ลักษณะความต่อเนื่องของการมองเห็นถูกค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 และนำมา ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่เรียกว่า Zoetrope และ Flipbook
- Zoetrope มีลักษณะเป็นทรงกระบอกหมุนบนแกนสมมาตรของตัวเองด้านในของทรงกระบอกโดยรอบเป็นลำดับของรูปวาดเขียน ซึ่งแต่ละรูปจะแตกต่างกับรูปที่อยู่ถัดไปไม่มาก ทรงกระบอกจะมีรองยาวตัดด้านข้างระหว่างภาพ ดังนั้นเมื่อ ทรงกระบอกถูกหมุน จะสามารถมองผ่านร่องยาวนั้นเข้าไปเห็นภาพบนผนังของทรงกระบอกด้านตรงกันข้ามได้ ขณะทรงกระบอกหมุนบนแกนนั้นจะแสดงลำดับของภาพต่าง ๆ ซึ่งจะให้เกิดภาพเคลื่อนไหว
ต่อมา "โทมัส อัลวา เอดิสัน" ได้พัฒนาการสร้างภาพเคลื่อนไหว โดยการถ่ายภาพนิ่งลงบนฟิล์ม แล้วใช้เครื่องฉายที่มีกำลังไฟสูง ๆ ส่องผ่านเพื่อให้เกิดภาพบนจอ ซึ่งต่อมาก็ได้พัฒนามาเป็นภาพยนตร์ที่เห็นกันในปัจจุบัน โดยพัฒนาความเร็วในการเลื่อนแผ่นฟิล์ม ให้มีความเร็วถึง 24 ภาพต่อวินาที การฉายภาพยนตร์นั้นเริ่มต้นกันด้วยฟิล์ม 8 ม.ม. ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาเป็น 16 ม.ม. จากนั้นก็ได้พัฒนาไปสู่ 35 ม.ม. ซึ่งเป็นระบบที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน จนกระทั่งมาถึงระบบใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า “Digital”
ปัจจุบันภาพเคลื่อนไหวสามารถสร้างขึ้นได้จากคอมพิวเตอร์ มีประโยชน์มากมายทั้งทางด้านบันเทิงและทางด้านการศึกษา การสร้างภาพเคลื่อนไหวใกล้เคียงความเป็นจริง ต้องอาศัยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้สร้างภาพเคลื่อนไหวนั้นต้องเป็นโปรแกรมเฉพาะ ซึ่งมีให้เลือกใช้งานจำนวนมาก โปรแกรม Flash จัดเป็นโปรแกรมสร้างภาพเคลื่อนไหวที่ได้รับความนิยมสูง
แอนิเมชั่น (Animation) หมายถึงการสร้างภาพเคลื่อนไหว โดยการฉายภาพนิ่งหลายๆภาพต่อเนื่องกันด้วยความเร็วสูง โดยหลักการแล้วไม่ว่าสร้างภาพหรือเฟรมด้วยวิธีใดก็ตามเมื่อนำภาพดังกล่าวมาฉายต่อกันด้วยความเร็วตั้งแต่ 16 เฟรม ต่อวินาทีขึ้นไป เราจะเห็นเหมือนว่าภาพดังกล่าวเคลื่อนไหวได้ต่อเนื่องกัน ทั้งนี้เนื่องจากการเห็นภาพติดตา
การสร้างผลงานด้านแอนิเมชั่นนั้น สามารถทำขึ้นได้ในหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของชิ้นงานที่เราทำขึ้นอยู่ในแบบใด จึงจะเข้ากับเทคนิคในการสร้างในรูปแบบต่างๆ โดยพื้นฐานแล้วเราแบ่งออกเป็น 3 อย่าง ได้แก่ Draw Animation, Model Animation, Computer Animation ซึ่งทั้งสามอย่างสามารถผลิตหรือสร้างผลงานแอนิเมชั่นออกมาแตกต่างกันดังนี้
1. Draw Animation เป็นการวาดภาพแต่ละภาพด้วยมือต่อเนื่องกันไปจนได้เป็นแอนิเมชั่น การสร้างแอนิเมชั่นเพียงไม่กี่วินาทีด้วยแอนิเมชั่นประเภทนี้ต้องใช้ภาพวาดหลายพันภาพ ทำให้ต้องใช้เวลาในการผลิตนาน และต้องใช้นักวาดแอนิเมชั่นจำนวนมาก ส่งผลให้ใช้ต้นทุนสูงด้วย ในการที่จะผลิตงานด้าน Draw Animation มีเทคนิคในการสร้างผลงานด้านแอนิเมชั่นได้หลากหลายรูปแบบอาทิเช่น Onion Skin เป็นเทคนิคของเซลแอนิเมชั่น โดยการวาดภาพจำลองการเคลื่อนที่ของวัตถุ อย่างต่อเนื่อง ในแต่ละเฟรมซ้อนกัน ทำให้มองเห็นลำดับในการแสดงภาพเคลื่อนไหวในแต่ละเฟรมได้ เอนิเมเตอร์จะวางภาพในแต่ละเฟรมซ้อนทับเฟรมก่อนหน้า ทำให้การเขียนภาพการเคลื่อนไหวที่ในเฟรมถัดไปทำได้ง่ายขึ้น รวมถึง Flip Book เป็นการแสดงภาพที่วาดลงบนแต่ละหน้าของสมุดทีละภาพเรียงกันไป โดยแต่ละหน้าของสมุดจะถูกเปิดต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว ทำให้มองเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว
2. Model Animation หรือ Stop Motion เป็นเทคนิคการปั้น หรือการสร้างโมเดลโดยใช้ดินน้ำมัน หรือวัสดุใดๆก็ตามในการสร้าง และทำการขยับทีละนิดเพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหว และใช้กล้องบันทึกภาพทุกขณะที่ทำการขยับหรือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของวัตถุ จึงทำให้เกิดเป็นภาพเคลื่อนไหว แต่ต้องใช้ความละเอียดมาก ภาพจึงจะออกมาดูเหมือนจริง รวมถึงต้องมีการกำหนดจังหวะของแต่ละฉากอย่างชัดเจนไว้ก่อนหน้าที่จะเริ่มทำการถ่ายทำ
