ทุกวันนี้หากพูดถึงการฉีดวัคซีนคงไม่ใช่เรื่องแปลก ในช่วงที่มีโควิด 19 ระบาดเราสามารถผลิตวัคซีนได้ในเวลาไม่ถึง 1 ปี ซึ่งถือว่าเร็วมาก ๆ การฉีดวัคซีนได้เปลี่ยนชะตากรรมของมนุษย์ที่ต้องเสียชีวิตจากโรคระบาดครั้งละมาก ๆ ไปจนสิ้นเชิง แม้แต่ในสถานการณ์โควิด 19 เราก็ได้เห็นว่าวัคซีนมีบทบาทสำคัญในการยุติการระบาดของโรค เรื่องราวการต่อสู้ของมนุษย์กับโรคระบาดจนนำมาสู่การฉีดวัคซีนอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนั้นผ่านการสะสมความรู้อย่างยาวนานมานับพันปีเลยทีเดียว และจุดเริ่มต้นของวัคซีนก็มาจากการระบาดของโรคติดต่อที่เราเรียกกันว่าโรคฝีดาษ หรือ smallpox นั่นเอง
คนที่เกิดหลังปี 1979 คงไม่เคยเห็นคนที่ป่วยด้วยโรคนี้ เพราะปัจจุบันถือว่าเราได้กำจัดโรคนี้ให้หายขาดไปได้แล้ว แต่ในอดีตโรคฝีดาษเป็นปัญหาอย่างมากโดยเฉพาะช่วงศตวรรษที่ 15-19 ด้วยเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันเราสามารถตามหาร่องรอยของไวรัสโรคฝีดาษย้อนไปได้ตั้งแต่ยุคโบราณราว ๆ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล และมีการพบหลักฐานของโรคนี้ในมัมมี่จากอียิปต์ที่มีอายุราว ๆ 3000 ปี โรคฝีดาษมักจะมีการแพร่ระบาดจากการเดินทางไปมาหาสู่กันของมนุษย์ การระบาดของโรคฝีดาษในยุโรปเกิดจากนักรบครูเสดที่นำโรคร้ายนี้มาจากตะวันออกกลาง และในยุคศตวรรษที่ 15-16 เมื่อชาวยุโรปเริ่มออกเดินทางแสวงหาแผ่นดินใหม่และล่าอาณานิคมก็ได้นำโรคร้ายนี้แพร่ไปยังทวีปต่างๆ ทั่วโลก ฝีดาษเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อาณาจักรแอชเต็คและอินคาอันยิ่งใหญ่ล่มสลายไปได้ในเวลาไม่กี่เดือน กล่าวกันว่าทุก ๆ 10 คนที่ติดโรคจะมีคนตาย 3 คน คนที่รอดชีวิตจะมีแผลเป็นติดตัว ที่สำคัญคือโรคนี้ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ พระราชินีเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษก็เสียโฉมจากโรคร้ายนี้ คนสมัยนั้นเรียกโรคนี้ว่า variola ซึ่งมาจากภาษาลาตินที่แปลว่า รอยบนผิวหนัง (mark on skin) เนื่องจากคนที่ป่วยด้วยโรคนี้จะมีตุ่มหนองพุพองตามร่างกายที่เมื่อหายจะกลายเป็นแผลเป็นถาวร ส่วนชื่อ small pockes (pocke แปลว่าถุงหรือ sac) นำใช้เรียกโรคนี้ในช่วงศตวรรษที่ 15 เพื่อให้แตกต่างจากโรคซิฟิลิสที่เดิมเรียกว่า the great pockes ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุของโรคนี้เกิดจากอะไร
