นับจากการพัฒนาวัดหลวงเชียงรายจากการนำของท่านเจ้าคุณพระเทพวิสุทธิโสภณเจ้าอาวาสในฐานะเจ้าคณะจังหวัดลำปางที่ดำรงค์ตำแหน่งอันยาวนานถึง 41ปี ( พ.ศ. 2481-2522 ) ก่อให้เกิดการขยายงานการปกครองพระสังฆธิการสู่วัดวาอารามทั้งในตัวจังหวัดลำปาง ในอำเภอ ตำบล และหมู่บ้านเช่นเดียวกับการศึกษาของพระเณรที่ได้รับโอกาศในการยกระดับความรู้เพื่อการเผยแผ่พระศาสนาที่กว้างขวางทั่วถึงอย่างมีคุณภาพและมาตรฐานมากยิ่งขึ้น

เมื่องานพัฒาได้กระจายงานออกไปมากขึ้นภาระงานที่จะต้องดูแลย่อมน้อยลงเป็นธรรมดา วัดหลวงเชียงรายจากสำนักตักศิลาที่เคยคึกคักพลุกพล่านก็เริ่มเบาบางตามส่วน ยังคงแต่ศาสนะกิจของวัดและงานวันสำคัญทางศาสนาที่คณะศรัทธาของวัดเข้ามาประกอบกิจเลยดูเหมือนบรรยากาศเงียบสงบมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสิ้นท่านเจ้าคุณะพระเทพวิสุทธิโสภณไปเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526 แล้ว และได้ท่านพระครูวรกิจจารักษ์มาดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสแทน กิจการของวัดก็พัฒนาไปสภาพปกติตามวิถีแห่งพุทธโดยทั่วไปจนเมื่อท่านมรณะภาพในปีพ.ศ. 2553 และได้ พระปลัดโสภณฐิตตะธัมโมซึ่งเป็นลูกหม้อของวัดนี้ ( โดยท่านขอพ่อแม่ออกจากอำเภอเกาะคามาบวชเณรเพื่อเรียนหนังสือตั้งแต่อายุ11ขวบ ) มาดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสองค์ใหม่ การเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกโฉมก็เริ่มเกิดขึ้นจะพลิกโฉมอย่างไรเรามาติดตามกันครับ

หากวันนี้ท่านมีโอกาสย่างก้าวเข้าไปในวัดหลวงเชียงรายซึ่งอยู่ริมถนนบ้านเชียงรายเป็นถนนระยะสั้นๆจากหอนาฬิกามาถึงริมน้ำวังราว 500 เมตร ก่อนถึงแม่น้ำวังวัดอยู่ด้านขวามืออันดับแรกที่ท่านจะเห็นแปลกตากว่าวัดทั่วไปในขณะนี้คือบริเวณด้านหน้าติดถนนไม่มีรั้ววัด เห็นพระพุทธรูปสีขาวอยู่ทางขวามือเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง คนดูพระเป็นหรือเซียนพระจะตอบได้ทันทีว่าพระมหาจักรพรรดิ์ของหลวงปู่ดู่มีขนาดหน้าตักกว้าง 5 เมตร ส่วนด้านหน้ามีองค์เจดีย์แวดล้อมด้วยนักษัติ 12 ราศี หลังองค์พระเจดีย์มีวิหารรูปทรงศิลปะล้านนาเชียงแสนทาสีขาวทั้งหลังเมื่อแสงอาทิตย์ส่องจะสะท้อนแสงสวยงาม ด้านซ้ายมือเป็นกุฏิหลวงพ่อรูปทรงสวยงามสะดุดตา เพียงแค่นี้ก็เกิดความรู้สึกอยากเข้าชมป็นกำลังแล้วครับแต่หากลองถามชาวบ้านในระแวกนั้นหรือชาวลำปางที่คุ้นเคยวัดหลวงเชียงรายมาแต่เดิมจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเดิมทีราว 10 ปีก่อนไม่ใช่อย่างนี้ครับ ก็เป็นวัดทั่วไปมีรั้วรอบขอบชิดแถมรั้วสูงมากผู้คนผ่านไปมาจะเห็นวิหารและเจดีย์ไม่เด่นชัดเท่าไหร่ เพื่อคลายสงสัยในการพลิกโฉมวัดจากหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านปลัดโสภณ ฐิตตะธัมโมเพื่อความกระจ่างกันดีกว่าครับ

