H.pylori
ต้องลงทุนแค่ไหนเพื่อให้ได้ความรู้ใหม่
ต้องลงทุนแค่ไหนเพื่อให้ได้ความรู้ใหม่
อาการปวดจุกเสียดท้อง แน่นท้อง เป็นอาการที่พบได้บ่อย ๆ ในคนทั่วไป ไม่เลือกชั้นวรรณะ หรือเพศ โรคกระเพาะเป็นโรคธรรมดาสามัญที่ใคร ๆ ก็รู้จักและดูเหมือนจะไม่ได้ร้ายแรงอะไรนักในความรู้สึกของผู้คนส่วนใหญ่ แต่ทำไมการค้นพบว่าโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Helicobacter pylori ถึงได้มีความสำคัญขนาดที่ทำให้ผู้ค้นพบนี้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์ในปี 2005 ทั้ง ๆ ที่สำหรับคนในศตวรรษที่ 20 นั้นการค้นพบเชื้อก่อโรคไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอีกต่อไป
ทำไมเราจึงเป็นโรคกระเพาะ
แต่ไหนแต่ไร เป็นที่เชื่อกันว่าการเกิดโรคกระเพาะนั้นมักจะเป็นผลมาจากการกินอาหารรสจัด กินอาหารไม่ตรงเวลา และความเครียด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดการหลั่งกรดมากผิดปกติและทำให้เกิดการอักเสบหรือเป็นแผลในกระเพาะอาหารในที่สุด นำมาสู่การรักษาที่มุ่งเน้นที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยาลดกรด ซึ่งก็ได้ผลในผู้ป่วยส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ทุกคน และแพทย์รวมทั้งคนทั่วไปก็เชื่อในหลักการนี้มาตลอด
จนกระทั่งในปีค.ศ.1982 Dr.Barry Marshall และ Dr.Robin Warren แพทย์ชาวออสเตรเลีย ได้ตีพิมพ์เผยแพร่การค้นพบที่ท้าทายความเชื่อเกี่ยวกับกลไกการเกิดโรคกระเพาะในวงการแพทย์เป็นครั้งแรก เขาพบว่าในเนื้อเยื่อของคนที่มีอาการของโรคกระเพาะนั้นมีเชื้อแบคทีเรียรูปร่างเป็นแท่งรี ๆ ยาว ๆ ย้อมติดสีแดง ๆ ที่ตอนนั้นเขาเรียกมันว่า pyloric campyrobacter อยู่ด้วย ในขณะที่แทบไม่พบเชื้อนี้เลยในชิ้นเนื้อของคนที่ไม่ได้เป็นโรคกระเพาะ เขาพยายามจะเสนอแนวคิดว่าจริง ๆ แล้วโรคกระเพาะอาจจะไม่ได้เกิดจากการกิน การใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสมเพียงอย่างเดียว แต่น่าจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียก็ได้
แต่การค้นพบนี้ยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์จนเป็นที่ยอมรับได้ว่าโรคกระเพาะนั้นเกิดจากการติดเชื้อ จนนำไปสู่การทดลองแบบทุ่มสุดตัวของนายแพทย์มาร์แชลในอีก 3 ปีต่อมา
การทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าเชื้อก่อโรคได้จริงตาม Koch’s Postulation
Dr.Robert Koch หนึ่งในผู้ที่ส่วนสำคัญของแนวคิด Germ Theory ได้เสนอข้อกำหนดเบื้องต้นตั้งแต่มื่อ 200 ปีก่อน และข้อกำหนดนี้ยังคงถูกใช้มาจนถึงปัจจุบัน คือการที่จะพิสูจน์ว่าเชื้อโรคนั้นทำให้เกิดโรคจริง 4 ข้อคือ
ต้องพบเชื้อโรคในคนที่ป่วย
ต้องสามารถแยกเชื้อออกมาจากร่างกายของคนที่ป่วยและนำมาเพาะเชื้อนอกร่างกายของคนได้
เมื่อนำเชื้อที่เพาะได้นั้นเข้าสู่ร่างกายของคนปกติ ต้องทำให้คนนั้นเป็นโรคได้
ต้องพบเชื้อเดียวกันนี้ในรอยโรคของคนที่ถูกทำให้เป็นโรค
