อหิวาตกโรค หรือโรคอหิวาต์ อาจจะเป็นชื่อที่ค่อย ๆ ห่างหายไปจากความทรงจำของคนไทยและคนในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก แม้จะมีรายงานผู้ป่วยอยู่บ้างแต่ก็พบกันประปรายไม่รุนแรง ยกเว้นในสถานการณ์สงครามหรือภัยพิบัติใหญ่ ๆ ที่จะมีรายงานการระบาดรุนแรงของโรคนี้ เช่น ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เฮติ เมื่อปีค.ศ.2010 หรือเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เยเมนในปี 2017 แต่ในช่วงศตวรรษที่ 19 โรคอหิวาต์เป็นปัญหาสำคัญของหลาย ๆ เมืองในยุโรปและอังกฤษ โดยเฉพาะเมืองที่มีประชากรหนาแน่น และการระบาดใหญ่ครั้งหนึ่งในกรุงลอนดอนในช่วงปี 1854 นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงกำจัดของเสียครั้งสำคัญของกรุงลอนดอน
ยุโรปและลอนดอนในศตวรรษที่ 18-19 เริ่มเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานและผู้คนเข้ามาอยู่กันหนาแน่นในเมืองใหญ่ ๆ แต่ยุคนั้นยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าน้ำประปา ชาวบ้านใช้วิธีขุดบ่อน้ำบาดาลแล้วก็ใช้เครื่องปั๊มแบบคันโยกเพื่อนำน้ำมาใช้ ในแต่ละชุมชนก็จะมีบ่อน้ำบาดาลสาธารณะแบบนี้ไว้ใจกลางเมืองเพื่อให้ชาวชุมชนใช้น้ำร่วมกัน ทั้งใช้ดื่มกิน อาบ รวมทั้งประกอบอาหารต่าง ๆ ในย่านโซโห (Soho) กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นย่านของคนจนที่อยู่กันอย่างแออัดก็มีปั๊มน้ำบาดาลแบบนี้ตั้งอยู่ที่ถนนบร์อด (Broad Street)
ระบบการกำจัดของเสียจากการขับถ่ายในยุคนั้นของชาวลอนดอนก็ทำกันง่าย ๆ คือบางบ้านอาจจะมีบ่อทิ้งที่เรียกว่า cesspools หรือ cesspit อยู่ที่พื้นใต้ดิน ถ้าของเสียไม่เยอะก็จะค่อย ๆ ย่อยสลายไปเอง แต่ถ้ามีปริมาณมากก็จะว่าจ้างคนให้มาเก็บเอาไปทิ้งเป็นระยะ บางบ้านที่อยู่ริมน้ำก็ทิ้งทุกอย่างลงไปที่แม่น้ำเทมส์ตรง ๆ แม่น้ำเทมส์สำหรับชาวลอนดอนในยุคนั้นคือเส้นเลือดใหญ่ที่นอกจากจะใช้เป็นที่ระบายของเสียทิ้งแล้วยังเป็นแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคหลักของชาวเมือง มีการนำน้ำจากแม่น้ำเทมส์มาบรรจุขวดเพื่อนำไปขายยังร้านอาหารและผับบาร์ เครื่องดื่มยอดฮิตในสมัยนั้นที่เรียกว่า เชอร์เบต์ (sherbet) คือเครื่องดื่มที่ใส่ผงบางอย่างที่จะเกิดฟองฟู่เวลาที่ผสมกับน้ำ และน้ำที่บาร์หรือร้านอาหารต่าง ๆ นำมาผสมเครื่องดื่มนี้ก็มาจากแม่น้ำเทมส์เช่นกัน
โรคอหิวาต์มีการระบาดในยุโรปต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1817 เชื่อกันว่าโรคนี้ถูกนำมาจากอินเดียในยุคของการล่าอาณานิคม การระบาดแต่ละครั้งของโรคอหิวาต์ทำให้มีคนตายเป็นจำนวนมากเนื่องจากยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่าโรคนี้เกิดจากอะไร รวมทั้งไม่มียารักษาแบบในยุคปัจจุบัน เฉพาะในลอนดอนในช่วงปี 1848-1854 มีการระบาดของอหิวาต์เป็นระลอกหลายต่อหลายครั้ง ครั้งที่มีคนป่วยและเสียชีวิตจำนวนมากครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในปี 1954 ที่ย่านโซโหนั่นเอง