แม้คน 2500 ปีก่อนจะยังไม่รู้ว่าโรคฝีดาษเกิดจากอะไร แต่เป็นที่รู้กันว่าคนที่รอดชีวิตจะไม่ป่วยด้วยโรคนี้อีก จึงให้คนที่หายป่วยจากฝีดาษมาช่วยดูแลคนป่วยได้ การรักษาโรคในยุคนั้นคือการทำแผล กินสมุนไพร แต่การรักษาที่ดูจะได้ผลดีคือการนำเอาน้ำจากตุ่มหนองของคนที่ป่วยจากโรคฝีดาษมาให้คนที่ยังไม่ป่วยสูดดมเข้าไป หรือนำมาป้ายตามแขน ไม่ก็นำเข็มแหลม ๆ ที่ป้ายหนองแทงเข้าไปใต้ผิวหนังซึ่งจะทำให้คน ๆ นั้นป่วยด้วยอาการที่ไม่รุนแรงและมักจะไม่เสียชีวิต วิธีการนี้เรียกว่า variolation มีบันทึกการรักษาด้วยวิธีนี้ทั้งในจีน อาฟริกาและตะวันออกกลางตั้งแต่ยุคโบราณ แต่เพิ่งถูกนำมาใช้ในยุโรปในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 โดยเลดี้แมรี่ วอร์เล่ย์ มองตากู (Lady Mary Wortley Montague) ภรรยาทูตอังกฤษที่ประจำที่อิสตันบูลซึ่งเสียโฉมจากโรคฝีดาษ ซ้ำร้ายน้องชายยังเสียชีวิตจากโรคนี้ด้วย ได้เธอรับทราบว่าที่ตุรกีมีวิธีการป้องกันโรคฝีดาษด้วย variolation จึงได้ขอให้แพทย์ประจำสถานทูตที่ชื่อชาร์ลส์ เมทแลนด์ (Charles Maitland) ช่วยทำ variolation ให้กับลูกชายวัย 5 ขวบในปี 1716
และต่อมาในปี 1721 เมทแลนด์ได้ขอพระบรมราชานุญาตทำการทดลอง variolation กับนักโทษ 6 คนในคุก พบว่านักโทษทั้ง 6 ไม่มีใครติดเชื้อฝีดาษเลย เขาได้ทำการทดลองซ้ำในเด็กกำพร้าพบว่าได้ผลดีเช่นเดียวกัน ทำให้วิธีนี้ (ที่อังกฤษเรียกว่า innoculation) ได้รับการยอมรับมากขึ้นทั้งในอังกฤษและยุโรป ในยุโรปเองได้นำ variolation ไปใช้กับคนจำนวนมาก แม้จะพบว่ายังมีคนที่ติดเชื้อฝีดาษหลังทำ variolation แต่ก็นับว่าอัตราตายน้อยกว่าจากการติดเชื้อตามธรรมชาติหลายเท่า (คนส่วนหนึ่งเสียชีวิตจากโรคอื่น เช่น ซิฟิลิส วัณโรค ที่ติดมาระหว่างการทำ variolation) โดยในช่วงสงครามทั้งอังกฤษและอเมริกาได้ให้ทหราของตนเองทำ variolation เพื่อลดการติดโรคฝีดาษที่ทำให้ทหารส่วนหนึ่งเจ็บป่วยและเสียชีวิต
ในปี 1757 เด็กชาวอังกฤษได้รับการทำ variolation เป็นจำนวนนับพันคน หนึ่งในนั้นคือเด็กชายวัย 8 ปีที่ชื่อ Edward Jenner
เอ็ดเวิร์ดเกิดที่ชนบทของอังกฤษในเมืองชื่อ เบิร์กเลย์ (Berkeley) เขาเริ่มเข้ารับการฝึกฝนเป็นแพทย์ตั้งแต่อายุ 13 ปี (apprenticeship) กับสำนักแพทย์ในเมืองใกล้ ๆ บ้าน จนกระทั่งอายุ 21 ปีจึงเข้ามาเป็นลูกศิษย์ของนายแพทย์ชื่อดัง John Hunter แห่งโรงพยาบาล St. George's ในลอนดอน เมื่อสิ้นสุดการฝึกงานกับจอห์น ฮันเตอร์ เอ็ดเวิร์ดได้กลับไปทำงานเป็นแพทย์ที่บ้านเกิดในปี 1773
ในเวลานั้นก็ยังมีคนจำนวนมากได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคฝีดาษ จริง ๆ สมัยที่เขาใช้ชีวิตในชนบทนั้นก็เป็นที่รู้กันว่าผู้หญิงที่ทำหน้าที่รีดนมวัวที่เรียกกันว่า milkmaids นั้นมักจะไม่ติดเชื้อฝีดาษ เมื่อเป็นแพทย์เขาก็พบว่าหญิงรีดนมเหล่านั้นมักจะติดเชื้อฝีดาษวัวที่เรียกว่า cowpox ซึ่งอาการจะคล้ายกับฝีดาษคนแต่รุนแรงน้อยกว่า ในปี 1796 เขาจึงได้ทำการทดลองโดยปลายเข็มสะกิดน้ำจากตุ่มหนองที่มือหญิงรีดนมที่ติดเชื้อฝีดาษวัว