7 เคล็ดลับ

ดูแลหัวใจ ไม่ต้องใช้ยา

หัวใจของเราทำงานทุกวัน ไม่มีวันหยุด ขนาดเรานอนหลับ หัวใจก็ยังต้องเต้นอยู่เลย เพราะถ้าไม่เต้นเราก็ตายซินะ ^_^ ดังนั้นเรามาดูแลหัวใจของเรากันเถอะ วันนี้ผมมีเคล็ดลับที่ผมใช้ดูแลคุณพ่อคุณแม่ของตัวเอง แอบมาบอกเพื่อนๆ ว่าจะดูแลหัวใจให้แข็งแรง สุขภาพดีได้ยังไง จะได้ไม่ต้องใช้ยารักษา รวมถึงไม่ต้องไปทำบอลลูนหัวใจ หรือต้องไปผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจกันครับ ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลย

สวัสดีครับเพื่อนๆ ผมหมอเต้กิจจาครับ ก่อนที่ผมจะบอกเคล็ดลับ 7 ประการให้เพื่อนๆฟัง ผมขอเล่าถึงการรักษาโรคหัวใจก่อนนะครับ ว่ามีกี่วิธี มีอะไรบ้าง ก่อนจะเริ่มต้นกัน ฝากเพื่อนๆช่วยกดติดตามช่อง DRK Channel ของเราเพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะคร๊าบบบ ^_^

โรคหัวใจ มีวิธีการรักษาอย่างไรบ้างนะ

การรักษาโรคหัวใจนั้น เราจะเลือกการรักษาโดยดูตามระดับความรุนแรงของโรคนะครับ โดยหากโรคเป็นไม่มาก เราก็สามารถรักษาได้โดยไม่ต้องใช้ยา ที่เรากำลังจะมาคุยกันในวันนี้ แต่หากโรคหัวใจนั้นเป็นมากแล้ว แน่นอนว่าเราก็ควรรักษาโดยการใช้ยาร่วมไปด้วย และหากโรคหัวใจ (ซึ่งในที่นี้จะพูดถึงโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ) เป็นในระดับที่รุนแรงมากแล้ว การทำบอลลูนขยายเส้นเลือดหัวใจ รวมถึงการผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจ ก็จะเป็นวิธีรักษาในระดับต่อๆไปครับ


สรุปว่าการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มี 4 วิธีดังนี้

  1. การรักษาโดยไม่ใช้ยา (non-pharmacotherapy)

  2. ยารักษาโรคหัวใจและโรคร่วม

  3. ทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ (balloon angioplasty with stenting)

  4. การผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจ (BABG: coronary artery bypass graft)

เคล็ดลับข้อที่ 1 : ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน และดื่มน้ำมากๆ

ทำไมสิ่งแรกที่ผมเลือกมาบอกเพื่อนๆคือการออกกำลังกาย เพื่อนๆคงสงสัย เหตุผลคือการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดูเหมือนยาก แต่ทำง่ายที่สุดใน 7 ข้อวันนี้แล้วนะครับ การออกกำลังกาย ยากที่สุดก็คือการเริ่มครับ แต่หากได้ลงมือผูกเชือกรองเท้าผ้าใบแล้ว ต่อไปก็จะง่ายนิดเดียวครับ เพื่อนๆทุกคนต้องพยายามไปนะครับ มาสุขภาพดีไปด้วยกัน


คำถามต่อมาคือ ทำไมต้องออกกำลังกายทุกวัน เพื่อนๆคงสงสัย เพราะถ้าไปอ่านคำแนะนำส่วนใหญ่ ก็มักจะบอกให้ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2-3 วันบ้าง 3-4 วันบ้าง เคล็ดลับของผมก็คือ หากเราต้้งใจออกกำลังกายแค่ 3-4 วันต่อสัปดาห์ หากเราติดธุระโน่นนี่ ก็อาจเหลือแค่สัปดาห์ละ 1-2 วัน หรือเผลอๆอาจไม่ได้ออกเลยสักวัน แต่ถ้าเราตั้งใจหาโออาสจะออกกำลังกายทุกวัน เราจะได้ออกกำลังบ่อยกว่าแน่นอนครับ


ดื่มน้ำมากๆนะ ไอ้มากๆเนี๊ยมันคือกี่แก้วกันนะ ผมว่าปัจจุบันเราจะนับกันง่ายกว่า ถ้าใช้ขวดน้ำดื่ม 1.5 ลิตรเป็นตัวช่วยนับแทน เอาให้อย่างน้อยหมดขวดนะครับ และเคล็ดลับการดื่มน้ำให้ได้เยอะๆนี้ไม่ยากเลย ถ้าเพื่อนๆออกกำลังกาย ลองดูสิครับ แล้วจะรู้ว่าน้ำเปล่านี้แหละ อร่อยมากหลังเราออกกำลังกาย


