สกอร์ปิโอถูกปกปักพิทักษ์โดยเทพเจ้าสองพระองค์ หนึ่งคือเซลวาทานัส เทพเจ้าแห่งผืนป่า ผู้ซึ่งนามของเขาถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของคาบสมุทรกว้างใหญ่อันเป็นที่ตั้งของประเทศแห่งนี้ ส่วนอีกหนึ่งคือโอเคียนัส เทพเจ้าแห่งท้องทะเล เทพผู้มาจากดินแดนไกลโพ้นพร้อมกับโชคชะตาของชนเผ่าที่่จะทำให้คาบสมุทรหนึ่งต้องลุกเป็นไฟยาวนานหลายร้อยปี
แท่นบูชาเทพเจ้าแห่งผืนป่า
เซลวาทานัสเป็นเทพเจ้าดั้งเดิมของสกอร์ปิโอ ความเชื่อเกี่ยวกับเซลวาทานัสมาพร้อมชนเผ่าที่ร่อนเร่หนีภัยสงครามมาจนถึงผืนดินแห่งนี้ หลายชนเผ่าเล็กๆมีความเชื่อเกี่ยวกับผืนป่าที่ถูกพิทักษ์โดยขุมพลังอันไร้ที่มา เมื่อเวลาผ่านไปปฏิสัมพันธ์ระหว่างเผ่าต่างๆมีเพิ่มมากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมผ่านมุขปาฐะหลายต่อหลายเรื่องราว ความเชื่อของผู้คนทำให้ในที่สุดแล้วผู้พิทักษ์นี้ก็ได้กลายเป็นเทพารักษ์แห่งผืนป่าไป
เหมือนเช่นศาสนา ลัทธิและความเชื่ออื่นๆ ผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งผืนป่าได้ร่วมกันสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างเช่นแท่นบูชา พวกเขามีพิธีกรรมทางศาสนาเป็นของตนเอง รวมถึงพวกเขามีผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเผยแผ่เรื่องราวของเซลวาทานัส เรียกว่านักพรต(ascetic)
นักพรตของเทพเจ้าแห่งผืนป่านั้นสามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ จึงมักจะส่งตำแหน่งและองค์ความรู้ต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นภายในครอบครัวของตนเอง ทำให้เกือบทั้งหมดจะสืบทอดตำแหน่งกันทางสายเลือด ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นชายหรือหญิง ขอเพียงมีความสนใจก็สามารถเข้าถือพรตได้ แต่โดยมากแล้วความที่นักพรตมักจะต้องออกเดินทางแสวงหาความสงบในจิตใจเป็นระยะเวลาคราวละ 3-6 เดือน (หรือนานกว่านั้น) นักพรตบางคนที่ออกเดินทางเป็นระยะเวลาติดต่อกันยาวนานและโดดเดี่ยวตนเองมักได้รับความเคารพศรัทธาเป็นพิเศษ จะเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญพรต(hermit) ทำให้ส่วนมากสตรี(โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มี หรือวางแผนว่าจะมีครอบครัวในอนาคต)ไม่นิยมเข้าถือพรต เพราะเมื่อถือพรตแล้วก็จะนับว่าเป็นนักพรตไปตลอดชีวิต และเนื่องจากนักพรตของเทพเจ้าแห่งผืนป่า โดยมักจะมีผู้สืบทอดคราวละหนึ่งคนเพียงเท่านั้น ทำให้หากผู้สืบทอดตำแหน่งนักพรตเสียชีวิตลง ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับพิธีกรรมก็จะสูญหายไป
ในปี A.D.607 เกิดสงครามระหว่างเอเดนและเดมอส กษัตริย์ของสกอร์ปิโอในขณะนั้นตอบรับสามบัญชาของไฮคิงที่จะส่งทหารไปสมทบในสงคราม แต่เนื่องจากราชนาวีกำลังติดพันสงครามกับโจรสลัด กำลังพลที่ถูกเกณฑ์มาใหม่เพื่อส่งไปรบส่วนใหญ่จึงมาจากตระกูลเผ่าผืนป่าเสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อจบสงครามในปี A.D. 610 แม้มนุษย์เป็นฝ่ายชนะสงคราม แต่สกอร์ปิโอกลับสูญเสียทหารที่ถูกเกณฑ์พลเข้ามาใหม่นี้ไปเป็นจำนวนมาก และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความศรัทธาในเซลวาทานัสเริ่มเสื่อมถอยลง เนื่องจากได้สูญเสียนักพรตที่เป็นส่วนสำคัญของการเผยแผ่ความศรัทธาในเซลวาทานัสไป
