ แปลว่า ฟันเขยินออกมา เพราะฉะนั้น ฟันพระพุทธเจ้านี่เป็นระเบียบ สม่ำเสมอหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ มีภาวะที่อัศจรรย์ พระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ นี้ เวลาพระองค์แย้มพระโอษฐ์ มีรัศมีโชติช่วง แต่รัศมีโชติช่วงนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นแสงพุ่งแปลบปลาบออกมา คำว่ารัศมีโชติช่วง คือหมายความว่า มีเงาวับ เป็นเงาวับ เพราะถ้าจะว่ากันในทางอนามัยแล้ว พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักอนามัยที่สุด สีพระทนต์อยู่เป็นนิจ ถึงกับบัญญัติเป็นสิกขาบทให้พระต้องสีฟัน ต้องสีฟัน แล้วก็ทรงบอกอานิสงส์ว่า การสีฟันนี่ให้อานิสงส์อะไรบ้าง
๑. ทำให้ฟันทน
๒. รับประทานอาหารเอร็ดอร่อย
๓. ไม่เป็นโรค
๔. ท้องไม่ผูก
อานิสงส์ของการสีฟัน ไม่เป็นโรคด้วย พระบรมศาสดานั้น พระเขี้ยวแก้วเวลาที่มีรัศมีออกมานี่ ผู้ที่จะเห็นนั้นต้องเป็นผู้ที่ใกล้ชิดอย่างพระอานนท์ พระอานนท์เวลาไปไหน ท่านเป็นปัจฉาสมณะ ติดสอยห้อยตามพระพุทธเจ้า เวลาพระศาสดาทรงปรารภเหตุอะไรแล้วก็มักจะแย้มพระโอษฐ์ การแย้มพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อย่างพวกเรา เราหัวเราะกันกิ๊ก ๆ กั๊ก ๆ หัวเรางอหาย หัวเราจนน้ำหูน้ำตาไหล กุมท้องลงไปดิ้นพราด ๆ การหัวเราะของเราเป็นอย่างนั้น
แต่การหัวเราของพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระอรหันต์บุคคลขึ้นไปนั้น เป็นเพียงแต่แย้มเห็นไรฟันนิดหน่อย แย้มนิดหน่อย ไม่มีการหัวเราะลงลูกคอเอิ๊กอ๊าก ไม่มีการหัวเราจนงอหาย กลิ้งไปกลิ้งมา ไม่มีการหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาเล็ดลอดออกมา เวลาแย้มพระโอษฐ์แล้ว ก็มีรัศมีพระทันตธาตุโชติช่วงเป็นเงาออกมา พระอานนท์เถรเจ้าท่านเป็นคนช่างสังเกต พอพระพุทธเจ้าแย้มพระโอษฐ์ก็ต้องนึกรู้แล้วว่า พระองค์จะต้องมีเรื่องสำคัญ ปรารภเหตุใดเหตุหนึ่งเป็นแน่ ถึงแย้มพระโอษฐ์ พอเสร็จก็รีบกราบทูลถามว่า
“เมื่อกี้นี้ พระผู้มีพระภาคทรงแย้มพระโอษฐ์เพราะเหตุใด พระเจ้าข้า” พระอานนท์ท่านเป็นคนช่างถามอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าก็แสดงปรารภเหตุอันนั้น อย่างนี้ก็มีบ่อย ๆ