แล้วนำมาแทงเข้าใต้ผิวหนังที่แขนของเด็กชายวัย 8 ขวบ พบว่าหลังฉีดเด็กมีแผลที่แขนกับอาการปวดเมื่อยนิดหน่อย ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นเขานำน้ำจากตุ่มหนองของคนไข้ที่เป็นฝีดาษมาฉีดด้วยวิธีเดิมแก่เด็กคนเดียวกัน พบว่าเด็กก็ไม่มีอาการของโรคฝีดาษเลย เอ็ดเวิร์ดเรียกวิธีนี้ว่า vaccination (vacca มาจากภาษาลาติน แปลว่าวัว ส่วน vaccinia เป็นภาษาลาตินของคำว่า cowpox) ซึ่งเขาสรุปว่าช่วยป้องกันโรคฝีดาษได้ (วิธีนี้ต่างจาก variolation ตรงที่เอาเชื้อของฝีดาษวัวมาฉีดแทนเชื้อฝีดาษคนแบบที่ทำใน variolation) และเขียนผลการทดลองส่งไปตีพิมพ์ที่ the Royal Society แต่ถูกปฏิเสธ เชาจึงกลับมาทำการทดลองเพิ่มเติม และตัดสินใจตีพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ ด้วยทุนตัวเองในปี 1798 ชื่อหนังสือว่า “Causes and Effects of the Variolae Vaccinae, a disease discovered in some of the western counties of England, particularly Gloucestershire and Known by the Name of Cow Pox”
หลังจากที่หนังสือตีพิมพ์ออกมาก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของเขา แต่เอ็ดเวิร์ดก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เขาลงทุนเดินทางไปทั่วอังกฤษเพื่อสำรวจและหาหลักฐานมาสนับสนุนสิ่งที่เขาเชื่อว่า คนที่ติดเชื้อ cowpox จะช่วยป้องกันโรคฝีดาษได้ทั้งจากการติดเชื้อตามธรรมชาติและการติดเชื้อจากการทำ variolation ซึ่งผลจากการสำรวจนี้ช่วยยืนยันสมมติฐานของเขาและทำให้ vaccination หรือการฉีดวัคซีนเป็นที่นิยมและทำกันอย่างแพร่หลายในอังกฤษ
ในปี 1800 การฉีดวัคซีนได้แพร่หลายไปถึงยุโรป มีการแจกจ่ายวัคซีนไปถึงอเมริกาโดยเบนจามิน วอเตอร์เฮ้าส์ (Benjamin Waterhouse) ได้รับวัคซีนจากเอ็ดเวิร์ดและพยายามโน้มน้าวให้ประธานาธิบดีสหรัฐในตอนนั้นคือโธมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) จัดการให้มีการฉีดวัคซีนจำนวนมากแก่ประชาชนทั่วประเทศ จนนำไปสู่การจัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (the National Vaccine Institute) ขึ้นในอเมริกา
ส่วนในอังกฤษเอง การฉีดวัคซีนไปรับการยอมรับอย่างเป็นทางการราว ๆ 6 ปีหลังจากการฉีดวัคซีนครั้งแรกของเอ็ดเวิร์ดคือในปี 1802 โดยรัฐสภาอังกฤษให้เงินสนับสนุนวัคซีนของเอ็ดเวิร์ดเป็นจำนวน 10,000 ปอนด์ แม้กระนั้นก็ยังคงมีทั้งคนที่ชื่นชมและคนที่ไม่เห็นด้วยกับเขา แต่เอ็ดเวิร์ดก็ไม่สนใจ ยังคงมุ่งมั่นอุทิศตัวกับการรณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดตลอดชีวิตที่เหลือของเขาเพราะเขาเชื่อว่าจะช่วยทำให้โรคนี้หายไปจากโลกได้
