ลำดับที่ 1 ชวนชม รหัสพรรณไม้ 7-52100-003-001/5
ชื่อวิทยาศาสตร์: Adenium obesum (Fosk.) Roem. & Schult.
ชื่อสามัญ: Impala Lily, Pink Bignonia, Mock Azalea, Desert Rose
ชื่ออื่น: ลั่นทมแดง ลั่นทมยะวา (กรุงเทพฯ)
วงศ์: APOCYNACEA
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
ไม้พุ่ม สูง 1-1.5 ม. มียางใส ลำต้นและกิ่งก้านกลมเรียบ สีเขียวแกมเทา แตกกิ่งเป็นง่าม ค่อนข้างอวบน้ำ มีรอยแผลใบหลุดร่วง
ใบ ใบเรียงเวียนสลับเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง ใบเดี่ยว รูปไข่กลับหรือรูปช้อน กว้าง 3-4 ซม. ยาว 8-10 ซม. โคนใบสอบเรียว ปลายใบมนมีติ่งแหลมเล็กๆ ตอนปลาย ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนา เส้นกลางใบสีขาวนูน ก้านใบสั้น
ดอก ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง ดอกทยอยบานครั้งละ 3-4 ดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอกติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 กลีบ ภายในหลอดดอกมีสีเหลืองอ่อนแกมชมพู สีชมพูเข้มที่ขอบกลีบ แต่ละกลีบซ้อนกันเวียนเป็นวง เกสรเพศผู้ 5 อันติดอยู่บนท่อกลีบดอก
ผล ผลแห้งแบบ follicle เป็นฝักคู่ รูปยาวรี เมื่อแก่แตกได้
ถิ่นกำเนิดของชวนชมมีการค้นพบครั้งแรกโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ P. Forskal ทางภาคตะวันออกของทวีปแอฟริกาแถบประเทศแทนซาเนียและเคนย่า ในปี พ.ศ. 2305 แต่ตอนนั้นเชื่อว่าเป็นเพียงลั่นทมพันธุ์ใหม่ ต่อมาปี พ.ศ. 2357 นายโจเซฟ ออกัสต์ ซูลตส์ (Josef August Schultes) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ได้อธิบายความแตกต่างระหว่างชวนชมกับลั่นทมจนเป็นที่ยอมรับ ส่วนในประเทศไทย มีการพบชวนชมตั้งแต่ประมาณสมัยรัชกาลที่ 6 แต่ก็ไม่ทราบว่ามีการนำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อไร
การปลูกเลี้ยง
ควรปลูกในที่มีแสงแดดจัดในช่วงครึ่งวันเช้า ดินที่เหมาะสม คือ ดินร่วน ระบายน้ำได้ดีสูตรที่นิยมให้ปลูกคือดินร่วนผสมใบก้ามปูหมักในอัตราส่วน 3:1 หรือดินปลูกสำเร็จรูปขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ชวนชมลำต้นอุ้มน้ำได้ดีการให้น้ำจึงไม่ควรให้บ่อยจนเกินไป อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ใช้ปุ๋ยสูตร 16-16-16 สูตรเสมอในปริมาณแต่น้อยทุก 2 สัปดาห์เมื่อโตเต็มที่จึงเปลี่ยนเป็นปุ๋ยเร่งดอกสูตร 8-24-24 ทุก 2 สัปดาห์ การตัดตกแต่งกิ่งต้นชวนชม โดยธรรมชาติของชวนชมเป็นต้นไม้ที่มีความอ่อนช้อย การตัดแต่งกิ่งควรตัดกิ่งเกะเก้งก้างออกไปเพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวกและได้โชว์โขดหรือหัวที่สวยงามของชวนชม
การขยายพันธ์
ทำได้โดยการเพาะเมล็ดการเสียบยอด ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด
การเพาะเมล็ด ควรใช้เมล็ดใหม่ไม่ควรใช้เมล็ดเก่าเก็บไว้นานเมล็ดใหม่จะมีเปอร์เซ็นต์ในการงอกเยอะกว่า นำเมล็ดไปเพาะในตะกร้าที่มีส่วนผสมของทรายหยาบกับขุยมะพร้าวในอัตราส่วน 1:1
การเสียบยอด ต้องคัดต้นตอที่แข็งแรง ขนาดตามต้องการ จากนั้นตัดยอดของต้นตอตามขวาง ผ่าให้เป็นรูปตัววี และนำยอดพันธ์ดี ของชวนชม ซึ่งเป็นพันธ์ที่คัดเลือกไว้แล้ว ความยาวประมาณ1.5-2นิ้ว แล้วบากให้เป็นลิ่ม กะขนาดให้พอดีกับรูปตัววีที่ผ่าไว้ที่ต้นตอจากนั้นนำยอดพันธ์ไปเสียบที่ต้นตอ ระวังอย่าให้ต้นช้ำ พันด้วยพลาสติกใสพันต้นไม้ คลุมด้วยถุงพลาสติกแล้วมัดด้วยเชือก ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 10-15 วัน จะสังเกตเห็นชวนชมที่นำไปเสียบ เริ่มแตกใบอ่อน จึงแกะถุงพลาสติกที่คุลมออกจะได้ต้นชวนชมพันธ์ใหม่ตามที่ต้องการ
ลำดับที่ 2 ตะโกนา รหัสพรรณไม้ 7-52100-003-002
ชื่อพื้นเมือง : โก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ตะโกนา (ทั่วไป) นางัว (นครราชสีมา) มะโก (ภาคเหนือ) มะถ่านไฟผี (เชียงใหม่) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Diospyros rhodocalyx Kurz.