เคล็ดลับอีกข้อหนึ่ง ที่เราใช้ดูว่าวันนี้เราดื่มน้ำพอหรือไม่ คือการดูสีของปัสสาวะครับ หากปัสสาวะสีเหลืองเข้ม อันนี้แปลว่าดื่มน้ำไม่พอ แต่หากปัสสาวะสีเหลืองอ่อนๆหรือใสๆ อันนี้แปลว่าดื่มน้ำเพียงพอแล้วครับ

เคล็ดลับข้อที่ 2 : รับประทานอาหารให้หลากหลาย

สิ่งหนึ่งที่ทำยากมากๆ ก็คือการควบคุมอาหาร เพราะอะไรที่อร่อยอ่ะนะ ส่วนใหญ่จะไม่ดีต่อสุขภาพทั้งนั้นแหละเนอะ พูดไปผมก็ชอบนะ ไม่ว่าจะเป็นขนมเบเกอรี่ ชาไข่มุก พิซซ่า ไก่ทอด ไอติม หรือแม้กระทั้่งทุเรียน แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ ถึงจะมีสุขภาพดีได้ เคล็ดลับของผมก็คือ การเดินสายกลาง หมายความว่าของอร่อยๆที่ไม่ดีต่อสุขภาพเหล่านี้ เราก็อาจจะยังกินได้ แต่ให้กินแค่เพียงชิมๆ และนานๆครั้ง เช่นอาจกินชาไข่มุกแค่ครึ่งแก้วเฉพาะที่เราไปเที่ยวทางไกลกับครอบครัว หรืออาจกินเค้กอร่อยๆสักคำสองคำในวันเกิดของเพื่อนรัก เป็นต้นครับ เพราะก็ต้องยอมรับว่าของกินอร่อยๆเหล่านี้ แม้จะไม่ดีนักต่อสุขภาพ แต่มันก็ดีต่อจิตใจ เป็นความสุขแบบนึงอ่ะเนอะ


หลังจากที่เรากินของอร่อยๆไปนิดๆหน่อยๆแล้ว เราก็ค่อยมาเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพกันบ้าง เช่นกินของผัดของทอดน้อยๆ เลือกกินประเภทต้มหรือนึ่งแทน เน้นกินเนื้อสัตว์จำพวกปลา ผักและผลไม้ แต่ถ้าเป็นผลไม้ที่หวานจัดเช่นมะม่วง เงาะ หรือทุเรียน ก็กินแค่ชิมสักลูกสองลูกก็พอนะครับ สำหรับอาหารทะเลก็กินได้บ้าง แต่ก็ไม่ควรมากนักเพราะส่วนใหญ่คอเลสเตอรอลมักจะสูง สำหรับอาหารเค็มจัดก็ควรหลีกเลี่ยงนะครับ เพราะไม่ดีต่อทั้งไตและหัวใจครับ

เคล็ดลับข้อที่ 3 : คุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน

เราอ้วนหรือยังนะ? อ้วนหรือเปล่าดูจากอะไร? คำตอบก็คือดูจากดัชนีมวลกายครับ (BMI: Body Mass Index) โดยตอนนี้เพื่อนๆไม่ต้องจำสูตรคำนวณให้เสียเวลาแล้ว เพียงแค่พิมพ์คำว่า BMI ใน Google ก็จะมีช่องให้กรอกข้อมูลน้ำหนัก และส่วนสูง ก็จะคำนวณให้เราอัตโนมัติเลยครับ โดยหากมากกว่า 23 ก็จะถือว่าเริ่มอ้วน แล้วของเพื่อนๆหละครับ ได้เท่าไหร่?


ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI)

BMI kg/m2 อยู่ในเกณท์

น้อยกว่า 18.5 น้ำหนักน้อย / ผอม

ระหว่าง 18.5-22.9 ปกติ (สุขภาพดี)

ระหว่าง 23-24.9 ท้วม / โรคอ้วนระดับ 1

ระหว่าง 25-29.9 อ้วน / โรคอ้วนระดับ 2

มากกว่า 30 อ้วนมาก / โรคอ้วนระดับ 3


สำหรับเคล็ดลับการควบคุมน้ำหนัก ที่ผมจะมาแอบบอกเพื่อนๆก็คือ การชั่งน้ำหนักของตัวเราทุกวันครับ เพราะเมื่อเราชั่งน้ำหนักบ่อยๆ ไม่หลอกตัวเอง เมื่อน้ำหนักเราเริ่มขึ้น เราจะลดหรือควบคุมน้ำหนักได้ง่ายกว่าปล่อยให้น้ำหนักขึ้นไปมากๆแล้วจะมาลดทีเดียวนะครับ