ดังนั้นเมื่อนายแพทย์มาร์แชลและนายแพทย์วอเรนเสนอว่าโรคกระเพาะนั้นเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อโรค pyloric campyrobacter ซึ่งปัจจุบันเรียกชื่อว่า H.pylori โดยในการตีพิมพ์ผลงานวิจัยก่อนหน้านี้เขาสามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเชื้อนี้มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดข้อที่ 1 และ 2 ของ Koch แล้ว นั่นคือการพบเชื้อนี้ในคนที่เป็นโรคและสามารถเพาะเชื้อนี้จากเนื้อเยื่อกระเพาะของคนที่ป่วยได้ ดังนั้นเพื่อพิสูจน์ให้ได้ครบตามข้อกำหนดอีก 2 ข้อที่เหลือ คุณหมอมาร์แชลจึงยอมทำการทดลองด้วยการกลืนเชื้อลงไปเพื่อพิสูจน์ว่า H.pylori ทำให้เกิดโรคกระเพาะอักเสบได้จริง
คุณหมอมาร์แชล เริ่มต้นด้วยการส่องกล้องและตัดชิ้นเนื้อบริเวณกระเพาะของตนเอง ซึ่งพบว่าปกติและไม่มีเชื้อ H.pylori ระหว่างนั้นมีการนำเชื้อจากชิ้นเนื้อของผู้ป่วยที่เป็นกระเพาะอักเสบออกมาเพาะในช่องท้องของหนูทดลองแล้วนำมาแช่แข็งไว้เตรียมไว้
การทดลองนี้พิสูจน์ว่า H.pylori เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอักเสบจริง ครบทั้ง 4 ข้อกำหนดของ Koch
เพื่อการพิสจน์นี้ คุณหมอมาร์แชลต้องถูกส่องกล้องเพื่อตัดชิ้นเนิ้อไปทั้งหมด 3 ครั้ง นอกเหนือไปจากการยอมทรมานจากอาการป่วย (แม้จะไม่รุนแรงมากและรักษาหายดี) อีกด้วย
1 เดือนต่อมาเมื่อกะว่าแผลที่เกิดจากการตัดชื้นเนื้อหายแล้ว คุณหมอมาร์แชลก็กลืนเชื้อที่เก็บแช่แข็งไว้แล้วนำกลับมาทำให้เป็นเชื้อมีชีวิตอีกครั้งเข้าไป หลังจากนั้นก็มีการบันทึกอาการของตนเองอย่างละเอียด หลังจากกลืนเชื้อเข้าไปในช่วงสัปดาห์ที่ 2 เขาเริ่มมีอาการผิดปกติคือมีอาการปั่นป่วนในท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน เพื่อนร่วมงานก็สังเกตว่าคุณหมอมีอาการอ่อนเพลียเจ็บป่วยชัดเจน จึงได้ทำการส่องกล้องดูกระเพาะของคุณหมอมาร์แชลอีกครั้งในวันที่ 10 หลังจากกลืนเชื้อโรคเข้าไปเพื่อดูลักษณะเนื้อเยื่อว่ามีอาการอักเสบหรือไม่ ก็พบว่าผลการตรวจชิ้นเนื้อมีการอักเสบและพบเชื้อ H.pylori อยู่จริง และเมื่อนำไปเพาะเชื้อก็พบว่าเป็นเชื้อ H.pylori แบบเดียวกับที่กลืนลงไป
42 ปีของการค้นพบที่สำคัญ
ผลจากการคันพบนี้ นำไปสู่การยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับงานวิจัยเพื่อศึกษาเกี่ยวกับเชื้อ H.pylori และกลไกการเกิดโรคในแง่มุมต่าง ๆ มากมายถึงกว่า 20,000 ชิ้นในเวลาต่อมา มีการก่อตั้งวารสารที่ชื่อว่า Helicobacter เพื่อตีพิมพ์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเชื้อนี้โดยเฉพาะ นำไปสู่การรักษาโรคกระเพาะที่ต้องให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อร่วมด้วยนอกเหนือจากการให้ยาลดกรดแบบเดิม ๆ ส่งผลให้ผู้ป่วยจำนวนมากหายขาดจากโรคนี้ได้ รวมถึงการค้นพบว่าเชื้อนี้มีส่วนทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารด้วย
23 ปีหลังการตีพิมพ์การค้นพบครั้งแรกในปี 1982 คุณหมอมาร์แชลและวอเรนได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปีค.ศ.2005 จากการค้นพบนี้ซึ่งถือได้ว่าพลิกโฉมหน้าการรักษาโรคกระเพาะไปโดยสิ้นเชิง