ชื่อวงศ์ : EBENACEAE
ชื่อสามัญ : Ebony
ลักษณะวิสัย :
ต้น : ไม้ยืนต้น สูงประมาณ 6 เมตร เปลือกต้นขรุขระสีน้ำตาลเข้มเกือบดำกิ่งอ่อนสีดำ
ใบ : ใบเดี่ยว รูปไข่กลับ กว้าง 2- 7 เซนติเมตร ยาว 5- 12 เซนติเมตร โคนใบสอบปลายใบโค้งมน เรียงสลับ
ดอก : สีขาว แยกเพศ ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อ กลีบดอก 4 กลีบ ยาว 8- 12 เซนติเมตร เชื่อมติดกันเป็นรูปคนโท ปลายแยกเป็นแฉกสั้น ๆ เกสรตัวผู้ 14-16 อัน ดอกเพสเมียเป็นดอกเดี่ยว กลีบดอก 4 กลีบ คล้ายดอกเพศผู้เทียม 8-10 อันมีขนาดใหญ่กว่าดอกตัวผู้ ออกดอกและติดผลช่วง มีนาคม – มิถุนายน
ผล : ผลสด ทรงกลม มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ติดอยู่ ผิวมีขนละเอียด มีขนาด 2- 3 เซนติเมตร เมื่อสุกสีส้มแดง
ประโยชน์: ผล แก้ท้องร่วง แก้พยาธิ เปลือกผล เผาให้เป็นถ่าน แช่น้ำรับประทานขับระดูขาว ขับปัสสาวะ เปลือก และเนื้อไม้ บำรุงธาตุ
ลำดับที่ 5 เฟื่องฟ้า รหัสพรรณไม้ 7-52100-003-005/5
ชื่อวิทยาศาสตร์: Bougainvillea hybrid
ชื่อสามัญ: Bougainvillea, Paper Flower
ชื่ออื่น: ดอกโคม (ภาคเหนือ), ดอกต่างใบ (กรุงเทพฯ), ตรุษจีน (ภาคกลาง)
วงศ์: NYCTAGINACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
ไม้พุ่มรอเลื้อย เนื้อแข็ง ผิวสีเทาหรือน้ำตาล ลำต้นและกิ่งมีหนามแหลมคม
ใบ ใบเรียงสลับ ใบเดี่ยว รูปไข่ หรือรูปรี กว้าง 3-5 ซม. ยาว 4-8 ซม. โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบมีทั้งสีเขียวและสีด่าง
ดอก ดอกช่อ มีใบประดับสีต่างๆ จำนวน 3 กลีบ ส่วนของดอกเป็นหลอด มีขนาดเล็กสีขาว มีก้านดอกเล็กๆ และติดอยู่กลางแผ่นของใบประดับ หลอดดอกสีเขียว ที่ปลายหลอดดอกคล้ายกลีบมีชั้นเดียว สีชมพู เหลืองหรือขาว เกสรเพศผู้ 10 อัน มีขนาดไม่เท่ากัน และอยู่ในหลอดดอก
ผล ผลขนาดเล็ก มี 5 สัน มีเปลือกแข็งและมีเมล็ดติดกับเปลือก
ลำดับที่6 เกาลัดไทย รหัสพรรณไม้ 7-52100-003-006/2
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sterculia monosperma Vent
ชื่อวงศ์ STERCULIACEAE
ชื่อสามัญ Chestnut
ชื่ออื่น เกาลัด เกาลัดเทียม เกาลัดเมือง บ่าเกาลัด
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ต้น ไม่ผลัดใบ สูง 4-20 เมตร เปลือกสีน้ำตาลอ่อน เรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กตามยาว ใบเดี่ยว เรียงสลับ มักกระจุกที่ปลายกิ่ง รูปรีหรือรูปขอบขนาน กว้าง 5-15 ซม. ยาว 10-30 ซม. โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบหนา มัน และเรียบหรือย่นเล็กน้อย ก้านใบยาว 2-10 ซม.
ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง แบบแยกแขนง แตกแขนงย่อยจำนวนมาก ยาวได้ถึง 35 ซม. ดอกย่อยเล็ก สีชมพูอมเขียว กลีบเลี้ยงโคนติดกัน ปลายแผ่ออกเป็นรูปกรวย แยกเป็น 5 แฉก แต่ละแฉกโค้งงุ้มและติดกันบริเวณปลายกลีบ ไม่มีกลีบดอก ผลแห้งแล้วแตก รูปกระสวย เปลือกผลหนาสีส้มถึงแดงเข้ม เมื่อแก่จะปริแยกออกจากกันด้านหนึ่ง เมล็ด 1-3 เมล็ด ผิวเกลี้ยง สีน้ำตาลแดงถึงดำ เนื้อในสีขาวหรือเหลืองอ่อน กินได้เมื่อทำให้สุกด้วยการต้มหรือคั่ว
ลำดับที่ 8 ผัดเฮือด รหัสพรรณไม้ 7-52100-003-008/4
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus infectoria Roxb.
วงศ์ MORACEAE
ผักเฮือดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสกุลเดียวกับไทรและมะเดื่อ ทุกส่วนของต้นมียางสีขาว ใบเดี่ยวออกเวียนสลับเป็นกลุ่มใกล้ปลายยอด รูปรี โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ เนื้อใบหนา ผิวใบเรียบเป็นมันทั้ง 2 ด้าน ขณะแตกยอดอ่อนมีหูใบเป็นแผ่นยาว ปลายเรียวแหลมสีขาวหรือสีแดงหุ้มใบอ่อนไว้ ใบอ่อนที่แตกออกมาจากหูใบใหม่มีสีเขียวหรือสีแดงสด แตกยอดใหม่ปีละ 1 ครั้ง ระหว่างเดือนธันวาคม–เมษายน โดยใบแก่จะร่วงหมดทั้งต้น แล้วจึงแตกยอดอ่อนขึ้นพร้อมกัน ในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์มีการแตกยอดในระหว่างเดือนพฤษภาคม–กันยายน ดอกเป็นช่อแบบช่อกระจุกแน่น มีใบประดับจํานวนมากประสานกันปิดไว้ ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม–มีนาคม ผลรวม ประกอบด้วยผลย่อยจำนวนมาก สีเหลืองอมขาว ผลสุกสีเหลือง
ลำดับที่ 9 แคนา รหัสพรรณไม้ 7-52100-003-009
ชื่ออื่นๆ
แคป่า แคขาว แคเค็ตถวา(เชียงใหม่) แคทราย(นครราชสีมา) แคแน แคฝอย (ภาคเหนือ) แคภูฮ่อ(ลำปาง) แคยอดดำ(สุราษฎร์ธานี) แคยาว แคอาว(ปราจีนบุรี)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dolichandrone serrulata (DC.) Seem.