ในที่สุด 17 ปีหลังจากที่เอ็ดเวิร์ดเสียชีวิต ในปี 1840 อังกฤษได้ประกาศห้ามไม่ให้มีการทำ variolation อีกต่อไป แต่ให้ใช้การฉีดวัคซีนเป็นวิธีการป้องกันโรคฝีดาษเพียงวิธีเดียวแทน และสิ่งที่เอ็ดเวิร์ดเคยคาดการณ์ไว้เป็นจริงในเกือบ 200 ปีต่อมาเมื่อองค์การอนามัยโรคได้ประกาศว่าสามารถกำจัดโรคฝีดาษไปจากโลกได้อย่างสิ้นเชิงในปี 1980
โรคติดต่อในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ไม่ได้มีแค่ฝีดาษ โรคพิษสุนัขบ้าเองก็เป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากเป็นโรคที่รุนแรง ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะป่วยอย่างทุกข์ทรมานและเสียชีวิตในเวลาต่อมา เป็นเวลานานนับ 100 ปีหลังการฉีดวัคซีนครั้งแรกของเอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ยังไม่มีใครสามารถคิดค้นวิธีการป้องกันโรคระบาดหรือโรคติดต่ออื่น ๆ ได้อีกเลย
จนกระทั่งในปี 1881-1885 หลุยส์ ปาสเตอร์ผู้ซึ่งสนใจค้นคว้าเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า เขาตั้งสมมติฐานว่าอะไรบางอย่างในน้ำลายของคนหรือสัตว์ที่ป่วยด้วยโรคพิษสุนัขบ้าน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค (ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักไวรัส ไวรัสเพิ่งถูกค้นพบในปี 1892) โดยเขาได้แนวคิดจากวิธีของเอ็ดเวิร์ด จึงได้เริ่มทำการทดลองใช้ variolation ให้สัตว์ทดลองค่อย ๆ สัมผัสน้ำลายของสัตว์ป่วยทีละน้อย ๆ แต่ปรากฎว่าไม่ได้ผล เพราะโรคนี้มีความรุนแรงเกินไป แม้จะได้รับเชื้อเพียงเล็กน้อยสัตว์ก็มักจะป่วยตายไปก่อน เขาจึงทดลองใช้วิธีใหม่ สมัยนั้นเป็นที่รู้กันว่าคนที่ป่วยด้วยโรคพิษสุนัขบ้าจะมีอาการทางสมอง เขาจึงนำชิ้นส่วนสมองและไขสันหลังของกระต่ายที่ป่วยมาทำให้แห้ง แล้วใส่กลับเข้าไปในกระต่ายที่ยังแข็งแรง เมื่อกระต่ายตัวใหม่เริ่มป่วย เขาก็เอาชิ้นส่วนสมองของกระต่ายตัวใหม่มาผ่านกระบวนการเดิม ทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกระต่ายตัวหลัง ๆ ไม่ป่วย แม้ว่าจะสัมผัสน้ำลายของสัตว์ป่วยอื่น ๆ ก็ตาม เขาทำการทดลองวิธีนี้กับสัตว์เป็นเวลานานถึง 4 ปี ซึ่งได้ผลค่อนข้างดี แต่ยังไม่มีการทดลองในคน
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจวางเดิมพันครั้งสำคัญด้วยการทำลองในคน โดยกระบวนการที่สวนทางกับการทดลองขั้นต้น คือค่อย ๆ นำชิ้นส่วนสมองและไขสันหลังจากกระต่ายที่ป่วยน้อยที่สุดไปหามากที่สุดใส่เข้าไปในมนุษย์คนแรกที่ชื่อ Joseph Meister เด็กชายวัย 9 ปีที่ถูกสุนัขกัดมีบาดแผลฉกรรจ์ ในตอนนั้นแม่ของเด็กชายเกรงว่าลูกอาจจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้าจึงพาลูกชายมายังปารีสเพื่อของให้ปาสเตอร์ช่วย