ประเพณีตานข้าวใหม่ จะประกอบพิธี ประมาณวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ (เดือนสี่เป็ง) หรือหลังจากที่ชาวบ้านเกี่ยวข้าวเสร็จเมื่อนำข้าวเปลือกขึ้นเก็บในยุ้งข้าวแล้วชาวบ้านจะตำข้าวที่ได้จากการเก็บเกี่ยวในปีนั้น ไปทำบุญถวายพระสงฆ์ที่วัดพร้อมทั้งกรวย ดอกไม้ ธูปเทียน น้ำสำหรับกรวด เมี่ยง ข้าวเหนียวนึ่ง ๑ ถ้วย อาหารสุกใส่ไปด้วยเรียกกันว่า ทานข้าวใหม่ โดยชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำบุญทานข้าวใหม่พร้อมกัน คือ ในวันเพ็ญเดือน ๔
หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวในนาแล้ว ชาวนาต่างนึกถึงคุณของ “ผีปู่ผีย่า ผีฟ้าผีน้ำ ผีค้ำดินดำ” อันได้แก่ ผีบรรพบุรุษผู้บุกเบิกเนื้อไร่แดนนา ผีบนฟ้าที่ประทานสายฝน มีขุนน้ำประจำชลธารไหล ได้หล่อเลี้ยงข้าวกล้าเติบโตงาม ผีดินผู้ค้ำหนุนมีคุณด้วยประทานเนื้อดินอันอุดม ให้สมบูรณ์พูนผลจนสำเร็จเป็นเมล็ดข้าว จึงได้พากันจัดแบ่งข้าวเปลือกข้าวสารใส่กระทง พร้อมข้าวสุก อาหารคาวหวาน ขนม ผลไม้ หมากพลูบุหรี่ ใส่กระบะบัตรพลี แล้วประกอบพิธีเซ่นสรวงบูชา
ต่อมาชาวล้านนาได้รับเอาพระพุทธศาสนามาเป็นศาสนาหลัก การบูชาคุณจึงนิยมทำบุญอุทิศตามคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ส่วนหนึ่งของพืชผลธัญญาจึงถูกจัดไว้ไหว้สาบูชาพระรัตนตรัยด้วย ภายหลังพลังศรัทธาพระศาสนาเข้มข้นขึ้นจึงจัดถวายพระรัตนตรัยเป็นหลักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรก็มิได้ทิ้งคติเดิม กล่าวคือยังมีการทำบุญผ่านการ “ทานขันข้าว” คือสำรับอาหารอันมีข้าวใหม่เป็นหลัก อุทิศให้เจ้าแดนแผ่นนา เทวดา พระนางธรณี เจ้าที่เจ้าแดนเจ้าแห่งเจ้าหน ตลอดจนญาติมิตรผู้ล่วงลับถ้วนหน้า
กล่าวถึงเฉพาะการทำบุญใหญ่ เรียกทั่วไปว่า “ทานข้าวใหม่” แต่ก็มีหลายท้องที่เรียกชื่อต่างกันไปได้แก่ ทานข้าวหล่อบาตร ทานข้าวล้นบาตร และทานดอยข้าว ซึ่งแต่ละชื่อเกิดจากอาการที่เห็น คือเริ่มต้นทางวัดจะจัดภาชนะรองรับส่วนใหญ่เป็นบาตร ชาวบ้านที่นำเมล็ดข้าวไปทำบุญจะ “หล่อ”คือเทเมล็ดข้าวลงในบาตร เมื่อเห็นอาการเช่นนี้จนชินตาจึงเรียก “ทานข้าวหล่อบาตร”เมื่อข้าวเต็มบาตรก็เทข้าวออกกองไว้แล้วหงายบาตรขึ้นรับใหม่จนข้าวเต็มและล้นออกจึงเรียก “ทานข้าวล้นบาตร” สุดท้ายหลายบาตรเข้า กองเมล็ดข้าวก็ใหญ่โตเหมือนภูเขา จึงเรียกว่า “ทานดอยข้าว” ซึ่งกองที่เป็นข้าวสารมองเห็นเป็นสีขาว เรียก “ดอยเงิน” ส่วนกองข้าวเปลือกเห็นเป็นสีเหลืองเรียก “ดอยคำ”
ลักษณะการทำบุญ นอกจากจะทำบุญด้วยผลิตผลซึ่งเป็นเมล็ดข้าวล้วน ๆ แล้ว ยังมีการแปรสภาพข้าวถวาย เช่น นำข้าวไปนึ่งสุกแล้วปั้นปิ้งไฟเป็นข้าวจี่ หรือใส่กระบอกไม้เผาไฟให้สุกเป็นข้าวหลามไปถวายพระ จึงมีคำเรียกติดปากอีกชื่อว่า “ทานข้าวจี่ข้าวหลาม” ส่วนการ “ทานขันข้าว” จะนึ่งข้าวใหม่ถวายพร้อมอาหารปรุงรสพิเศษและพืชผลตามฤดูกาลอาทิ ถั่ว งา หัวมัน เป็นต้นอนึ่ง ในวันเดียวกัน มีประเพณีสำคัญอีกประเพณีหนึ่ง เรียกว่าประเพณี “ทานหลัวหิงไฟพระเจ้า” จะมีการจัดเตรียม “หลัว” คือฟืนสำหรับเผาถวายเป็นพุทธบูชา โดยมีจุดมุ่งหมายให้ “พระเจ้า” หมายถึง พระพุทธเจ้าได้ “หิง” คือผิงให้เกิดไออุ่น ซึ่งเรื่องนี้เกิดจากความรู้สึกของคนที่คิดว่าในฤดูหนาวอากาศหนาวเย็น พระพุทธเจ้าก็คงจะหนาวเช่นกัน จึงเกิดกิจกรรมนี้ขึ้น สำหรับฟืนที่ใช้มักเป็นไม้ที่มีเนื้อสีขาว เช่น ไม้คนทาหรือชิงชี่ ไม้ตะคร้อ ไม้มะขาม เป็นต้น ฟืนที่หาได้จะถูกตัดให้ยาวประมาณ ๑ วาของเจ้าภาพแล้วมัดรวมกันให้ได้ ๘๐ ท่อน เท่าจำนวนพระชนมายุของพระพุทธเจ้าคือ ๘๐ พรรษา นอกจากนี้ อาจมีท่อนไม้ไผ่สดใส่เข้าในกองไฟ เพื่อให้เกิดระเบิดเสียงดังตูมตาม และพิธีกรรมนี้จะมีขึ้นในเช้ามือของวันนั้น