ครั้งหนึ่ง พระอานนท์ติดตามพระพุทธเจ้าไปในป่าแห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าพอผ่านป่าแห่งนี้ พระองค์ก็แย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์ก็รีบถามทันทีว่า “พระองค์ปรารภเหตุอะไรพระพุทธเจ้าข้า พระองค์ถึงแย้มพระโอษฐ์” พระพุทธเจ้าบอก “อานนท์ ป่าตรงนี้เป็นกัปปัฏฐายิ ตั้งอยู่ชั่ว ๑ กัปป์ไฟจะไม่ไหม้ จนกว่าวันโลกแตกวันนั้นไฟถึงจะไหม้ ถ้าวันใดไม่ถึงกำหนดอายุโลก กัปป์ของโลกแล้ว ที่ตรงนั้นจะไม่มีไฟไหม้เลย ไฟจะใหญ่เพียงไหน ถ้ามาถึงตรงนี้แล้วจะต้องดับหมด”
พระอานนท์ทูลถามว่า “เพราะเหตุอะไรเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคได้นำอดีตเหตุมาเล่าให้พระอานนท์ฟังว่า
“หลายอสงไขยแสนมหากัปป์ล่วงมาแล้ว ป่าตรงนี้เป็นที่ตั้งของนกคุ้มสัจจกิริยาไล่ไฟ คือ เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงเสวยพระชาติเป็นนกคุ้ม อยู่บนต้นไม้สูง ทีแรกก็อยู่บนต้นหญ้า ทีหลังก็ย้ายไปอยู่ข้างบน แล้วเมื่อไปอยู่บนต้นโน้น แล้ววันหนึ่ง บิดามารดาออกไปหากินข้างนอก กลับมาไม่ทัน เกิดไฟไหม้ป่า พระโพธิสัตว์เวลานั้นยังเป็นนกเล็ก ๆ ปีกยังไม่แข็ง ไฟไหม้ใหญ่ล้อมต้นไม้เข้ามาไกล้ประชิดรัง ท่านจึงตั้งสัจจกิริยาอ้างความจริงที่มีอยู่ในขณะนั้นว่า ‘ปีกของข้าก็มีอยู่ ก็บินไม่ได้ พ่อแม่มีอยู่ พ่อแม่ก็ไปกาหินยังไม่กลับ ข้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเป็นไปอยู่ ไฟเอ๋ย ถ้านี่เป็นความจริงของข้าที่มีอยู่แล้ว เจ้าจงถอยออกไป ๑๖ กรีสเถิด ถอยออกไปบริเวณนอก ๑๖ กรีสเถิด’ สิ้นสัจจกิริยาของนกพระโพธสัตว์ ไฟป่าที่ไหม้นี่ก็ดับวูบตลอดหนทาง ๑๖ กรีสไป”
เพราะเหตุนี้ โบราณจึงได้เขียนมาเป็นลูกนก เขียนยันต์กันไฟ เรียกกันว่า “ยันต์พญานกคุ้ม” ถือว่ากันไฟ อ้างปรารภเหตุอันนี้ เพราะฉะนั้นในวันนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จพุทธดำเนินมา ผ่านป่านี้แล้วก็กระทบกับอารมณ์เก่าของพระองค์ ระลึกชาติย้อยหลังไปหลายอสงไขยแสนมหากัปป์ ว่าที่ตรงนี้ เมื่อยังทรงเป็นพญานกอยู่ ได้เสวยพระชาติ ทรงตั้งสัจจกิริยาดับไฟ จึงกลับยืนยันกับพระอานนท์ว่า ตรงนี้เป็นกัปปัฏฐายิ ตั้งอยู่ได้ชั่ว ๑ กัปป์ไฟไม่ไหม้ จนกว่าวันใดโลกจะแตก ไปถึงจะไหม้ที่ตรงนี้ นี่ปรารภเหตุนี้จึงแย้มพระโอษฐ์เป็นประกายรัศมีออกมา
ตำนานมหาปุริสลักษณะว่า พระชิวหาของมหาบุรุษนั้น แลบติดถึงหน้าผากได้ แลบซ้ายขวาถึงใบหู ลิ้นยาว แลบซ้ายขวาถึงใบหู อาการเช่นนี้ท่านทั้งหลายอย่ากลัวว่า ถ้าเผื่อแลบให้เราเห็น เรามิกลัวแย่หรือ แลบลิ้นหลอกเรา ตำนานมหาปุริสลักษณะที่ว่า แลบลิ้นติดนลาฏ แลบถึงใบหู เป็นคำอุปมา ไม่ใช่ว่าของจริงจะต้องแลบอย่างนั้นจริง ๆ ถ้าเชื่อตามตำนานมหาปุริสลักษณะ แล้วเราเอากระจกเงาบานใหญ่ส่องดู แล้วเราลองทำเป็นแบบนั้นบ้างซิ จะได้เค้าไหม