ในปัจจุบันยังคงมีการบูชาเซลวาทานัสหลงเหลืออยู่ และนับเป็นวัฒนธรรมสำคัญที่ยังคงสืบเนื่องมาจากสมัยสงครามเผ่าผืนป่าและเผ่าทะเล แต่ชาวสกอร์ปิโอโดยมากไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทพารักษ์แห่งป่าองค์นี้เท่ากับเทพเจ้าท้องทะเลอีกแล้ว อีกทั้งเพราะผู้สืบทอดความเชื่อและคำสอนของเทพเจ้าแห่งผืนป่า ซึ่งจำเพาะว่าต้องมาจากเผ่าแห่งผืนป่า ค่อยๆมีจำนวนลดน้อยลงในแต่ละรุ่น ทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งนักพรตของเทพแห่งผืนป่าในปัจจุบันแทบจะไม่มีการสืบทอดตำแหน่งแก่คนรุ่นใหม่อีกต่อไป คงเหลือวัฒนธรรมประเพณีไม่กี่อย่างที่ถูกนำไปข้องเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวทะเล เช่นพิธีปลอบขวัญผืนป่า ด้วยการปลูกต้นกล้าทดแทนต้นไม้ที่ถูกตัดมาต่อเรือ
วิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
ชาวสกอร์ปิโอในปัจจุบันนับถือบูชาโอเคียนัส เทพเจ้าแห่งท้องทะเล ว่ากันว่าเทพเจ้าแห่งท้องทะเลนั้นท่อนล่างเป็นมังกรสมุทร ท่อนบนเป็นชายรูปร่างกำยำถือตรีศูล สามารถดลบันดาลให้เกิดฟ้าผ่าและพายุ ยามพิโรธท้องทะเลจะปั่นป่วนบ้าคลั่ง ฉะนั้นชาวสกอร์ปิโอซึ่งมีวิถีชีวิตข้องเกี่ยวกับทะเลจึงให้ความเคารพยำเกรง โดยชาวสกอร์ปิโอเชื่อว่าการทำให้ท้องทะเลสกปรกหรือแปดเปื้อนคือการไม่ให้ความเคารพและเป็นเหตุให้เทพเจ้าพิโรธ ทำให้เมื่อพายุเข้าชาวสกอร์ปิโอมักจะกล่าวว่า เทพเจ้าแห่งท้องทะเลกำลังพิโรธ และพวกเขาจะไม่ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในทะเลหรือแหล่งน้ำซึ่งไหลสู่ทะเลโดยไม่จำเป็น หากเมื่อออกทะเลแล้วจำเป็นต้องทิ้งสิ่งปฏิกูล นักเดินเรือก็มักจะทำพิธีไหว้ขอขมาในภายหลัง
เพราะวัฒนธรรมที่เชิดชูความแข็งแกร่งจึงเชื่อกันว่าเทพเจ้าจะโปรดปรานมากกว่าหากมีผู้รับใช้ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นนักบวช(monk)ของวิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเลจึงมีแค่เพศชายเท่านั้น รวมถึงไม่สำคัญว่าพื้นฐานวงศ์ตระกูลจะสืบเชื้อสายมาจากผ่าผืนป่าหรือเผ่าทะเล หากในปัจจุบันมีความเชื่อมั่นศรัทธา ก็สามารถเข้าทดสอบเพื่อเป็นผู้ถือวัตรออกบวชได้เสมอ ด้วยเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นนักบวชของวิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเลจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งจนเกือบถึงขีดจำกัดของมนุษย์ มิเช่นนั้นอาจไม่สามารถปฏิบัติตามวัตรของนักบวชได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักบวชของเทพเจ้าเหล่านี้ พวกเขาใช้ชีวิตที่วิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเลซึ่งเป็นวิหารโบราณที่สร้างเหนือโขดหินบนทะเล เป็นอาคารดั้งเดิมที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคเผ่าทะเลเรืองอำนาจ นักบวชพวกนี้มีหน้าที่ดำเนินพิธีซึ่งเกี่ยวข้องกับศาสนาและเผยแพร่คำสอนศาสนาบูชาเทพเจ้าท้องทะเล และเมื่อเกิดลมพายุพวกเขาจะต้องนั่งสวดภาวนาวิงวอนให้เทพเจ้าคลายความพิโรธ วัตรปฏิบัติของนักบวชของวิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเลนั้นค่อนข้างเข้มงวด ในขณะที่ถือครองสภาพนักบวชจะต้องใส่ใจการถือครองพรหมจรรย์ สามารถดื่มเครื่องดื่มมึนเมาได้เฉพาะในงานพิธีการ และต้องฝึกตนให้แข็งแกร่งจนถึงแทบขีดจำกัดของมนุษย์อยู่เสมอ
