พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๓ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระนามเดิมว่า กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๓๖๗ ทรงดำรงอยู่ในสิริราชสมบัติ ๒๗ พรรษา ได้เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุ ๖๔ พรรษา ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ นอกจากจะต้องทรงทำสงครามรบพุ่งกับพม่า, ญวน, เขมร, มลายู, อันเป็นฝ่ายรัฏฐาภิปาลโนบายแล้ว ว่าโดยพระราชอัธยาศัยนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ทรงเลื่อมใสศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ ใคร่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ทรงอุตสาหะวิระยะบำเพ็ญทศบารมี มี ทาน ศีล ฯลฯ เป็นต้น ตลอดพระชนมายุ จะกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ เป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งก็ได้ ด้วยทรงอนุวัตรตามจริยาแห่งพระโพธิสัตว์ บรรดาที่สร้างสมดึงสบารมีทั้งหลายในปางก่อน
ครั้งสมัยที่ยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างโรงทาน บริจาคข้าวปลาอาหาร และยาแก้โรคต่าง ๆ แก่บรรดายาจกวณิพกทั้งหลายทุกเวลา และให้ถวายบิณฑบาต ไทยทาน สมณบริขารแด่พระภิกษุสามเณรทุกวันไป นอกจากวัตถุทานบริจาคแล้ว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์พระธรรมกถึก แสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชน และให้อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในมคธภาษาบอกคัมภีร์แกภิกษุสามเณร อันเป็นส่วนธรรมทานอีกด้วย ครั้นถึงวันพระ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปล่อยสัตว์บรรดาที่ถูกกักขัง หรือจักถึงมรณฆาตให้ได้ซึ่งความอิสระเกษมสำราญ อันจัดเป็นส่วนอภัยทาน และทรงแจกเงินแก่ผู้เฒ่าผู้แก่คนยากจนคนละเฟื้องหนึ่งเดือนละ ๘ ครั้ง
เมื่อเสด็จเสวยราชสมบัติแล้ว ก็ยิ่งทรงฝักใฝ่ในพระราชกุศลมากขึ้น มีพระบรมราชโองการให้สร้างเก๋งโรงทานขึ้นใหม่ที่ริมกำแพงพระราชวังด้านริมแม่น้ำ ทรงบำเพ็ญกุศลกิจมุ่งพระโพธิญาณยิ่ง ๆ ขึ้นไป และเมื่อทรงสดับข่าวว่าประเทศจีนมีผู้คนอดอยากแร้นแค้นมากนัก ด้วยต้องผจญอุทกภัยบ้าง, ฉาตกภัยบ้าง, ยุทธภัยบ้างเนือง ๆ จึงเมื่อถึงฤดูเรือลูกค้าวาณิชจะออกไป พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ก็ทรงพระราชทานข้าวมอบให้สำเภาจีนที่มาค้า ณ กรุงเทพฯ ลำละ ๕๐ ถังบ้าง ลำละเกวียนบ้าง พากันออกไปแจกจ่ายบรรเทาทุกข์แก่บรรดาคนจีนที่อดอยากเหล่านั้นเป็นนิจนิรันดร
พระราชกิจที่ทรงโปรดมากที่สุด ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ก็คือการสถาปนาปฏิสังขรณ์พระอารามต่าง ๆ ทั้งในกรุงและนอกกรุง พระอารามใดที่เก่าแก่ ชำรุดทรุดโทรม ก็ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ปฏิสังขรณ์ใหม่ พระอารามใดที่เจ้านายข้าราชการหรือราษฎรผู้เป็นเจ้าของจัดสร้างอยู่ เมื่อทรงทราบก็ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ร่วมสมทบด้วย