ตำนานพรรณนาบอก มือยาวถึงเข่า ถ้าคนมือยาวถึงเข่า เป็นลิงแล้ว ไม่ใช่มหาบุรุษ ลักษณะเป็นลิงมากกว่าไม่ใช่คนมีบุญแล้ว ถ้าขนาดว่า เดินไปไหนมาไหน เดินดี ๆ แก่วงมือยาวถึงหัวเข่าละก็ วานร ไม่ใช่มนุษย์
ตำนานมหาปุริสลักษณะอย่างนี้ ท่านพรรณนาเป็นบุคลาธิษฐาน เราต้องรู้จักเอาความหมายอย่าง เช่นพรรณนาอสีติญาณพยัญชนะว่ารอยเท้าของพระพุทธเจ้านั้น มีรูปภูเขาหิมพานต์ มีรูปพัด มีรูปพระพรหม มีรูปพระอินทร์ มีรูปต่าง ๆ เครื่องสูงต่าง ๆ เป็นราชกกุธภัณฑ์ต่าง ๆ พรรณนาอย่างนั้น ท่านทั้งหลายอยากจะเห็นรอยเท้าพระพุทธเจ้าตามตำนานมหาปุริสลักษณะเป็นอย่างไร เชิญไปดูได้ที่พระบาทพระนอนวัดโพธิได้ เป็นอย่างนั้นแหละ แล้วเราเชื่อหรือไม่ว่า รอยเท้าคนจะมีรูปอย่างนั้น เชื่อไหม ถ้าไม่เชื่อ เราจะให้ความหมายว่าอย่างไร
ความจริงความหมายอันนี้ เป็นแต่เพียงท่านพรรณนาเป็นโวหารบุคลาธิษฐาน ความหมายก็มีว่า สมบัติเหล่านั้น คือ พรหมสมบัติ อินทร์สมบัติ สักกะสมบัติ จักรพรรดิสมบัติ มนุษย์สมบัติ สมบัติต่าง ๆ เหล่านี้ที่เป็นรูปต่าง ๆ ในฝ่าเท้าพระบาทพระพุทธเจ้านั้น สมบัติเหล่านี้ พระศาสดาได้ทรงละแล้ว ทรงอยู่เหนือสมบัติเหล่านี้ อยู่ใต้อุ้งบาทแล้ว สมบัติเหล่านี้ไม่สามารถที่จะทำให้พระองค์ทรงกำเริบ ทรงต้องการความปรารถนาอีกแล้ว เป็นของต่ำในสายพระเนตรของพระองค์ ทรงชนะอินทร์สมบัติ ทรงชนะพรหมสมบัติ ทรงชนะจักรพรรดิสมบัติ ทรงชนะมนุษยสมบัติ เราถือว่า อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ จักรพรรดิ มนุษย์ เราขวนขวายอยากได้ อยากมีกัน สิ่งเหล่านั้นพระองค์ทรงเหยียบไว้ใต้ฝ่าพระบาทหมด ไม่มีความหมาย เหมือนหนึ่งอิฐกรวดดินทราย ความหมายของท่านต้องการอย่างนี้ แต่ในการเทศนาโวหารสั่งสอนคนซึ่งมีหลายชั้นที่เป็นปัญญาบุคคลก็มี ไม่ใช่ปัญญาบุคคลก็มี จะพูดกันแบบตรงไปตรงมา แบบนิปริยายะ นี่มันก็ไม่ได้ มันจะต้องมีจิตวิทยา มีโวหารวิธีการอุบายโกศลชักจูง
ท่านจึงพรรณนาเป็นรูปว่า ใต้ฝ่าอุ้งพระบาท มีภูเขาหิมพานต์ มีพระพรหม มีพระอินทร์ มีเครื่องสูงพระหมากษัตริย์ มีกงจักร มีนางแก้ว ขุนคลังแก้ว ต่าง ๆ นานา เห็นเป็นภาพใต้อุ้งฝ่าพระบาท ทีนี้คนดูเห็นภาพเหล่านั้นก็นึกว่าของเหล่านี้ เป็นประเสริฐถึงเพียงนี้ แต่ยังมาติดอยู่ที่พระบาทของพระศาสดาของเรา ก็แสดงว่าพระศาสดาของเรานี่เหนือกว่าสมบัติเหล่านี้ ต้องการเพียงแค่นี้ ความหมายในเรื่องรูปต่าง ๆ ในอุ้งฝ่าพระบาทเป็นอย่างนี้