ชื่อพ้อง Stereospermum serrulatua
ชื่อวงศ์ Bignoniaceae
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงได้ถึง 10-20 เมตร ผลัดใบ เปลือกลำต้นสีน้ำตาลอ่อนอมเทา อาจมีจุดดำประ ผิวเรียบ หรือล่อนเป็นเกล็ดขนาดเล็ก ลำต้นเปลาตรง มักแตกกิ่งต่ำ ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ปลายคี่ ออกตรงข้าม 3-5 คู่ รูปไข่แกมขอบขนาน ปลายแหลม โคนใบเบี้ยว กว้าง 2.5-7 เซนติเมตร ยาว 6-16 เซนติเมตร ขอบใบหยักแบบซี่ฟันตื้นๆ ผิวใบด้านล่างมีขนสั้นประปรายบนก้านใบ ก้านใบย่อยยาว 7-10 มิลลิเมตร ดอกเป็นดอกช่อแบบช่อกระจะสั้น ดอกใหญ่ รูปแตร สีขาว ออกตามปลายกิ่ง ยาว 2-3 ซม. ก้านดอกยาว 1.8-4 เซนติเมตร แต่ละช่อมี 2-10 ดอก บานทีละดอก กลิ่นหอม บานตอนกลางคืน รุ่งเช้าร่วง กลีบเลี้ยงหนาและเหนียว ปลายเรียวเล็กโค้งยาว 3-4 เซนติเมตร จะหุ้มดอกตูมมิด เชื่อมติดกันเป็นหลอดโค้งปลายแหลม เมื่อดอกบานจึงมีรอยแตกทางด้านล่าง มีลักษณะเป็นกาบหุ้มกลีบดอก ติดกันเป็นท่อ ปลายขยายออกเป็นรูประฆัง และแยกออกเป็น 5 แฉก กลีบดอกเชื่อมติดกัน ยาว 16-18 เซนติเมตร หลอดกลีบดอกยาว 13-14 เซนติเมตร ส่วนโคนแคบคล้ายหลอด สีเขียวอ่อน ส่วนบนบานออกคล้ายกรวยสีขาวแกมชมพู แฉกกลีบดอกมี 5 กลีบ รูปไข่ ยาว 3-4 เซนติเมตร ขอบกลีบย่น เป็นคลื่น ดอกสีขาว ดอกตูมสีเขียวอ่อนๆ โคนกลีบมีสีน้ำตาลปน เกสรเพศผู้ 4 อัน ติดอยู่ที่ด้านในของท่อกลีบดอก ปลายแยกมีขนาดสั้น 2 อัน ยาว 2 อัน และมีเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน 1 อัน รูปร่างเป็นเส้นเรียวเล็กรูปเส้นด้าย ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร อับเรณูยาวประมาณ 1 เซนติเมตร สีเทาดำ จานฐานดอกรูปเบาะ เป็นพูตื้นๆ เกสรเพศเมีย 1 อัน ผลเป็นฝัก ช่อละ 3-4 ฝัก แบน รูปขอบขนาน โค้ง บิดเป็นเกลียว ยาว 40-60 เซนติเมตร พบตามป่า ทุ่ง ไร่ นา ป่าเบญจพรรณออกดอกช่วงเดือน มีนาคมถึงมิถุนายน กลีบดอกบานใช้ต้มจิ้มน้ำพริก หรือแกงส้ม
ลำดับที่ 12 กาฬพฤกษ์ รหัสพรรณไม้ 7-52100-003-012
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Cassia grandis L.f.
ชื่อวงศ์ : FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE)
ลักษณะ :ไม้ต้น ผลัดใบ สูงถึง 20 เมตร โคนมีพูพอน เปลือกสีดำ แตกเป็นร่องลึก กิ่งอ่อนหรือช่อดอกมีขนสี
น้ำตาล ใบ ประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อยมี 10-20 คู่ ใบอ่อนสีแดง แผ่นใบย่อยรูปขอบขนาน กว้าง 1-2
เซนติเมตร ยาว 3-5 เซนติเมตร ด้านบนเป็นมัน ด้านล่างมีขน ดอก เริ่มบานสีแดงแล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพูตามลำดับ
ผล เป็นฝัก ฝักแก่แห้งไม่แตก ค่อนข้างกลม รูปทรงกระบอก โคนและปลายสอบ เปลือกหนาแข็ง ขรุขระ ที่ขอบ
ฝักเป็นสันตามแนวยาวทั้ง 2 ข้าง เมล็ดอ่อนสีครีม เมล็ดแก่สีน้ำตาล มีจำนวน 20-40 เมล็ด
การกระจายพันธุ์ :
มีถิ่นกำเนิดมาจากอเมริกากลาง นำมาปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อน ออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-
มีนาคม
ประโยชน์ : เนื้อในฝัก ปรุงรับประทานเป็นยาระบายอ่อนๆ เปลือกและเมล็ด รับประทานทำให้อาเจียน เป็นยาถ่าย
พิษไข้ได้ดี
ลำดับที่ 13 สาละลังกา รหัสพรรณไม้ 7-52100-003-013
ชื่อพฤกษศาสตร์ : Couroupita guianensis Aubl.
