ธรรมเนียมโดยทั่วไป
ชาวสกอร์ปิโอ บางครั้งจะเรียกกันว่า ‘สกอร์เปี้ยนส์’ (Scorpions)
ทักทาย
เบสิคและเป็นทางการ "ขอให้เทพเจ้าแห่งท้องทะเลโปรดอำนวยพรแก่การพบกันในครั้งนี้"
คำที่คนทำอาชีพบนเรือ/ทำงานกับคนจากบนเรือ/คนตามท่าเรือใช้ติดปาก เป็นการทักทายสั้นๆโดยใช้เสียงแบบ Hoi/Hoy หรือไม่ก็ทักด้วยคำเรียก สหาย (mate จาก shipmate)
ถ้าไม่ใช่การพบกันแบบทางการไปเลยก็ไม่ค่อยจะมีการใช้ “---”สวัสดิ์ กันเท่าไหร่
ร่ำลา
เบสิคและเป็นทางการ "ขอให้เทพเจ้าแห่งท้องทะเลโปรดอำนวยพรให้ประสบแต่โชคดี"
ที่สำคัญๆก็จะมี "ขอสายน้ำและสายลมช่วยหนุนนำ" (Fair winds and following seas.)
เป็นคำที่มีความหมายทั้งอวยพรและร่ำลาที่มักใช้ในหลายโอกาส ทั้งทางการและไม่ทางการ หลักๆก็จะมี การออกเดินทาง(ออกเรือ), การอวยพรให้แก่คนที่จบการศึกษา(ตัวอย่าง)/โยกย้าย(งาน/ที่อยู่) หรือเกษียณอายุ(ทั่วไปทุกสายงาน) , การกล่าวในพิธีศพของคนในสายอาชีพที่ทำงานบนเรือ
(ในส่วนของประโยคที่จะบอกว่า***ตาย จะพูดว่า "***ได้จากไปสู่ท้องทะเลตะวันออก เพื่อออกเดินทางไปพบกับเทพเจ้าแห่งท้องทะเล")
หลังๆ ที่การสัญจรทางอากาศในสกอร์ปิโอเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ก็เริ่มมีการปรับประโยคมาเป็น "ขอฟ้าใสและลมส่งแรงกล้า" (Blue skies and tailwinds.)
คำอวยพรและร่ำลาอีกคำที่นิยมใช้กันคือ 'ขอให้ดาวเหนือชี้นำทาง' (Find true north หรือสั้นๆแค่ True north 'ขอดาวเหนือชี้ทาง') เป็นคำโบราณตั้งแต่ยุคที่เข็มทิศไม่แพร่หลาย มาจากการใช้ดาวเหนือบอกทิศทางในยามค่ำคืน
คำอุทานที่คนมีอายุหน่อยมักพูดติดปาก
ให้คลื่นซัดเถอะ(ให้ตายเถอะ)
ขอให้ท้องทะเลเป็นพยาน (แนวสบถสาบาน/เพราะจะไม่สาบานต่อเทพเจ้าเพราะถือเป็นการรบกวนเทพเจ้าโดยใช่เหตุ)
การเกิด
ในยามอรุณแรกของชีวิต เบาะนอนของทารกจะถูกวางลงบนแพสี่เหลี่ยมที่ลอยในน้ำทะเล (หรือแหล่งน้ำที่ปลายสายบรรจบกับทะเล) ชำระล้างมือเท้าด้วยน้ำและเกลือ
หากเป็นบุตรชาย บิดามักจะให้มีดหรือดาบสั้นเป็นของรับขวัญ
หากเป็นบุตรสาว มารดาจะให้กริชเล็กทรงโค้งคล้ายเกลียวคลื่นเป็นของรับขวัญ
มีดและกริชนี้เป็นสัญลักษณ์เตือนใจแทนความเข้มแข็ง ซึ่งจะติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิตไม่ว่าโยกย้ายไปแห่งหนใด
การสมรส
บ่าวสาวจะเดินทางไปที่วิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ที่หน้าแท่นบูชา เจ้าบ่าวจะกลัดเครื่องประดับไข่มุกที่เป็นของหมั้นหมายลงบนเรือนผมของเจ้าสาวอีกครั้ง พวกเขาทั้งสองจะผูกผมปอยหนึ่งเข้าด้วยกันและถักเป็นเปียเชือก ก่อนจะตัดเปียนั้นออกวางลงในเรือใบไม้ในจานที่หน้าแท่น ตามด้วยไข่มุก 1 เม็ด ลูกกุญแจโลหะ 1 คู่ที่ร้อยเข้าด้วยกัน ตามด้วยกล่าวคำสาบานรักต่อหน้าแท่นบูชาเทพเจ้า ก่อนสิ้นสุดพิธีการด้วยการเซ่นสรวงของในจานให้แก่เทพเจ้าด้วยการลอยเรือใบไม้ออกไปในทะเล
หลังการประกอบพิธีก็จะมีการเลี้ยงฉลองที่บ้านของบ่าวสาว มีการบรรเลงดนตรีและเต้นรำ อาหารในงานเลี้ยงจานแรกจะเป็นอาหารที่บ่าวสาวทั้งสองช่วยกันทำ ตามด้วยอาหารจานแล้วจานเล่า แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเหล้า เป็นภาพชินตาที่จะเห็นญาติๆของบ่าวสาวนั่งดื่มหัวทิ่มอยู่ในลานบ้านตั้งแต่เที่ยงยันเช้าของอีกวัน
การตาย
เปลือกหอยและดอกไม้พื้นถิ่นจะถูกวางบนหน้าอกของผู้ที่กำลังจะจากไป ญาติมิตรมักจะไปรวมตัวกันที่ข้างเตียงเพื่อส่งผู้เป็นที่รักออกเดินทาง
ในสมัยก่อนพิธีศพของสกอร์ปิโอนั้นเป็นพิธีการฝัง แต่หลังจากเคยมีโรคระบาดในยุคสงคราม ทำให้เปลี่ยนมาเป็นการเผา พิธีศพจะจัดขึ้นที่ลานพิธีริมทะเล หรือริมแหล่งน้ำ จะวางท่อนฟืนเรียงกันและจุดไฟขึ้น ไฟจากฟืนและน้ำมันจะโหมขึ้นตลอดคืน ก่อนที่พอแสงแรกของวันสาดส่องลงในลาน ญาติๆจะมาเก็บอัฐิที่เหลืออยู่ ก่อนจะออกเรือ นำอัฐิไปโปรยลงในทะเล
กรณีการเสียชีวิตในทะเล โดยไม่มีผู้ใช้เวทที่สามารถรักษาสภาพของผู้จากไปอยู่บนเรือด้วย เรือจะเข้าฝั่งโดยเร็วที่สุดเพื่อประกอบพิธีศพ และนำอัฐิกลับมาเพื่อให้ญาติมิตรของผู้ตายเป็นผู้โปรย
ในการไว้ทุกข์ พวกเขาจะสวมปลอกแขนสีน้ำเงินซีด กลัดดอกไม้ชนิดเดียวกันกับที่มอบให้ผู้จากไปใช้ในการเดินทางไว้กับปลอกแขนด้วย โดยเพื่อนและญาติ จะใส่ประมาณ 7-10 วัน ญาติสนิท สามี ภรรยา พี่น้อง พ่อแม่ บุตร ตามธรรมเนียมแล้วจะใส่กันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน แต่ก็มีหลายคนที่ใส่เอาไว้นานกว่านั้น ด้วยความรักและอาลัยที่ยังไม่จางหายไป