ข้อว่าแลบพระชิวหาถึงพระกรรณได้ อย่างนี้ไม่ใช่ของจริง ของจริงเป็นอย่างนั้นคนกลัว เห็นเข้าหนีแล้ว ลิ้นยาวขนาดติดหน้าผาก ลิ้นยาวขนาดห้อยถึงหน้าอกได้ อย่างนี้ถ้าถึงนลาฏได้ ก็ถึงหน้าอกได้ เวลาแลบออกมาทางต่ำก็ถึงหน้าอก เราเห็นเข้า เห็นจะวี๊ดว๊าดกระตู้วู้กันแน่ ลิ้นในที่นี้ หมายถึงว่า ทรงแสดงธรรมสามารถครอบงำบุคคล ความยาวของลิ้นเท่ากับวิ๔แห่งธรรมะที่สามารถครอบงำบุคคลโดยรอบได้ ลิ้นพระองค์ตวัดไปโดยรอบ เปรียบเหมือนธรรมะที่ทรงแสดงจากพระโอษฐ์นี่ สามารถไหลกลมกลืนในดวงใจคนโดยรอบได้ ต้องการความหมายเพียงแค่นี้ เข้าตำนานมหาปุริสลักษณะที่พรรณนาอย่างนี้ ต้องการความหมายเพียงเท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการความหมายอื่นไกลกว่านี้เลย นี่เป็นความหมายอันหนึ่งในเรื่องข้อที่ว่า แลบชิวหายาว
ผิวของพระพุทธเจ้าสีอะไร ไม่ใช่สีขาวย่างฝรั่ง ขางอย่างฝรั่งไม่สวย ถ้าผิวอย่างอารยันแม้ ไปสังเกตดูผิวฝรั่งซิ เราไม่ต้องดูอื่นไกล ดูผิวผู้หญิงฝรั่งก็แล้วกัน ตกกระ หยาบเหมือนผิวช้าง สังเกตให้ดี เหมือนผิวช้าง เป็นทแยงมุม เป็นตาตาราง ตกกระ ที่เราเห็นสวยในหนัง ความจริงผิวมันไม่สวย ถ้าผิวสวยเรียกว่าอาบน้ำยามาแล้ว ผิวฝรั่งที่เข้าวัยกลางคนแล้ว สังเกตเหมือนกับผิวช้างอย่างนั้นแหละ ตกกระก็มี ไม่ตกกระก็เป็นผิวกระด้าง ๆ หยาบ ๆ เป็นตารางเส้นใหญ่ ๆ ฉีกไปแฉกมา เฉไปไฉมา ไม่ว่าหญิงหรือชายเป็นทั้งนั้น หยาบและมีดวง ๆ มีตรา ๆ สังเกตดูให้ดี แล้วขนปุกปุยน่ากลัว ถ้าไม่มีเสื้อใส่ ก็ดูเหมือนลิงอุรังอุตัง ขนยาว นี่ผู้หญิงฝรั่งนะ น่ากลัวมาก ผู้ชายฝรั่งไม่ต้องพูดละ ยิ่งกว่า นี่เรามองไปถึงอย่างนั้น อย่าไปดูแค่ในหนัง ผิวละเอียดอ่อน สวยงาม ของจริงไม่ใช่อย่างนี้ ผิวฝรั่งจะงามต้องผิวค่อนไปทางสเปน อิตาลี โปรตุเกสทางแถบร้อน ถ้าทางสแกนดิเนเวียยิ่งแล้วใหญ่เลย ผิวยิ่งหยาบหนากระด้างใหญ่ทีเดียว เพราะธรรมชาติต้องปรับปรุงผิวอย่างนั้นให้ต่อสู้ความหนาวได้ ต้องผมยาวปกปุยเหมือนกับสัตว์นั่นแหละ ในเขตหนาวผมก็ต้องปกปุยเป็นธรรมดา ต่อสู้ความหนาว
ผิวอะไรสวยที่สุด ผิวชาวเอเซียนี่แหละสวยที่สุด ไม่ใช่เข้าข้างชาวเอเซีย ผิวเราชาวเอเซียนี่งามที่สุดแล้ว ไม่ใช่มีขนปุกปุยประหนึ่งลิง แล้วก็ไม่หยาบกระด้างเหมือนอย่างกับผิวช้าง เพราะฉะนั้น ผิวของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้านั้นก็เป็นชาวอารยัน แต่ก็เป็นชาวอารยันเอเซีย เพราะอารยันมาอยู่ในอินเดียตั้งสองพันกว่าปี กว่าจะถึงสมัยพระพุทธเจ้าเรา ระยะสองพันกว่าปีนี้ก็กลั่นกรองผสมกับเลือดมองโกเลีย รวมผสมกันไป เพราะฉะนั้นผิวพระพุทธเจ้านั้นขาวอย่างคนผิวเหลือง ที่จะขาวจั๊วอย่างฝรั่งขาว (นั้น) ไม่ใช่ (แต่ทรง) ขาวอย่างคนผิวเหลืองที่ผิวขาว ผิวพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น
