โรคต้อหิน...ภัยร้ายที่อาจใกล้ตัวคุณ
นพ.กัณวีธ์ บุญชื่นชม
นพ.ธนธรณ์ อนุตรอังกูร
อ.พญ.ภาวสุทธิ์ สุภาสัย
ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
โรคต้อหินคืออะไร
โรคต้อหิน คือ โรคที่เซลล์ประสาทตาถูกทำลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้เกิดการสูญเสียลานสายตาในลักษณะลานสายตาที่แคบลงเรื่อย ๆ และเมื่อสูญเสียลานสายตาส่วนกลางแล้วอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ ต้อหินเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้คือความดันลูกตา ซึ่งความดันลูกตาที่สูงคือมากกว่า 21 มิลลิเมตรปรอท ดังนั้นการตรวจวัดความดันลูกตาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
โรคต้อหินสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ ต้อหินชนิดมุมเปิด และต้อหินชนิดมุมปิด
ผู้ป่วยโรคต้อหินมีจะอาการอย่างไรบ้าง
ในผู้ป่วยหลายคน มักไม่มีอาการ จะเป็นการตรวจพบโดยบังเอิญ อาจมีอาการคือขอบเขตการมองเห็นภาพลดลงอย่างช้า ๆ หรือมีอาการตามัวซึ่งมักจะเป็นระยะท้ายของโรคแล้ว แต่ในบางกรณี เช่น ต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัวขึ้นมาทันทีได้
ปัจจัยเสี่ยงของโรคต้อหินมีอะไร ใครบ้างที่ควรมาตรวจคัดกรอง
ปัจจัยเสี่ยงของโรคต้อหินประกอบด้วยหลายปัจจัย เช่น อายุมากกว่า 40 ปี ความดันลูกตาสูงมากกว่า 21 มิลลิเมตรปรอท มีญาติสายตรงเป็นโรคต้อหิน มีประวัติการใช้ยาสเตียรอยด์ มีสายตาสั้นมากหรือสายตายาวมาก เคยประสบอุบัติเหตุต่อดวงตามาก่อน เป็นต้น ดังนั้นผู้ที่มีความเสี่ยงดังกล่าวควรได้รับการตรวจคัดกรอง
โรคต้อหินสามารถรักษาได้หรือไม่ และมีวิธีการรักษาอย่างไร
โรคต้อหินสามารถรักษาได้ แต่ต้องอาศัยการรักษาและตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยจุดประสงค์ของการรักษา คือ เพื่อรักษาระดับลานสายตาของผู้ป่วยให้คงไว้หรือสูญเสียน้อยที่สุด ซึ่งหากมีการสูญเสียลานสายตามากขึ้น อาจมีผลต่อระดับการมองเห็นและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ในอนาคต ซึ่งแม้จะได้รับการรักษาแล้ว ก็ไม่สามารถจะทำให้ลานสายตาหรือการมองเห็นที่เสียไปแล้วกลับคืนมาได้ แต่หากได้รับการรักษาที่รวดเร็วและเหมาะสม จะสามารถชะลอการสูญเสียลานสายตาและการมองเห็นได้
การรักษาโรคต้อหิน สามารถแบ่งเป็น 3 วิธี ได้แก่
1. การใช้ยาเพื่อลดความดันลูกตา เป็นการรักษาที่ใช้มากที่สุด ทั้งการใช้ยาหยอดตาและยารับประทาน โดยส่วนมากแพทย์จะใช้ยาหยอดตาก่อน หากไม่สามารถควบคุมความดันลูกตาได้ จะทำการเปลี่ยนชนิดยา เพิ่มยาหยอดตาชนิดอื่น ๆ หรือเพิ่มยารับประทาน หลักการสำคัญของการรักษาด้วยยา คือ ความสม่ำเสมอและความถูกต้องในการใช้ยา อย่างไรก็ตาม อาจมีผู้ป่วยบางกลุ่มที่ไม่สามารถใช้ยาอย่างสม่ำเสมอได้ เนื่องจากมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น เคืองตา ตาแดง เป็นต้น
ในปัจจุบัน ยังไม่มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าอาหารเสริมสามารถช่วยควบคุมความดันลูกตาได้
2. การใช้เลเซอร์ มีหลายวิธี เช่น
- การยิงเลเซอร์เจาะรูที่ม่านตา ในผู้ป่วยต้อหินชนิดมุมปิด เพื่อช่วยเพิ่มการไหลของน้ำในช่องหน้าม่านตาที่ถูกขังอยู่บริเวณหลังม่านตามายังบริเวณหน้าม่านตาได้มากขึ้น
- การยิงเลเซอร์บริเวณม่านตาเพื่อเปิดมุมตา ในผู้ป่วยต้อหินชนิดมุมปิด
- การยิงเลเซอร์เพิ่มการระบายน้ำในลูกตา ในผู้ป่วยต้อหินชนิดมุมเปิด
ในปัจจุบัน เริ่มมีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้เลเซอร์ในการรักษาผู้ป่วยต้อหินเป็นขั้นตอนแรก อย่างไรก็ตาม อาจมีผู้ป่วยบางกลุ่มไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยการใช้เลเซอร์ และต้องใช้ยาหรือได้รับการผ่าตัด
3. การผ่าตัด เป็นวิธีการรักษาที่มักจะเลือกเป็นลำดับสุดท้าย โดยมี 2 ลักษณะด้วยกัน คือการผ่าตัดแบบเจาะรูและการผ่าตัดแบบใส่ท่อระบายน้ำในช่องหน้าม่านตา เพื่อระบายน้ำในช่องหน้าม่านตามาอยู่ใต้บริเวณเยื่อบุตา โดยจะมีลักษณะคล้ายถุงน้ำและถูกดูดซึมกลับทางหลอดเลือด
การผ่าตัดระบายน้ำในช่องหน้าม่านตา สามารถลดความดันได้มาก อย่างไรก็ตาม อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดได้ เช่น ตาติดเชื้อ เลือดออก สูญเสียการมองเห็น หรือในผู้ป่วยบางรายอาจมีพังผืดเกิดขึ้นที่บริเวณเยื่อบุตา ทำให้ระบายน้ำได้ไม่ดีจนไม่สามารถระบายน้ำได้ในที่สุด ดังนั้นผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดจึงจำเป็นต้องมารับการตรวจติดตามการรักษาในระยะยาว เพื่อประเมินการเกิดภาวะแทรกซ้อน และการระบายน้ำช่องหน้าม่านตา
โรคต้อหินสามารถป้องกันได้หรือไม่
โรคต้อหิน หากถูกตรวจพบเร็วและได้รับการรักษาเร็ว จะสามารถช่วยชะลอการสูญเสียลานสายตาและการมองเห็นได้ ทำให้ผู้ป่วยยังคงคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนั้นในคนที่มีความเสี่ยง หรือแม้แต่คนทั่วไป ควรมารับการตรวจตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้ตรวจเจอความผิดปกติก่อนที่จะสูญเสียการมองเห็น