โดยทั่วไปนักบวชของวิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเลมักเป็นผู้ที่มีความถนัดในเวทน้ำ ชาวสกอร์ปิโอจึงมักส่งบุตรชายที่มีพรสวรรค์ในการใช้เวทน้ำมาเข้ารับการคัดเลือกเป็นนักบวช หากได้รับการคัดเลือกจะถือว่ามีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแค่ในครอบครัวเท่านั้น แต่หลายครั้งทั้งหมู่บ้านจะจัดงานฉลองให้แก่ครอบครัวนั้นด้วย
เนื้อหาของการสอบโดยปกติได้แก่การทดสอบไตรกีฬาที่ประกอบด้วยการว่ายน้ำระยะไกล การพายเรือ การวิ่งมาราธอน โดยหากช่วงที่จะจัดสอบไตรกีฬาเกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศกระทันหันก็อาจจะมีการเปลี่ยนหัวข้อที่ใช้สอบเป็นการสอบทางบกหรือการสอบในพื้นที่จำลอง โดยหัวข้อสำรองสำหรับไตรกีฬาคือ การปีนผา การไต่เขา การวิ่งเทรล การวิ่งฝ่าอุปสรรค (Obstacle course racing) การช่วยชีวิตทางน้ำ (Life saving swimming race) นอกจากนี้ยังมีหัวข้อการสอบอีกสองหัวข้อหลัก คือ การประลองตัวต่อตัวด้วยมือเปล่า, การทดสอบความรู้ความเข้าใจพื้นฐาน ความสามารถเกี่ยวกับเวทมนตร์ โดยเฉพาะเวทน้ำ ว่ากันว่าการทดสอบของวิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเลนั้นมีความเข้มข้นและหฤโหดกว่าการสอบเข้าสถาบันการทหารของสกอร์ปิโอเสียอีก
การเป็นนักบวชของวิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเลนั้นขึ้นชื่อเรื่องการถือวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตของนักบวชผู้นั้นๆ แต่ในทางกลับกันก็จะทำให้เกิดความเครียดอย่างมากในนักบวชที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตนี้ได้ รวมถึงการฝึกตนที่เข้มงวดทำให้อาจเกิดความห่างเหินจากครอบครัว ดังนั้นการเป็นนักบวชของวิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเลจึงเปิดช่องให้สามารถสึกจากการถือวัตรของนักบวชเพื่อกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ และถ้าอยากกลับเข้ามาถือวัตรเป็นนักบวชอีก ก็ทำได้เช่นกัน ขอเพียงผ่านการทดสอบทั้งหมดอีกครั้งก็เพียงพอ
แต่ถึงแม้ว่าตำแหน่งนักบวชของวิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเลจะต้องการผู้ที่มีคุณสมบัติอันแข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่หลายครั้งพวกเขาก็จะรับเด็กชายที่ป่วยไข้หรือสุขภาพไม่แข็งแรงตั้งแต่กำเนิดเข้ามาเป็นนักบวชฝึกหัด(neophyte) ซึ่งนับเป็นผู้ถือวัตรระดับต่ำสุดของวิหาร โดยเชื่อว่าเพื่อจะได้ซึมซับพลังอันแข็งแกร่งของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลเข้าไปช่วยให้สภาพร่างกายดีขึ้น กิจของนักบวชฝึกหัดเหล่านี้คือต้องถือปฏิบัติตามวัตรของนักบวชอย่างเคร่งครัดเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ เมื่อหายป่วยหรือสุขภาพดีขึ้นแล้วในตอนที่อายุถึงเกณฑ์ หากยังประสงค์จะเป็นนักบวชก็ต้องเข้ารับการทดสอบเช่นเดียวกับคนอื่นๆเพื่อเลื่อนขึ้นมาเป็นนักบวชตามลำดับ