พระพุทธเจ้ามีพระสุรเสียงกลมกล่อม พระสุรเสียงนี่ เสียงทุ้ม เวลาพูดเสียงทุ้ม กังวาน มีเสียงกังวานและเสียงทุ้มด้วย ลักษณะเสียงของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น ท่านจึงเปรียบว่า พระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมแก่ใคร ๆ คนฟัง ๑๐๐ คน ทุก ๆ คนก็นึกว่าพระองค์แสดงกับเราทั้งนั้น ใคร ๆ ฟังธรรมพระพุทธเจ้าตั้ง ๑๐๐ คน ๑๐๐ ปัญหา ฟังเทศน์เรื่องเดียวกัน แต่ทุกคนก็นึกในใจว่า พระองค์ทรงตอบปัญหาในใจเราทุกคน นี่เป็นอย่างนั้น แล้วใคร ๆ ก็ตามถ้ามีทุกข์ พอมาเห็นหน้าพระพุทธเจ้าแล้ว ทุกข์ก็หายไป ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ฟังธรรมอีก ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ก็แทงสูญไปเลย เพียงแต่เห็นหน้า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ยกเลิกแล้ว พอมาฟังธรรมอีกทีหนึ่ง อีก ๕๐ ก็หมด เป็นอย่างนั้น
นี่เป็นบุคคลิกภาพของพระพุทธเจ้าที่ว่า สง่างาม ภาคภูมิ แข็งแรง พระพุทธเจ้าท่านมีบุคคลิกอย่างนั้น บุคลิกเช่นนี้ แม้แต่เจ้าหญิงกีสาโคตมียังเคยเกี้ยวพาราสีพระพุทธองค์เมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ เจ้าหญิงกีสาโคตมีขึ้นไปอยู่บนปราสาท พอเจ้าชายสิทธัตถะประทับราชรถผ่านมา เจ้าหญิงกีสาโคตมี ได้โยนพวงมาลัยดอกไม้ให้ แล้วก็ขับเป็นกาพย์คาถาเยินยอพระรูปโฉมว่า
นิพฺพุตาม นูน สา มาตา นิพฺพุโต นูน โส ปิตา
นิพฺพุตา นูน นารี ยสฺสายํ อีทิโส ปติ
“หญิงใดมีลูกชายอย่างชายผู้นี้ หญิงนั้นก็จะเป็นคนมีความสุข เป็นมารดาที่มีความสุขที่สุดในโลก สตรีใดถ้าได้ภัสดาเช่นชายผู้นี้ สตรีนั้นก็เป็นผู้มีความสุขารมณ์เปรมปรีดิ์ที่สุดในโลก บุตรธิดาใดถ้าได้บิดาอย่างชายผู้นี้ บุตรธิดานั้นก็เป็นผู้มีลาภ มีความสุขมากที่สุดในโลก *”
พราหมณ์สองคนผัวเมียทางภาคเหนือที่หวงลูกสาวนักหนา ไม่ยอมยกให้แก่ใคร พระยาร้อยเอ็ดเจ็ดนครมาขอ ก็ไม่ยอมยกให้ ต้องการจะเลือกลูกเขยในอุดมคติของตัวเอง เพราะว่าทั้งผัวทั้งเมียเป็นคนเจ้าอุดมคติ รู้ตำรับตำราในการเลือกบุคคล เที่ยวจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง เลือกลูกเขยให้แก่บุตรสาวของตัว เลือกมามีให้ ในที่สุดก็มาพบพระพุทธเจ้าเข้า พอเห็นหน้าเท่านั้น ไม่ต้องอีร้าค่าอีรม บอกว่าฉันยกลูกสาวให้ทันทีเลย พอเห็นบุคลิกเข้าเท่านั้น ยอมแล้ว จะยกลูกสาวให้ สินสอดทองหมั้นไม่เอาหมด เพราะรู้ว่าท่านเป็นพระ ไม่มีสมบัติพัสถาน ไม่เอาหรอก เพราะฉะนั้นให้นิมนต์อยู่ตรงนี้ก่อนนะ จะรับไปบอกกับยายที่บ้าน แล้วบอกลูกสาวที่บ้านว่า เดี๋ยวนี้ได้เจอลูกเขยในอุดมคติเข้าแล้ว