นายแพทย์จอห์น สโนว์เป็นชาวอังกฤษ เกิดที่เมืองยอร์ก (York) พ่อเป็นกรรมกร ดังนั้นชีวิตวัยเด็กเขาจึงเติบโตมากับชุมชนคนงานเหมืองแร่ที่มีสภาพไม่ดีนัก เคยเห็นการระบาดของโรคอหิวาต์ในกลุ่มคนงานเหมืองแร่มาตั้งแต่เด็ก เขาเรียนจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยลอนดอน (University of London) ในปี 1844 และได้เป็นวิสัญญีแพทย์ประจำพระองค์ของพระราชินีนาถวิกตอเรีย ในปี 1854 ขณะที่นายแพทย์สโนว์กำลังเริ่มเปิดคลินิกวิสัญญีที่ย่านโซโห ก็เกิดการระบาดใหญ่ของโรคอหิวาต์ ในช่วงเวลาแค่ 10 วันมีคนเสียชีวิตไปมากถึง 600 คน จากประสบการณ์ตรงของชีวิตในวัยเด็กของเขา ทำให้สโนว์ไม่ได้คล้อยตามความเชื่อของคนส่วนใหญ่ในยุคนั้นว่าโรคอหิวาต์เกิดจาก “miasma” ที่ลอยมากับกลิ่นเหม็น เขาเชื่อว่าโรคอหิวาต์น่าจะเกิดจากอะไรสักอย่างที่ปนเปื้อนมากับน้ำ ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีใครรู้จักจุลชีพ หรือทฤษฎีเชื้อก่อโรคแต่อย่างใดความเชื่อของสโนว์จึงยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัด เขาเคยตีพิมพ์ทฤษฎีที่ว่าอหิวาต์ติดต่อจากการกินหรือดื่มอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนในบทความชื่อ "On the Mode of Communication of Cholera" ในปี 1849 แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ขณะนั้น (ความจริงในปี 1854 นั้นได้มีการแยกแบคทีเรีย Vibrio Cholerae ได้แล้วโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี แต่ตอนนั้นยังไม่มีความรู้ว่าเชื้อนี้ทำให้เกิดโรคอหิวาต์ กว่าจะรู้ก็เป็นเวลาล่วงมานับหลายสิบปีหลังการค้นพบเชื้อ)
เมื่อมีอหิวาต์ระบาดเกิดขึ้นในย่านโซโห สโนว์ได้เริ่มกระบวนการสืบสวนโรคเพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของเขา โดยการเก็บข้อมูลของผู้ป่วยทุกคนอย่างละเอียด ตั้งแต่ชื่อ ที่อยู่ ที่ทำงาน กินอะไร ดื่มอะไรมาบ้างก่อนมีอาการ รวมทั้งข้อมูลแหล่งน้ำที่ผู้ป่วยแต่ละคนใช้เป็นประจำ จนสามารถทำแผนที่แสดงจำนวนคนป่วยในพื้นที่ต่าง ๆ ของลอนดอน ทำให้เขาเริ่มมองเห็นความเชื่อมโยงของจำนวนผู้ป่วยกับปั๊มน้ำบาดาลสาธารณะที่หัวมุมถนนบร์อดกับถนนเคมบริดจ์ (ปัจจุบันถนนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Broadwick street และมีปั๊มน้ำจำลองที่สร้างขึ้นมาเป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์นี้) นอกจากนี้เขายังมีข้อมูลอื่น ๆ เช่น พบว่าคนงานในโรงงานกลั่นเบียร์ติดโรคน้อยมาก เมื่อสอบถามจึงพบว่าโรงงานจะแจกเบียร์ฟรีให้คนงาน ดังนั้นคนงานจึงดื่มเบียร์แทนการดื่มน้ำที่ได้จากปั๊มน้ำบาดาล นักโทษในเรือนจำที่มีปั๊มน้ำบาดาลเฉพาะของเรือนจำใช้ก็แทบจะไม่มีคนติดโรคเลยทั้ง ๆ ที่เรือนจำนี้ก็อยู่ใกล้ ๆ ถนนบรอ์ด สโนว์ใช้ข้อมูลความเชื่อมโยงต่าง ๆ นี้และแผนที่ผู้ป่วยที่เขาทำขึ้นเพื่อโน้มน้าวให้ผู้มีอำนาจในตอนนั้นเอาหัวปั๊มน้ำออกชั่วคราวเพื่อป้องกันไม่ให้คนเอาน้ำไปใช้ เมื่อไม่มีการใช้นำ้จากปั๊มน้ำบาดาลจำนวนคนติดเชื้อก็ค่อย ๆ ลดลง เมื่อต่อมามีการขุดสำรวจบ่อบาดาลที่ถนนบร์อด ก็พบว่าบ่อนี้ห่างจาก cesspool เก่าที่มีการรั่วซึมของสิ่งปฏิกูลแค่ 3 เมตร ยิ่งช่วยสนับสนุนว่าน้ำในบ่อบาดาลน่าจะปนเปื้อนสิ่งปฏิกูลจากรั่วซึมของบ่อกักของเสียตามบ้านเรือนใกล้ ๆ กันนั่นเอง