3. Computer Animation เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยสร้างแอนิเมชั่นโดยใช้โปรแกรมต่างๆ เช่น Maya, 3D MAX ,
Adobe After Effect หรือ Flash โดยจะใช้เครื่องมือที่โปรแกรมได้จัดเตรียมไว้ เช่นการปรับผิวของวัตถุ และรอยหยักตามขอบภาพ
นอกจากนี้ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่สามารถถ่ายทำได้จริงให้เกิดขึ้นได้ด้วย อ าทิเช่น เทคนิค Rotoscope เป็นเทคนิค
ในการสร้างแอนิเมชั่นในยุคแรก โดยแอนิเมเตอร์ใช้เพื่อลอกลายเส้นของวัตถุในแต่ละเฟรมของแอนิเมชั่น
แล้วนำไปสร้างโครงร่างที่เรียกว่า Matte โดยลายเส้นของวัตถุจะถูกแทนที่ด้วยเส้นในลักษณะต่างๆ ทำให้ได้ภาพที่แตกต่างไปจากเดิม
4. เทคนิค RACK MOTION เป็นเทคนิคการซ้อนภาพ หรือเอฟเฟคบนจุดแท็ก(Track) ที่มีการวางแผนงานก่อนการถ่ายทำขึ้น ซึ่งจุดแท็กจะทำหน้าที่บอกถึงตำแหน่งระหว่างภาพหรือวิดีโอ กับสิ่งที่เราเพิ่มเข้าไปในตัวงาน ซึ่งด้วยเทคนิคนี้ เราสามารถสร้างงานในหลากหลายรูปแบบ และยังทำให้ภาพที่ออกมาดูสมจริงขึ้นเป็นอย่างมาก รวมถึงการสร้างผลงานแอนิเมชั่นจากคอมพิวเตอร์ทั้งหมดซึ่งจะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการถ่ายทำ รวมถึงสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ตามที่วางแผนไว้ โดยอาจใช้เวลาในการทำมากหรือน้อยกว่าการถ่ายทำจริง ขึ้นอยู่กับความยากง่าย ของชิ้นงาน เช่น ก้านกล้วย ยักษ์ หรืออย่างผลงานต่างประเทศอย่าง Madagascar, Toys story เป็นต้น
1. ดึงดูดความสนใจ (Attention Getter / Impact)
เนื่องจากคนเราเรียนรู้จากการฟังได้เพียง 10เปอร์เซ็นต์ แต่เราเรียนรู้จากการมองเห็นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ดวงตาของคนเราจะพยายามมองวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว จะติดตามการเคลื่อนไหวนั้น ๆ ทำให้เราสามารถจดจำสิ่งที่เราเห็นได้อย่างยาวนาน
2. การจำลองสถานการณ์ (Simulation)
การใช้ภาพเคลื่อนไหวในการสื่อสาร จะได้ผลมากเมื่อนำมาใช้ในการจำลองสถานการณ์ เช่น การทดลอง หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะเหตุการณ์ร้ายแรงหรือสิ่งที่ไม่ควรมองด้วยภาพจริง เช่น ด้านกายวิภาคศาสตร์ หรือสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
3. เพิ่มความรวดเร็วในการสร้างสื่อ (Increased speed of production)
ภาพเคลื่อนไหวสามารถอธิบายเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดี ไม่จำเป็นต้องสร้างสื่ออธิบายเหตุการณ์หรือเรื่องราวนั้น ๆ มากมายนัก ก็สามารถเข้าใจได้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องสร้างสื่อมากก็สามารถอธิบายเรื่องราวได้ทำให้การสร้างสื่อทำได้รวดเร็วขึ้น
4. มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน (Interactivities)
สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้
ดึงดูดความสนใจ โดยใช้เทคนิคการนำเสนอด้วยภาพสวยงามและเหมือนจริง
ผู้เรียนมีการโต้ตอบ มีโอกาสเลือกตัดสินใจและได้รับการเสริมแรงจากการได้รับข้อมูลย้อนกลับทันที
ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามเนื้อหาที่สนใจ และความสามารถของตนเอง บทเรียนมีความยืดหยุ่น สามารถเรียนซ้ำได้ตามที่ต้องการ
สร้างความพึงพอใจแก่ผู้เรียน เกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียน
5. ง่ายต่อการแก้ไข (Ease of revision)
การสร้างภาพเคลื่อนไหว ต้องมีการจัดทำข้อมูลต้นฉบับ ในรูปแบบต่าง ๆ และสามารถนำมาปรับปรุงหรือแก้ไขได้ แล้วสร้างเป็นภาพเคลื่อน ไหวใหม่ได้สะดวกและรวดเร็ว
คำชี้แจง ให้นักเรียนสรุป เนื้อหาแนวคิดของการสร้างภาพ Animation เรื่อง รูปแบบ ข้อดีของ Animation แล้วสรุป เป็น my map ลงสมุดถ่ายภาพส่งด้านล่าง
วิธีการสร้าง Animation
ตัวอย่าง Draw Animation
ภาระงาน
ให้นักเรียนจับคู่สร้าง Draw animation มากลุ่มละ 1 เรื่อง กำหนดความยาว 5 นาทีขึ้นไป (20 คะแนน)