พระพุทธเจ้าได้อธิษฐานรอยพระบาทไว้ให้เห็น แล้วเสด็จผละไป พอยายพราหมณีมาถึงก็บอกว่า “ตาเอ๋ย ดูตามลักษณะของรอยเท้าท่าน ผู้เป็นเจ้าของรอยเท้าที่ว่าจะเป็นลูกเขยยองเรานี่ เห็นจะไม่สำเร็จแล้ว” ตาบอกว่า “ทำไม่เล่ายาย ทำไมถึงไม่สำเร็จเล่า ฉันกะไว้ดีแล้วนี่” ยายพราหมณีก็ตอบว่า “ที่ไม่สำเร็จก็เพราะว่า ท่านผู้เป็นเจ้าของรอยเท้านี่ ไม่มีรอยเท้าหนักส้น หนักปลาย เอียงซ้ายเอียงขวา เหยียบราบเรียบ คนที่มีรอยเท้าเช่นนี้ คนนั้นหมดราคะทางใจแล้ว เพราะฉะนั้นเห็นจะเป็นลูกเขยเราไม่สำเร็จ”
จากนั้นก็สืบถามกันไปว่าใครหนอ เมื่อกี้นี้บอกให้อยู่โน่น ผละไปแล้ว ถามไปถามมา ได้ความว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก็ชวนกันไปเฝ้า พระองค์ก็เลยแสดงธรรมให้ฟัง ทั้งตาทั้งยายสำเร็จเป็นพระอนาคามีบุคคล นี่เป็นเรื่องที่พระองค์ถูกเขาเลือกเป็นลูกเขยโดยที่ไม่ต้องเสียสินสอดทองหมั้นอะไร ยกลูกสาวให้ฟรี ๆ นี่ในครั้งนั้น
ครั้งหนึ่ง ผู้ชายแท้ ๆ ยังหลงรูปโฉมพระองค์เลย พราหมณ์วักกลิ บวชต้องการจะยลโฉมพระพุทธเจ้าให้เต็มใจอิ่มใจเท่านั้นเอง พอบวชเสร็จ ไม่เป็นอันเรียนวินัยกัน เช้าก็จ้องหน้าพระพุทธเจ้า บ่ายก็จ้องหน้าพระพุทธเจ้า เย็นก็จ้องหน้าพระพุทธเจ้า แล้วก็ชื่นอกชื่นใจกับตัวเอง งามอย่างโน้น งามอย่างนี้ สวยอย่างโน้น สวยอย่างนี้ ติดอกติดใจนักหนา พระศาสดาทรงดำริว่า วักกลิภิกษุนี่บวชเพราะ รูปปฺปมาณิกา ในพระองค์ แต่ยังก่อน ตอนนี้อินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ปล่อยให้ชมโฉมไปพลาง ๆ ก่อน รอให้บ่มนิสัยอินทรีย์แก่กล้าพอ วันหนึ่งได้กำหนดวาระ พระองค์จึงตรัสขับไล่วักกลิภิกษุ บอก “วักกลิ เธอจะมานั่งชมโฉมตถาคตไปทำไม ทั้งเช้าทั้งสายบ่ายค่ำ มีประโยชน์อะไรกับร่างกายที่จะเปลี่ยนเป็นเน่านี้ ถ้าทำอย่างนี้ เธออย่าบวชเสียดีกว่า ป่วยการบวช บวชแล้วไม่เรียนธรรมวินัย มานั่งดูโฉมกันอยู่อย่างนี้ มีประโยชน์อะไร”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสบุคคลก็ด้วยเหตุ ๔ อย่างคือ
๑. รูปปฺปมาณิกา เลื่อมใสเพราะเห็นรูปร่าง
๒. โฆสปฺปมาณิกา เลื่อมใสเพราะได้ยินเสียง
๓. ลูขปฺปมาณิกา เลื่อมใสเพราะเห็นเครื่องนุ่งห่มที่เศร้าหมอง การประพฤติวัตรปฏิบัติของพระ