ประเพณีทานข้าวใหม่ก็ดี ประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้าก็ดี เป็นประเพณีที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตในสังคมเกษตร ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนในอดีต ปัจจุบันแม้สังคมจะเปลี่ยนไป แต่ประเพณีดังกล่าวก็ยังคงหลงเหลืออยู่ เพราะหากมองดูแก่นแท้แล้วจะเห็นได้ว่าเป็นประเพณีที่ส่งเสริมคุณธรรมชั้นสูงอันได้แก่ “กตัญญูกตเวทิตาธรรม” น้อมนำจิตใจให้อ่อนโยน เคารพและเทิดทูนคุณค่าของบุพพการีชน จึงถือเป็นสิ่งจรรโลงศีลธรรม อันจะนำผลให้คนในสังคมใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
วันนี้ (25 มกราคม 2567) เวลา 06.00 น. ที่วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร จ.ลำพูน นายสันติธร ยิ้มละมัย ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน นำพุทธศาสนิกชนชาวลำพูน ร่วมทำบุญถวายทานในงาน ตานหลัวหิงไฟพระเจ้า และงานบุญตานข้าวใหม่ปุ๋จาพระธาตุเจ้าหริภุญชัย "
โดยประเพณีตาน (ทาน) หลัวหิงไฟพระเจ้า หรือประเพณีตาน (ทาน) ฟืน เป็นหนึ่งในประเพณีสิบสองเดือนของล้านนา จัดขึ้นในเดือนสี่ภาคเหนือ หรือเดือนยี่ภาคกลาง (ประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม) ในวันขึ้น 15 ค่ำของเดือน โดยชาวล้านนาคำว่า “หลัว” หมายถึง “ฟืน” คำว่า “หิงไฟ” หมายถึง “ผิงไฟ” คำว่า “พระเจ้า” หมายถึง “พระพุทธเจ้า” รวมถึงพระพุทธรูป
การตานหลัวหิงไฟพระเจ้าเกิดจากความเชื่อที่ว่าเมื่อถึงฤดูหนาวพระพุทธรูปก็หนาวเช่นเดียวกันกับมนุษย์ จึงนำหลัวมาจุดไฟให้ผิงเพื่อให้คลายหนาวเมื่อถึงเทศกาลพระสงฆ์ สามเณร และชาวบ้านจะไปหาหลัว (ฟืน) ตามป่า โดยตัดไม้ยาวท่อนละประมาณ 1 วา แล้วมัดเป็นมัดๆ นำไปกองรวมกันที่ข่วงวัด (ลานวัด) หรือหน้าวิหาร ตามความเหมาะสมของสถานที่ โดยกองสุมเป็นวงกลมเตรียมพานข้าวตอกดอกไม้ เรียกว่า “ขันนำทาน” และหลัว จำนวน 1 มัด ถวายพระสงฆ์ โดยไหว้พระรับศีล และกล่าวคำถวาย แล้วประเคนขันนำทานและหลัวหน้าองค์พระประธาน บางแห่งก็ประเคนประธานสงฆ์ พระสงฆ์ให้พรตามประเพณีของแต่ละท้องถิ่น จากนั้นเวลาประมาณใกล้รุ่ง พระสงฆ์จะเป็นผู้จุดกองหลัว และตีฆ้อง กองบูชาป่าวประกาศให้ชาวบ้านร่วมอนุโมทนาและเตรียมตัวมาทำบุญที่วัดในเวลารุ่งเช้า
ส่วนประเพณีตาน (ทาน) ข้าวใหม่ การตานข้าวใหม่ เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ชาวบ้านจะนำข้าวใหม่ที่เก็บเกี่ยวแล้วเก็บไว้บนยุ้งฉางที่บ้านมานึ่งให้สุกเพื่อนำมาตักบาตร ทานขันข้าว อุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับและถือเป็นการขอขมาพระแม่โพสพก่อนจะนำมารับประทาน การทานข้าวใหม่ในแต่ละบ้าน หรือแต่ละท้องถิ่นจะมีวิธีการนำข้าวมาถวายแตกต่างกันออกไป เช่น ถวายเป็นข้าวนึ่งสุกบ้าง เป็นข้าวจี่บ้าง หรือข้าวหลาม เป็นต้น
ที่มา...
ชนาธิป เมืองมูล .(2567). ผู้ว่าฯ นำจาวหละปูน ร่วมสืบฮีต สานฮอย ประเพณีล้านนา "ตานข้าวใหม่ ตานหลัวหิงไฟพระเจ้า" .ค้นเมื่อ 25 มกราคม 2567 . จากhttps://lamphun.prd.go.th/th/content/category/detail/id/33/iid/253585
สนั่น ธรรม .(2566). ประเพณีทานข้าวใหม่ – ทานหลัวหิงไฟพระเจ้า.ค้นเมื่อ 25 มกราคม 2567. จากhttps://accl.cmu.ac.th/Museum/contentdetail/2826