แม้การระบาดที่โซโหจะหยุดไปแต่การระบาดของอหิวาต์ไม่ได้หายไปจากลอนดอน ในการระบาดระลอกใหม่ สโนว์พบว่าคนที่บริโภคน้ำจากบริษัทที่ผลิตน้ำ 2 บริษัทที่เอาน้ำจากแม่น้ำเทมส์มาบรรจุขวดขายนั้นมีอัตราการป่วยไม่เท่ากัน โดยเขาได้ทำตารางที่แสดงข้อมูลตัวเลขทางสถิติของผู้ป่วยที่เสียชีวิตแยกตามการใช้น้ำจาก 2 บริษัทและพื้นที่อื่น ๆ ในลอนดอน (ตารางลักษณะนี้ต่อมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการสอบสวนโรค) โดยพบว่าบริษัทที่ตั้งอยู่บริเวณของแม่น้ำที่รับของเสียน้อยกว่าใช้น้ำที่สะอาดกว่าและบริษัทยังมีการกรองน้ำก่อนบรรจุขวดด้วย คนที่อาศัยอยู่ใกล้และบริโภคน้ำจากบริษัทนี้มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคอหิวาต์ต่ำกว่าถึง 14 เท่า สโนว์มีความเห็นว่าโรคอหิวาต์ติดต่อโดยการบริโภคน้ำที่ปนเปื้อน โดยเฉพาะแม่น้ำเทมส์ที่รับของเสียมาจากทั้งเมือง การสอบสวนของสโนว์แสดงให้เห็นว่าโรคอหิวาต์นั้นติดต่อจากน้ำที่ปนเปื้อน ไม่ใช่จาก miasma อย่างที่เคยเชื่อกัน เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร (กว่าที่จะมีการค้นพบว่าโรคอหิวาต์นั้นเกิดจากแบคทีเรียก็กินเวลาหลังจากเหตุการณ์ที่ลอนดอนนานถึง 30 ปี โดยผู้ที่ค้นพบคือนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ Robert Koch จากการสอบสวนการระบาดของอหิวาต์ที่อียิปต์ในปี 1883 และหลังจากที่ทฤษฎีเชื้อก่อโรค หรือ Germ Theory เป็นที่ยอมรับกันแล้ว)
สโนว์เสียชีวิตในเวลา 4 ปีต่อมาหลังจากการสอบสวนการระบาดครั้งนั้นโดยที่ยังไม่เกิดการจัดการระบบสาธารณูปโภคในลอนดอนอย่างจริงจัง และในปีค.ศ.1858 นั้นเอง ที่แม่นำ้เทมส์เน่าเสียอย่างรุนแรงจนเกิดกลิ่นเหม็นคลุ้ง (เรียกกันว่า the Great Stink) ลอยเข้าไปยังห้องประชุมของรัฐสภาอังกฤษ ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นและคณะรัฐมนตรีที่ร่วมประชุมอยู่ทนไม่ได้จนต้องยุติการประชุม และนำมาสู่การออกกฎหมายควบคุมการทิ้งของเสียลงแม่น้ำเทมส์และจัดการระบบระบายของเสียของกรุงลอนดอน มีการมอบหมายให้วิศวกรที่ชื่อ Sir Joseph William Balzalgette) ออกแบบโครงสร้างระบบการกำจัดของเสียใต้มหานครลอนดอนอย่างเป็นระบบ โครงการระบบระบายของเสียนี้เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในปี 1865 แต่มาเสร็จสมบูรณ์จริง ๆ ในปี 1875 ระบบระบายของเสียใต้ดินนี้ยังคงใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน การปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคอย่างจริงจังนี้ลดการปนเปื้อนและลดการทิ้งของเสียลงแม่น้ำเทมส์โดยตรงจนการระบาดของอหิวาต์ก็หายไปจากลอนดอนในที่สุด โดยการระบาดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 1866