๔. ธมฺมปฺปมาณิการ เลื่อมใสเพราะธรรมะที่ประทับใจ
วักกลิเสียใจ เพราะทุ่มเทความรักในพระศาสดามากเหลือเกิน พระศาสดากลับมาขับไล่ ไม่สมกับที่ตัวทุ่มเท จะไปฆ่าตัวตาย เสียใจว่าพระพุทธเจ้าขับไล่เราแล้ว ตัดรอนเราแล้ว ต่อไปคงไม่มีโอกาสมาใกล้ชิดอย่างนี้อีกแล้ว บ่ายหน้าขึ้นไปบนยอดเขาจะกระโจนลงมา ตอนนี้พอเตรียมถลกจีวรจะกระโจน พระศาสดาก็ทรงเนรมิตส่งพระรูปออกไปปรากฏทันที ขณะนั้นพระองค์ประทับอยู่ในวัดไม่ได้ไปด้วยพระองค์เอง ส่งรูปเนรมิตถอดมโนกาย ถอดกายทิพย์ออกไปปรากฏที่หน้าวักกลิภิกษุ แสดงธรรมกับพระวักกลิว่า “โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นถึงจะเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม การที่จะเห็นเราตถาคตที่แท้จริง คน ๆ นั้นต้องเห็นธรรมะ จึงได้ชื่อว่าเห็นเรา”
พอแสดงเช่นนี้ วักกลิภิกษุ ซึ่งมีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว ก็ได้ตรัสรู้ ไม่ใช่กาลเวลานั้น วักกลิภิกขุนี่หมดอาลัยอาวรณ์ในพระศาสดาแล้ว พระศาสดาทรงทอดทิ้งเราแล้ว ก็ตัวความอาลัย เมื่อตัดความอาลัย ราคะที่ตัวมีอยู่ก็บรรเทาเบาบางลงไป มีแต่อารมณ์ของความโศกความเศร้า ถ้าจะมีก็เป็นโทสะนิดหน่อย อันเกิดจากความเป็นปฏิฆะ อยากจะทำลายชีวิตตัวเองให้พ้น ๆ ไปเสียตามที่ตัวผิดหวัง
วักกลิภิกขุ ถ้าจะว่าแล้วก็เป็นคนราคจริต ราคะอันนี้ พระศาสดาใช้อุบายไถ่ถอนโดยการขับไล่ออกไปแล้ว ถึงตรงนั้นใจว่างจากราคะเสียแล้ว จึงรองรับธรรมะจากที่พระศาสดาแสดงได้ง่าย พอรองรับธรรมะ ส่งกระแสใจไปตามธรรม ก็ได้บรรลุเป้นพระอรหันต์ในขณะนั้นเอง
นี่เป็นเรื่องของอำนาจของบุคคลิกภาพของพระพุทธเจ้า อันนี้ก็เป็นสุนทรียะข้อหนึ่งในส่วนพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้า
ในส่วนวิชาความรู้ เจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะสละโลก ก็บำเพ็ญเนกขัมมบารมี พระองค์ก็ได้ทรงศึกษาวิชาทางโลกอันสมควรแก่ขัตติยวงศ์ที่จะศึกษา ฉะนั้นใครจะมาท้วงติงว่า พระองค์หากินทางโลกไม่ได้แล้วนะซิ ถึงจะมายึดศาสนาเป็นอาชีพ ท้วงติงข้อนี้ ท้วงติงไม่ขึ้นเลย เพราะพระองค์ได้ทรงศึกษาวิชาทางโลกอันสมควรแก่ขัตติยสกุลแล้ว
ตอนที่แสวงหาโมกขธรรมก่อนที่จะ ตรัสรู้ก็ได้ใช้เวลาถึง ๖ ปี ในการทดสอบความจริงจากบรรดาลัทธิศาสนาต่าง ๆ ถ้าพระองค์เสด็จออกบวชปั๊บ เป้นพระพุทธเจ้าปุ๊บ อย่างนี้ไม่อัศจรรย์ ใคร ๆ ก็อาจตั้งข้อจ้วงจาบ ท้วงได้ว่า ที่พระองค์ตั้งศาสนาพุทธขึ้น ก็เพราไม่รู้ศาสนาอื่นมา ถ้ารู้ศาสนาอื่นมาดีแล้ว อาจจะไม่ตั้งศาสนาพุทธก็ได้ แต่นี่พระองค์ก็ศึกษาลัทธิอื่น ศาสนาอื่นเปรียบเทียบมาถึง ๖ ปีเต็มแล้ว จึงได้ประสบว่า ลัทธิในศาสนาเหล่านั้นไม่ใช่ความจริง จึงได้ค้นคว้าด้วยหนทางของพระองค์เอง ประดิษฐานศาสนาพุทธขึ้น
