ผู้คนในยุคปัจจุบันที่เพิ่งผ่านพ้นสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 มา คงคุ้นเคยกับคำแนะนำให้ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค เพราะการล้างมือดูเป็นวิธีการง่าย ๆ ที่ทำได้ทุกคน ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย แต่เชื่อหรือไม่ว่าในยุคศตวรรษที่ 19 นั้น การล้างมือแบบนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ใครทำขึ้นมาอาจจะกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวได้เลยทีเดียว แถมยังทำให้แพทย์คนหนึ่งเกือบจะหมดอนาคตไปเลย
ยุโรปในช่วงปี 1840s นั้น ผู้หญิงที่มาคลอดลูกที่โรงพยาบาลมีโอกาสเสียชีวิตค่อนข้างสูงจากโรคที่เรียกกันว่า childbed fever หรือไข้หลังคลอด ซึ่งในโรงพยาบาลเวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่นายแพทย์ Ignaz Semmelweis แพทย์ชาวฮังการีทำงานอยู่นั้นก็ไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่เขาสังเกตเห็นคือ หญิงตั้งครรภ์ที่มาคลอดที่หอผู้ป่วยฝั่งที่ดูแลโดยพยาบาลผดุงครรภ์ (midwives) นั้นเสียชีวิตน้อยกว่าหอผู้ป่วยฝั่งที่ดูแลโดยแพทย์และนักศึกษาแพทย์ถึง 2 เท่า เขาได้ตั้งสมมติฐานหลายอย่างที่อาจะอธิบายปรากฏการณ์นี้ ไม่ว่าจะเป็น…. ท่าทางของหญิงตั้งครรภ์ขณะคลอดบุตรมีผลหรือไม่ หรือว่าการที่หญิงเหล่านั้นเกิดความอายที่ต้องให้หมอผู้ชายทำคลอดให้เลยทำให้เป็นไข้ขึ้นมา หรือการที่หญิงเหล่านี้เห็นพระมาสวดศพหญิงตั้งครรภ์ที่เพิ่งเสียชีวิตจากโรคนี้ที่อยู่เตียงข้าง ๆ กันจึงเกิดความกลัวจนตายตามไปด้วย ซึ่งคุณหมอ Semmelweis ก็พบว่าสมมติฐานเหล่านี้ไม่เป็นจริง ตกลงแล้วผู้ร้ายคือใครหรืออะไรกันแน่
ในที่สุดจากการสังเกตและตัดสมมติฐานที่ไม่น่าเป็นไปได้ออกไป Semmelweis ก็พบว่าสิ่งที่น่าจะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้คืออะไรบางอย่างที่อยู่ในศพ เพราะ Semmelweis พบว่าแพทย์ผู้ร่วมงานของเขาคนหนึ่งโดนมีดบาดขณะที่ทำการผ่าศพ แล้วต่อมามีอาการไข้จนเสียชีวิต มีอาการไม่ต่างจากหญิงหลังคลอดเลย
ในยุคกลางนั้นผู้คนเชื่อกันว่าสิ่งที่เรียกว่า miasma หรือกลิ่นที่ลอยมาตามอากาศจากพืชผักหรือสัตว์ที่เน่าเปื่อย เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ไม่มีใครรู้จักคำว่าเชื้อโรค หรือ germs
ในปี 1847 เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้ Semmelweis ได้ออกกฎให้นักศึกษาแพทย์และแพทย์ทุกคนล้างมือด้วยน้ำมะนาวผสมคลอรีนก่อนเข้าไปทำคลอดทุกครั้ง (เขาเชื่อว่าคลอรีนจะช่วยทำลายอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดไข้หลังคลอดและน้ำมะนาวก็เพื่อดับกลิ่นที่ติดมากับศพ) ท่ามกลางความขบขันและเสียงคัดค้านของแพทย์คนอื่น ๆ แต่หลังจากที่ใช้มาตรการล้างมือไปสักพักก็พบว่า จำนวนหญิงหลังคลอดในหอผู้ป่วยที่เขาดูแลอยู่ที่ป่วยด้วยอาการไข้หลังคลอดจนเสียชีวิตก็ลดลงอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ดีว่ามาตรการการล้างมือนั้นได้ผลจริง แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ในแวดวงของแพทย์ด้วยกันกลับคัดค้านแนวคิดและวิธีการของเขาอย่างรุนแรง แถมยังเชื่อว่าน้ำที่นำมาล้างมืออาจจะทำให้ป่วยได้ โรงพยาบาลเวียนนาที่เขาทำงานอยู่ก็ไม่ยอมรับกฎการล้างมือของเขา จนในที่สุดเมื่อเขาทนความกดดันไม่ได้ 1 ปีต่อมาเขาจึงได้ย้ายไปทำงานที่เมือง Pest ในฮังการี ประเทศบ้านเกิด เขานำเอาการล้างมือไปใช้ที่ Pest และพบว่าช่วยลดการเสียชีวิตของหญิงหลังคลอดเช่นกัน
แต่คนที่เชื่อเรื่องการล้างมือไม่ได้มีแค่ Semmelweis เท่านั้น ในเวลาไล่เลี่ยกับที่ Semmelweis เริ่มการทดลองล้างมือนั้น แพทย์ชาวอเมริกันที่ชื่อ Oliver Wendell Holmes ก็ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับมือที่ไม่สะอาดอาจทำให้เกิดไข้หลังคลอดได้ ขณะเดียวกัน Florence Nightingale ก็พบว่าการล้างมือก่อนการดูแลทหารที่บาดเจ็บในสงครามที่คาบสมุทรไครเมียนั้นช่วยทำให้ทหารเสียชีวิตจากการเป็นไข้ลดลง น่าเสียดายที่ในช่วงปี 1850s นั้น การข่าวการสื่อสารถึงกันยังยากลำบาก ดังนั้นแนวคิดของทั้งสามคนจากคนละที่ จึงไม่อาจเชื่อมถึงกันได้
เวลาผ่านไปกว่า 10 ปี Semmelweis จึงกล้าตีพิมพ์บทความวิชาการเรื่องการล้างมือและการลดอัตรตายจากไข้หลังคลอดในปี 1858 และ 1860 พร้อมกับการตีพิมพ์หนังสือในปีต่อมา น่าเสียดายที่ทั้งบทความและหนังสือที่เขาเขียนยังคงไม่ได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ในขณะนั้น จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในอีกไม่กี่ปีต่อมา (ค.ศ. 1965) Semmelweis ตายไปอย่างผู้พ่ายแพ้ในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคจิตแห่งหนึ่งในฮังการี ด้วยวัยเพียง 47 ปี
การที่แนวคิดเรื่องการล้างมือได้รับการคัดค้านอย่างรุนแรงในยุคนั้นทั้ง ๆ ที่ถ้ามองย้อนหลังจะเห็นว่าข้อพิสูจน์ คืออัตราตายของหญิงหลังคลอดลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งก็จะเป็นหลักฐานสนับสนุนที่หนักแน่นมากพอ
อย่างแรก คือการที่จู่ ๆ จะมีใครสักคนมาบอกว่าเป็นเพราะแพทย์มือไม่สะอาดจึงทำให้เกิดโรค อาจจะเป็นการยากที่จะยอมรับ เพราะแพทย์ส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่ถือว่าตัวเองสะอาดกว่าชนชั้นแรงงานจะมีมือที่ไม่สะอาด และมีส่วนทำให้คนไข้เสียชีวิตได้อย่างไร (เหมือนโดนฉีกหน้ากลาย ๆ)
เหตุผลที่สอง อาจจะเป็นที่บุคลิกของ Semmelweis เองที่ค่อนข้างดื้อรั้น เขายืนยันหนักแน่นว่า childbed fever นั้นเกิดจากอะไรบางอย่างจากศพเท่านั้น ซึ่งไม่ถูกต้องทั้งหมด เนื่องจากจริง ๆ แล้วโรคนี้เป็นที่รู้จักกันมานาน และเกิดกับหญิงหลังคลอดที่อาจจะคลอดที่บ้านหรือที่อื่น ๆ ที่คนทำคลอดไม่มีการจับต้องศพเลย จึงเป็นที่น่าเสียดายว่าข้อโต้แย้งนี้ทำให้ความน่าเชื่อถือของแนวคิดที่ Semmelweis เสนอนั้นลดลง
เหตุผลที่สาม คือการที่ Semmelweis นอกจากขาดทักษะในการโน้มน้าวผู้คนแล้ว อาจจะเป็นเพราะเขายังอายุน้อย เพิ่งจบจากโรงเรียนแพทย์เพียงแค่ 3 ปีก็เป็นได้ เรียกได้ว่ายังมีบารมีไม่พอนั่นเอง
