ลูกของฉันน้ำตาเอ่อ เป็นอันตรายไหมนะ ?
พญ.มณสิชา สินธพอาชากุล
นพ.สินชัย วงศ์พิเชฐกุล
อ.พญ.พัฐสุดา ธาริยะ
ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
เมื่อพูดถึงน้ำตาเอ่อ เราสามารถแบ่งสาเหตุออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน
1. สร้างน้ำตามากขึ้น
2. ระบายน้ำตาไม่ได้
โรคในกลุ่มที่มีการสร้างน้ำตามากขึ้น เช่น การอักเสบของเยื่อบุตา ระคายเคืองจากตาแดง ตาแห้ง กระจกตาถลอก ก้อนในตา ส่วนโรคในกลุ่มที่น้ำตาไม่ระบาย เช่น ความผิดปกติของเปลือกตา ทางระบายน้ำตาอุดตัน
โรคทางระบายน้ำตาอุดตัน
เป็นโรคที่พบได้บ่อยถึงร้อยละ 20 ของเด็กทารก โดยเริ่มมีอาการตอนอายุประมาณ 1เดือน น้ำตาของลูกน้อยอาจเป็นมูกหรือน้ำใสก็ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการอุดตัน ทั้งนี้ อาการเหล่านี้สามารถหายไปได้เองเมื่อเด็กอายุ 1 ปี โดยระหว่างนี้ผู้ปกครองอาจช่วยนวดหัวตา และสังเกตอาการที่ต้องมาพบแพทย์
การนวดหัวตา (Crigler maneuver)
การนวดหัวตา ทำได้โดยกดบริเวณขอบเปลือกตาด้านในของตาข้างที่มีอาการและดันลงมาหาปีกจมูก ทำรอบละ 10 ครั้ง วันละ 3 รอบ วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยและอาจลดอาการน้ำตาเอ่อได้มากกว่าการสังเกตอาการเพียงอย่างเดียว
เมื่อไหร่ที่ต้องพบแพทย์
ในเด็กทารก อาการน้ำตาไหลเป็นได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่สาเหตุที่ไม่รุนแรง ซึ่งมีอาการเพียงเล็กน้อย เพียงแค่รอดูอาการจะดีขึ้นเอง จนถึงสาเหตุที่รุนแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น อาการสำคัญที่คุณพ่อ คุณแม่มือใหม่สามารถประเมินได้ด้วยตัวเอง คือ
1. ตาแดง
2. ปวดตา
3. มีน้ำตาไหล ขี้ตาเป็นมูก ขี้ตาสีเขียว
4. ยังคงมีอาการหลังอายุ 1 ปี
หากมีอาการเหล่านี้ แนะนำให้พาลูกน้อยไปให้คุณหมอช่วยประเมินว่าอันตรายหรือไม่
รูปภาพแสดงวิธีการนวดหัวตา