เนื่องจากได้ข่าวว่ามีการทดลองคิดค้นวิธีที่จะช่วยป้องกันโรคนี้อยู่ แต่ปาสเตอร์เองค่อนข้างลังเลใจในตอนแรก เพราะตัวเขาเองนั้นไม่ใช่แพทย์ และวิธีการของเขาแม้จะได้ผลในสัตว์แต่ยังไม่เคยทำในคนมาก่อน เขาจึงไปปรึกษาเพื่อนที่เป็นแพทย์ซึ่งในเวลานั้นคิดว่าไม่น่าเสียหายอะไร เพราะถึงไม่ให้ปาสเตอร์ทำการทดลอง เด็กชายอาจจะเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าในที่สุดอยู่ดี ปาสเตอร์จึงตัดสินใจทำการฉีดวัคซีนโดยที่มีแพทย์คอยดูแลอยู่ด้วย
การทดลองครั้งนั้นใช้เวลา 21 วัน โดยปาสเตอร์ค่อย ๆ ใส่ชิ้นเนื้อจากกระต่ายที่มีอาการป่วยจากน้อยไปมากจำนวน 13 ครั้งด้วยกัน แต่ละครั้งก็จะมีการติดตามว่าเด็กมีอาการป่วยหรือไม่ และครั้งสุดท้ายคือครั้งที่ 14 เขามั่นใจขนาดที่กล้าเอาชิ้นส่วนจากสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าใส่เข้าไป ผลปรากฎว่าเด็กไม่ป่วย ถือได้ว่าการทดลองของปาสเตอร์ประสบความสำเร็จ มนุษย์สามารถทำวัคซีนชนิดที่ 2 ได้สำเร็จในที่สุด หลังจากที่คิดค้นวัคซีนตัวแรกเพื่อป้องกันโรคฝีดาษเมื่อ 100 ปีก่อน และมีการนำวิธีที่ปาสเตอร์ใช้ไปฉีดเพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทั่วโลกจนถึงปัจจุบันนี้
วิธีการทำวัคซีนแบบที่ปาสเตอร์คิดนี้ต่างจากวัคซีนของเอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ที่เป็นการเอาเชื้อที่มีความใกล้เคียงกันแต่เป็นเชื้อคนละตัวมาทำ คือฝีดาษวัวเอามาป้องกันฝีดาษคน แต่วัคซีนของปาสเตอร์คือการทำให้เชื้ออ่อนแรงลงเรื่อย ๆ จนไม่สามารถทำให้เกิดโรคได้ก่อนจะฉีดเข้าไปในคน วิธีนี้เรียกว่า attenuated ซึ่งทั้ง 2 วิธีแม้จะถูกคิดค้นขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนก็เป็นวิธีการที่ยังใช้ผลิตวิคซีนต่าง ๆ จนถึงปัจจุบัน
ทุกวันนี้เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนก้าวหน้าไปมาก จากการที่เรามีความเข้าใจเรื่องของเชื้อโรค ระบบภูมิคุ้มกันและอื่น ๆ อีกมาก เรามีทั้งวัคซีนแบบเก่าที่ผลิตจากเชื้อตาย วัคซีนที่ผลิตจากสายพันธุ์ของเชื้อโรคที่ใกล้เคียงกัน วัคซีนที่ผลิตจากเชื้อที่ทำให้อ่อนแรงลง วัคซีน m-RNA, protein subunit และอื่น ๆ อีกมากมายในอนาคต ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ และหลุยส์ ปาสเตอร์ ผู้บุกเบิกการผลิตวัคซีนทั้ง 2 ชนิด
ความรู้ใหม่บางอย่าง เช่น germ theory ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของการแพทย์ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 เรียกได้ว่ายุคของการตื่นรู้ทางปัญญาอย่างแท้จริง และความรู้บางอย่างแม้จะถูกค้นพบเมื่อหลายร้อยปีก่อน ก็ยังคงเป็นพื้นฐานสำคัญของความรู้ใหม่ในยุคปัจจุบัน ดังนั้นเราไม่ควรดูถูกภูมิปัญญาของคนยุคเก่า