บางพระอาราม เจ้าของสร้างมิทันแล้ว ด่วนมรณะเสียก่อน หรือว่าหมดกำลังจะสร้างต่อไปด้วยใหญ่โตนัด ทรงทราบก็ทรงรับสถาปนาก่อสร้างต่อให้จนสำเร็จ แต่ก่อนกุฏิสงฆ์ตามวัดมักจะสร้างด้วยไม้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นตึก ก่ออิฐถือปูนเสียเพื่อให้ถาวร ทรงสถาปนาปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ, พระวิหาร, พระเจดีย์, พระพุทธปฏิมาให้งดงามแล้วไปด้วยศิลป์วิจิตรกรรม ประเทศไทยเราในปัจจุบันนี้ มีพระอารามหลวงใหญ่ ๆ เช่นวัดพระเชตุพนฯ อันอุดมด้วยศิลปะงดงาม อวดชาวต่างประเทศได้นั้น ส่วนมากเป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมขึ้น เจ้านายข้าราชการใด หากได้สถาปนาพระอารมก็เป็นที่โปรดปรานยิ่งนัก
พระอารามอื่น ๆ ที่ทรงสร้างจะของดไม่กล่าว จะกล่าวแต่พระอารามใหญ่ ๆ ที่สวยงามสัก ๒ อารม คือ วัดเทพธิดา และ วัดราชนัดดา ซึ่งเป็นอารามที่สร้างด้วยความประณีตในด้านศิลปะ แม้ฝรั่งแขกเมืองก็สรรเสริญ แต่มาในปัจจุบันนี้ สภาพกลับกลายเป็นวัดที่ถูกปล่อยให้ทรุดโทรมผุพังไปตามยถากรรม บริเวณวัดซึ่งครั้งหนึ่งเคยร่มรื่น ก็เป็นสภาพที่รกร้างด้วยหญ้าและสกปรกไปเสียแล้ว
ปูชนียสถานสำคัญ ๆ อันควรกล่าวถึง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงสถาปนาและซ่อมแซม มีอาทิเช่น มณฑปพระพุทธบาท วิหารพระพุทธไสยาสน์ ณ วัดพระเชตุพน องค์พระพุทธไสยาสน์ยาว ๙๐ ศอก เป็นพระพุทธไสยาสน์ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และทรงสถาปนาพระมหาเจดีย์ ๒ องค์ สูง ๑ เส้น ๒ ศอก ทรงสถาปนาวัดพระโต เสาชิงช้า ซึ่งสร้างค้างมาแต่รัชกาลที่ ๒ ให้สำเร็จ มีพระอุโบสถ, พระวิหาร และพระระเบียง ตลอดจนกุฏิสงฆ์ จนแล้วเสร็จ พระราชทานนามว่า วัดสุทัศน์เทพวราราม แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพิพัฒน์รัตนราชโกษา เป็นแม่กองสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่ ณ วัดสระเกศ แต่ไม่สำเร็จเพราะดินทรุด ทรงสร้างพระวิหารประดิษฐานพระพุทธปฏิมาซึ่งเชิญมาแต่พิษณุโลก สูง ๒๔ ศอก ๔ นิ้ว มีนามว่า พระอัฏฐารสฯ เป็นต้น พร้อมทั้งกุฏิสงฆ์ด้วย พระปรางค์ใหญ่วัดอรุณราชวราราม ของเดิมสูงเพียง ๘ วา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงสถาปนาก่อสูงขึ้นไปอีกเป็น ๓๕ วา (รวมสูง ๑ เส้น ๑๓ วา ๑ ศอก ๑ คืบ ๑ นิ้ว) เป็นพระมหาเจดีย์เชิดชูเกียรติแห่งประเทศ จนตราบเท่าปัจจุบัน (เดี๋ยวนี้ไม่ได้รับการบูรณะอย่างไร ปล่อยให้ทรุดโทรมเป็นที่น่าอนาถ) เจ้าพระยานิกรบดินทร์สร้างวัดกัลยาณมิตร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ก็ทรงสมทบช่วย โปรดให้สร้างวิหารใหญ่ ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ถวายพระนามว่า พระพุทธไตรรัตนนายก ในตำนานว่าด้วยวัตถุสถานที่ทรงสร้างว่า รวมจำนวนได้ ๗๓ วัด (รวมทั้งส่วนที่ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ด้วย)