จากการพูดคุยกึ่งๆสัมภาษณ์ก็พอทราบเจตนาของหลวงพ่อถึงแนวคิดในการพลิกโฉมวัดว่าโดยสภาพทั่วไปของวัดหลวงเชียงราย ข้อได้เปรียบมากคือทำเลที่ตั้งอยู่ริมถนน ริมแม่น้ำวัง ห่างจากห้าแยกหอนาฬิกาที่นักท่องเที่ยวแวะถ่ายรูปแค่ครึ่งกิโลเมตรที่ผ่านมานักท่องเที่ยวที่มาเยื่อนลำปางก็ไม่พลาดนั่งรถม้าถ้ามีกำแพงสูงกั้นสายตาก็ได้แค่ผ่านน้อยคนนักที่จะแวะกราบพระ ถ้าไม่สะดุดตาไหนเลยจะดึงดูดใจให้เข้ามาเยือนและการเยือนโดยการกราบพระก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะให้เขาได้รับความสงบชำระใจนี่คือส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรมมิใช่หรือ

สิ่งที่หลวงพ่อเพิ่มเติมคือเปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวเข้าวัด ทำไมตอนเย็นๆไปเดินห้าง ไปเดินไนท์พลาซ่า ไปเดินกาดกองต้าแล้วไม่เข้าวัด ก็เย็นมาวัดก็ปิดแล้วหลังทำวัดเย็น หากวัดจะเปิดในเวลาที่เอื้อต่อเขาคือเวลาที่เขาว่างจากงานและช่วงเทศกาลในช่วงค่ำโยมว่าเขาจะมาไหมยิ่งเราเสริมด้วยแสงสีด้วยเทคโนโลยีแล้วไม่ใช่แค่คนหนุ่มสาวบางโอกาสก็มาทั้งครอบครัวมาไหว้พระสวดมนต์ นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่อาตมาเห็นว่าควรทำและต้องกล้าทำ แรกๆก็มีเสียงคัดค้านไม่เห็นด้วยถึงขนาดขอให้อาตมาสึกเอาเลยหละ การลื้อรั้วก็เช่นกันเดิมก็พบว่าต้นหูกวางริมรั้วด้านนอกเมื่อโตขึ้นรากไม้ก็ดันจนรั้วจะพังอยู่แล้วเลยต้องเอาทั้งต้นหูกวางและรั้วออกก็สงสัยอยู่ว่าทำไมไม่มีโยมคนไหนด่าต้นหูกวางแต่กลับมาด่าอาตมา หลวงพ่อระบายออกด้วยความอัดอั้น

แต่เมื่อเวลาผ่านไปวัดกลายเป็นจุดแวะ( Land Mark ) พักถ่ายรูปตอนรถม้ามาแวะผ่าน ได้กราบพระในโบสถ์ ได้ไหว้พระมหา จักรพรรดิในที่แจ้ง เข้าไหว้หลวงพ่อที่กุฏิ งานเทศกาลช่วงค่ำในวันสำคัญทางศาสนาไม่ว่าวันมาฆะ วิสาขะ อาสาฬหะจัดเวียนเทียน ฟังพระสวดมนต์ล้วนสามารถทำให้ศรัทธาและคนทุกวัยเข้าวัดได้ แม้แต่ขึ้นปีใหม่เค้าดาวร์ ลอยกระทงริมน้ำวังเราก็สามารถผนวกเอาพิธีกรรมทางศาสนาเข้าไปรวมได้ทั้งสิ้นถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนหนุนไปตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกนี่คือความคิดที่มีวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของหลวงพ่อ พร้อมกับแถมท้ายว่า ” สมบัติทางศาสนาที่มีในวัดอาตมาถือว่าเป็นของญาติโยมอาตมามีหน้าที่คอยเฝ้าดูแลให้เท่านั้น ” คำคมตบท้ายให้คิดและแสดงเจตนาที่เดินชัดของท่านเจ้าอาวาสวัดหลวงเชียงรายองค์ปัจจุบัน ให้ชาวพุทธมามะกะได้เห็นความคิดความตั้งใจในการพลิกโฉมที่ไม่ทิ้งหลักธรรมของศาสนาและคอยสอนใจของเราๆท่านๆว่าการเห็นอะไรที่ปรากฏอย่าด่วนสรุป จงคิดไตร่ตรองดูให้เห็นถ่องแท้เสียก่อน ตามหลัก “ การามสูตร “ ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้นแล