ชื่อวงศ์ : Lecythidaceae
ชื่อท้องถิ่น : ลูกปืนใหญ่
ชื่อสามัญ : Cannon-ball tree
ถิ่นกำเนิด : อเมริกาเขตร้อน
แหล่งที่พบ : พบได้ทั่วไปในประเทศไทย
วิสัย ไม้ต้นชนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ เรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่ หนาทึบ
ลำต้น เปลือกสีน้ำตาลแกมเทา แตกเป็นร่องและสะเก็ด
ใบ ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ เป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง รูปขอบขนานถึงรูปใบหอกแกมรูปไข่ กว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว12-25 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบหรือมน ขอบใบจักตื้น ใบหนา
ดอก สีชมพูอมเหลืองหรือแดง ด้านในสีม่วงอ่อนอมชมพู มีกลิ่นหอมมาก ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะขนาดใหญ่ตามลำต้น ช่อดอกยาว 30-150 เซนติเมตร ปลายช่อโน้มลง กลีบดอกหนา 4-6 กลีบ กลางดอกนูน สีขนสั้นสีเหลืองคล้ายแปรง เกสรเพศผู้เป็นเส้นยาวสีชมพูแกมเหลืองจำนวนมาก ทยอยบานจากโคนไปหาปลายช่อ นานเป็นเดือน ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-10 เซนติเมตร
ฝัก/ผล ผลแห้ง ทรงกลมใหญ่ ขนาด 10-20 เซนติเมตร เปลือกเเข็ง สีน้ำตาลปนแดง ผลสุกมีกลิ่นเหม็น มีเมล็ดจำนวนมาก รูปไข่
ฤดูกาลออกดอก: ออกดอกตลอดปี
ประโยชน์: ปลูกเป็นไม้ประดับตามสถานที่ราชการ วัน สวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ เพราะมีดอกขนาดใหญ่ สวยงามและกลิ่นหอม
ลำดับที่ 14 มะตูม รหัสพรรณไม้ 7-52100-003-014
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aegle marmelos (L.) Correa ex Roxb.
ชื่อสามัญ : Bael
วงศ์ : Rutaceae
ชื่ออื่น : มะปิน (ภาคเหนือ) กระทันตาเถร ตุ่มเต้ง ตูม (ปัตตานี) มะปีส่า (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 10 - 15 เมตร เปลือกต้นสีเทา แตกเป็นร่องตามยาว ใบ เป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ ออกเรียงสลับ มีใบย่อย 3 ใบ ใบย่อยใบปลาย รูปไข่ กว้าง 2-6 ซม. ยาว 5-14 ซม. ปลายใบแหลม แผ่นใบบางเรียบเกลี้ยงเป็นมัน ก้านใบย่อยใบปลายจะยาวกว่าใบที่คู่กัน ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบดอกมี 4 กลีบ โคนติดกัน ปลายแยกเป็น 4 แฉก รูปไข่กลับยาว ด้านนอกสีเขียวอ่อน ด้านในสีขาวนวล มีน้ำเมือก มีกลิ่นหอม ผล รูปรีกลมหรือยาว ผิวเรียบเกลี้ยง เปลือกหนา แข็ง ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกเป็นสีเขียวอมเหลือง เนื้อในสีส้มปนเหลือง นิ่ม เมล็ดมีจำนวนมาก
ส่วนที่ใช้ : ผลโตเต็มที่ ผลแก่จัด ผลสุก ผลอ่อน ใบ ราก
สรรพคุณ :ผลโตเต็มที่ - ฝานเป็นชิ้นบางๆ ตากแห้งคั่วให้เหลือง ชงรับประทาน แก้ท้องเดิน ท้องเสีย ท้องร่วง โรคลำไส้เรื้อรังในเด็ก
ผลแก่จัดแต่ยังไม่สุก - น้ำมาเชื่อมรับประทานต่างขนมหวาน จะมีกลิ่นหอม และรสชวนรับประทาน บำรุงกำลัง รักษาธาตุ ขับลม
ผลสุก - รับประทานต่างผลไม้ เป็นยาระบายท้อง และยาประจำธาตุของผู้สูงอายุ ที่ท้องผูกเป็นประจำ
ใบ - ใส่แกงบวช เพื่อแต่งกลิ่น