ในแผ่นดินของพระองค์ท่าน การศึกษาปริยัติธรรมรุ่งเรืองมาก ภิกษุสามเณรสอบไล่ได้เปรียญปีละมาก ๆ รูปใดเป็นเปรียญและพระเปรียญที่ได้ดำรงสมณศักดิ์ ก็สามารถโปรดบิดามารดาได้ในชาตินี้ คือหากโยมต้องตกระกำลำบาก จะต้องเป็นไพร่หลวงไพร่สม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ พระราชทานการยกเว้นให้ในฐานะเป็นโยมสงฆ์ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎฯ (รัชกาลที่ ๔) ซึ่งทรงผนวชอยู่ก็ปรากฏว่าทรงเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก และทรงตั้งนิกายธรรมยุตขึ้น
ข้างฝ่ายการติดต่อทางศาสนสัมพันธ์กับต่างประเทศ ซึ่งในยุคนั้น มีประเทศลังกา ปรากฏว่าในปี พ.ศ. ๒๓๘๕ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงส่งพระเถระไทยไปสืบพระศาสนาและสอบทานคัมภีร์ตลอดจนอัญเชิญคัมภีร์ที่ขาดเหลือมาเพิ่มเติม พระที่ไปในครั้งนั้น มี ๕ รูป โดยสารเรือกำปั่นหลวงชื่อจินดาดวงแก้ว ไปอยู่ ๑ ปี จึงกลับ ได้ยืมคัมภีร์จากลังกามาราว ๔๐ คัมภีร์ อีกคราวหนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๓๘๗ ทรงจัดส่งคณะจาริกไปลังกาอีกคณะหนึ่งประกอบด้วยภิกษุ ๖ รูป สามเณร ๑ อัญเชิญคัมภีร์ที่ยืมมาไปส่งคืน คณะนี้ได้กลับมาภายในปีนั้น พร้อมด้วยยืมคัมภีร์มาอีก ๓๐ คัมภีร์ ครั้งนี้มีพระเณรคฤหัสถ์ชาวลังกาติดตามมาด้วยประมาณ ๔๐ คนเศษ
ในพระราชพงศาวดารผู้เขียนได้บันทึกถึงพระราชจริยาวัตรตอนหนึ่งว่า ละครผู้หญิงก็ไม่ได้ทรง ทรงแต่พระราชกุศลและการแผ่นดิน ซึ่งทำให้เราเข้าใจในพระราชอัธยาศัยของกษัตริย์พระองค์นี้โด้ซาบซึ้งตลอด
เมื่อประชวรหนักใกล้สวรรคต ก็ยังทรงใฝ่ในพระราชกุศลกิจมิวายเว้น โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าอรรณพ เบิกพระราชทรัพย์ถวายเป็นจตุปัจจัยแด่พระภิกษุสามเณร แต่บรรดาที่ได้รับนิตยภัตทั้งในกรุงและนอกกรุง รวมจำนวน ๗,๓๕๙ รูป สิ้นพระราชทรัพย์ไป ๑,๘๓๙ ชั่ง ๑๕ ตำลึง โปรดเกล้าฯ ให้แจกเงินแก่ราษฎรวันละหมื่นบาททุกวัน ทรงอาลัยในการพระราชกุศลอื่น ๆ ถึงกับตรัสฝากฝังไว้ว่า การงานสิ่งใดของเขา (ฝรั่ง) ที่คิด ควรจะเรียนเอาไว้ได้ ก็ให้เอาอย่างเลียนเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว ทุกวันนี้คิดสละห่วงใหญ่ให้หมด อาลัยอยู่แต่วัด สร้างไว้ใหญ่โตหลายวัด ที่ยังค้างอยู่ก็มี ถ้าชำรุดทรุดโทรมไป จะไม่มีผู้ช่วยทะนุบำรุง เงินในพระคลังที่เหลือจับจ่ายใช้ราชการแผ่นดินมีอยู่ ๔ หมื่นชั่ง ขอสัก ๑ หมื่นเถิด ถ้าผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดินแล้ว ให้ช่วยบอกแก่เขา ขอเงินรายนี้ให้ช่วยทะนุบำรุงวัดที่ชำรุดและการวัดที่ยังค้างอยู่นั้นเสียให้แล้วด้วย
ครั้นมาถึงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ ก็เสด็จสวรรคต พุทธอาณาจักรสิ้นมหากษัตราธิราชผู้เป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภกอย่างแท้จริงไปพระองค์หนึ่ง เช่นเดียวกับอดีตมหาราชแห่งราชวงศ์ ผู้ทรงเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภกอย่างแท้จริงทั้งหลาย
ที่มา : นิตยสาร ธรรมจักษุ ปีที่ ๘๒ ฉบับที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๑