เหตุผลสุดท้าย คือสภาพแวดล้อมของช่วงศตวรรษที่ 19 ที่ยังไม่มีระบบน้ำประปา การเอาน้ำมาล้างมือไม่ใช่เรื่องง่าย และดูเป็นการกระทำที่ฟุ่มเฟือยสำหรับคนส่วนใหญ่ในยุคนั้น
เมื่อรวมหลาย ๆ ประเด็นเข้าด้วยกัน จึงพอจะอธิบายได้ว่าทำไมมาตรการการล้างมือที่ดูเป็นเรื่องปกติของคนยุคปัจจุบัน จึงกลายเป็นเรื่องยากของคนยุคนั้นไปได้
หลังจากที่ Semmelweis เสียชีวิตไปแล้ว ในปี 1867 ศัลยแพทย์ชาวสก๊อตชื่อ Joseph Lister (ถ้ารู้สึกคุ้น ๆ กับชื่อนี้ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะน้ำยาทำความสะอาดที่ชื่อการค้าว่า Listerine ก็มาจากชื่อนี้นั่นเอง) ได้เป็นผู้ริเริ่มนำน้ำยาฆ่าเชื้อมาทำความสะอาดเครื่องมือผ่าตัดรวมทั้งใช้ล้างมือก่อนผ่าตัด ทำให้การติดเชื้อหลังการผ่าตัดลดลงเป็นอย่างมาก ต่อมาในช่วงปี 1870 การฟอกมือด้วยน้ำสะอาดก่อนการผ่าตัดเริ่มเป็นเรื่องที่ยอมรับกันมากขึ้น หลังจากนั้นจึงเริ่มมีคนหันกลับไปให้ความสนใจบทความที่ Semmelweis เคยเขียนไว้ พร้อม ๆ กับการค้นพบของ Robert Koch ว่าสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ บางอย่างที่มองด้วยตาไม่เห็นต่างหากที่ทำให้เกิดโรค ไม่ใช่ miasma หรือสารที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของสิ่งมีชีวิต รวมถึงทฤษฎีเชื้อก่อโรค หรือ Germ Theory ที่สามารถอธิบายการเกิดโรคติดเชื้ออีกหลาย ๆ โรคในเวลาต่อมา
เป็นที่น่าสนใจว่า กว่าที่การล้างมือจะกลายมาเป็นมาตรการขั้นพื้นฐานในการป้องกันการติดเชื้อก็ใช้เวลาถึง 40 ปี หลังจากที่ Semmelweis ได้เริ่มนำมาปฏิบัติเป็นครั้งแรก และกว่าที่สหรัฐอเมริกาจะมีการออกแนวทางปฏิบัติให้การล้างมือเป็นมาตรฐานในการดูแลสุขอนามัยเป็นครั้งแรกก็เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 1980s นี่เอง
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า การล้างมือ ไม่ว่าจะด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ธรรมดา หรือล้างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เป็นวิธีการง่าย ๆ ที่ไม่ต้องลงทุนมาก แต่ได้ผลลัพธ์ที่ช่วยลดการสูญเสียอย่างมหาศาลในการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่เชื้อโรคไปยังบุคคลอื่น และทุกวันนี้ Ignaz Semmelweis ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของการควบคุมโรคติดเชื้อ เนื่องจากการค้นพบเรื่องง่ายใกล้ตัวเราอย่างการล้างมือนั่นเอง
สิ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ บางทีก็เป็นเรื่องง่าย ๆ เช่นการล้างมือ การที่เราหัดสังเกต หัดตั้งคำถาม และทำการค้นคว้าทดลองเพื่อหาคำตอบ เป็นกระบวนการเรียนรู้พื้นฐานเพื่อค้นพบองค์ความรู้ใหม่
บทเรียนที่สอง คือการเปลี่ยนแปลงความเชื่อหรือธรรมเนียมปฏิบัติเดิม ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ให้เห็นแล้วก็ตาม ต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์รวมทั้งปัจจัยแวดล้อมบางอย่างประกอบกันด้วย