ตอนที่ประดิษฐานศาสนาพุทธขึ้นนี่ มีพวกสมณพราหมณ์บางเหล่าติเตียนว่า อะไร ยังหนุ่ม ๆ แน่น ๆ ปฏิญาณตัวเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างอาชีวกที่แลบลิ้นให้กับพระพุทธเจ้า ตอนตรัสรู้ใหม่ ๆ ก็เสด็จไปพาราณสีสวนทางกับอาชีวก อาชีวกนี่ถามว่า “ใครเป็นศาสดาท่าน ท่านบวชอุทิศให้ใคร” เห็นพระพุทธเจ้ารูปร่างเปล่งปลั่ง รูปร่างงดงาม ก็เข้าไปซักถาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เรานี่ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ใคร เราตรัสรู้เอง เราเป็นสัมมาสัมพุทธะ” อาชีวกแลบลิ้น บอกว่า “ก็ดีแล้ว ท่านเป็นอรหันต์ก็เป็นของท่าน ดีแล้ว สวนทางหลีกไป”
อาชีวกที่แลบลิ้น ไม่ใช่แลบลิ้นหลอก การแลบลิ้นนี่เป็นอาการคารวะ เป็นธรรมเนียมชาวธิเบตทุกวันนี้ บางเผ่ายังใช้กิริยาแลบลิ้นเป็นการแสดงความคารวะ ถ้าเราไปพบชาวธิเบตบางเผ่า เขาแลบลิ้นกับเรา อย่าหาว่าอ้ายนี่ทำเปรตหลอก ไม่ใช่ เขาแสดงความคารวะให้แก่เรา แลบลิ้นยาว ยิ่งแสดงความคารวะมาก ถ้าแลบลิ้นนิดหน่อย ควรวะน้อย ถ้านับถือมาก ๆ ต้องแลบลิ้นยาว ๆ ออกมา ยิ่งยาว ยิ่งแสดงความเคารพ ทำไมถึงว่าอย่างนั้น อาการแลบลิ้นเป็นการแสดงว่า ฉันไม่ลิ้นสองแฉกกับท่าน ปากกับใจตรงกัน ลิ้นฉันไม่มีสองแฉก พูดตรง คิดอย่างไร พูดอย่างนั้น แลบลิ้นให้เราดูว่าฉันเป็นคนตรงกับท่านนะ เพราะฉันนับถือ เคารพ ฉันไม่มีอะไรปกปิดท่าน เปิดเผยกับท่าน แลบลิ้นให้ดู นี่เป็นการแสดงความเคารพ
อาชีวกคนนี้ ถ้าจะถือธรรมเนียมอันนี้กระมัง เพราะว่า อินเดียภาคเหนือสมัยก่อนพุทธกาลก็ปรากฏว่า มีพวกธิเบตอพยพมาตั้งถิ่นฐานกันอยู่ปนเปกับพวกอารยัน เพราะฉะนั้นธรรมเนียมแลบลิ้นนี่ ไม่ใช่แลบลิ้นหลอก แต่เป็นการแสดงความเคารพ อาชีวกไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นพุทธะ แต่ในฐานะที่พระพุทธเจ้านั้นเป็นนักบวช ก่อนจะลาจาก แกก็แลบลิ้นให้เท่านั้นเอง แสดงเหมือนอย่างกับเรายกมือไหว้ ไม่ให้เสียกิริยา การจะนับถือหรือไม่นับถือนี่เป็นเรื่องของใจ แต่ด้านมารยาทแล้ว เรายกมือไหว้เพื่อไม่ให้เสียกิริยา เรื่องของเรื่องมีเพียงเท่านี้ อย่าไปแปลความหมายว่า อาชีวกนี่แลบลิ้นหลอก
ที่มา: วารสารธรรมจักษุ ฉบับที่ ๔ ปีที่ ๘๙ มกราคม ๒๕๔๘