เคล็ดลับอีกอย่างในการลดน้ำหนักก็คือ ต้องคุมอาหาร และ คุมอาหารครับ โดยการคุมอาหารให้เราได้รับพลังงานเข้าไปน้อยกว่าที่เราใช้พลังงานในแต่ละวัน สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายมากๆแล้วคิดว่าจะน้ำหนักลดจะยากหน่อย เพราะเมื่อเราออกกำลังแต่เรากลับมากินเยอะๆกว่าปกติ ก็ยากครับที่จะน้ำหนักลด ต้องคุมอาหารร่วมด้วยเท่านั้น โดยการคุมอาหารแนะนำให้กินอาหารครบ 3 มื้อเหมือนเดิมนะครับ ไม่ควรงดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะหิวมากในมื้อต่อไปแทนอยู่ดี และการงดมื้ออาหารอาจทำให้เราะเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารได้นะครับ


ถ้าหิวตอนกลางคืน ผมมีเคล็ดลับก็คืออาจกินกล้วย/ แอปเปิ้ลสักครึ่งลูก หรืออาจจะเป็น นมเปรี้ยว /โยเกิร์ตสักถ้วย ก็สามารถช่วยได้ครับ และจะแปลกใจว่าทำไมไม่อ้วนเลย เพราะนมเปรี้ยวมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อยู่และสามารถช่วยระบบย่อยอาหารของเราให้ย่อยได้ดีขึ้นครับ สำหรับเพื่อนๆที่ควบคุมอาหารโดยวิธี IF (intermittent fasting) ผมจะขอข้ามไปก่อน ไว้คุยกันคลิปต่อๆไปนะครับ

เคล็ดลับข้อที่ 4 : เลิกสูบบุหรี่ และไม่เข้าใกล้คนสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่มีอันตรายมากนะครับ ผมว่าอันตรายยังไงคงไม่ต้องบอก เพื่อนๆคงรู้จากภาพที่ซองบุหรี่กันหมดแล้ว ว่าทำให้เกิดทั้งโรคมะเร็ง ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อลิ่มเลือดอุดตันในปอดที่สูงกว่าวัคซีนโควิดหลายพันเท่าเลยนะครับ แต่สำหรับคนที่สูบอยู่แล้วจะให้เลิกนะหรอ ของบอกว่ายากกกกกกกกกกกกก!!! มากกกกกก!! ครับ เพราะบุหรี่เป็นยาเสพติดที่ผู้สูบจะไม่สามารถเลิกได้ง่ายๆแน่นอนครับ


สำหรับเคล็ดลับการเลิกบุหรี่ของผม ก็คือต้องตั้งใจอย่างแน่วแน่ แล้ว "หักดิบ" ครับ วิธีนี้ได้ผลมากหลายคนแล้ว รวมถึงคุณตาของผมด้วย ท่านสูบวันละ 2 ซองมาตั้งแต่หนุ่มจะอายุ 60 ปีก็ยังเลิกได้แบบหักดิบนะครับ โดยต้องไม่ซื้อบุหรี่ติดบ้านไว้เลย ไม่พกไฟแช็ก และพยายามไม่อยู่ใกล้เพื่อนที่สูบบุหรี่ครับ


บุหรี่นอกจากจะอันตรายกับคนสูบแล้ว ก็ยังอันตรายมากกับคนใกล้ตัวที่สูดควันบุหรี่เข้าไปด้วยนะครับ ที่เราเรียกว่าบุหรี่มือสองนั่นเอง หากคุณยังเลิกบุหรี่ไม่ได้ อย่าไปสูบทำร้ายลูกหลานให้เค้าอายุสั้นนะครับ มันบาป ^^"

เคล็ดลับข้อที่ 5 : นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และเครียดให้น้อย

การนอนพักผ่อนให้เพียงพอ มีความสำคัญมากๆไม่น้อยกว่าข้ออื่นที่กล่าวมาเลยนะครับ เพื่อนๆสังเกตง่ายๆ หากวันไหนเรานอนน้อย เราจะหงุดหงิดง่าย ทำงานอะไรก็สมองไม่แล่น มึนไปหมดใช่ป่ะคับ เคล็ดลับในการนอนหลับง่ายของผมก็คือ ต้องไม่เล่นมือถือก่อนนอน เพราะแสงดีฟ้าจากจอมือถือจะกระตุ้นระบบประสาทของเราให้ตื่นตัว และหลับยากครับ ควรชาร์ตแบตมือถือไว้ใกล้จากเตียงสักนิด และปิดเสียงด้วยก็จะดีมากครับ


เรื่องความเครียดเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ และห้ามยากเสียด้วย เคล็ดลับในการลดความเครียดของผมก็คือการปลงครับ บางครั้งใครๆเค้าก็ไม่ได้เป็นอย่างใจเราคิดเป็นเรื่องปกติ เพราะตัวเราเองยังไม่เป็นตามใจเราคิดทุกเรื่องได้เลยเนอะ 555 อีกอย่างก็คือใครจะพูดถึงเรายังไง ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เราก็ยังเป็นตัวเราเหมือนเดิมครับ ไม่ต้องเครียดเลย และเวลาจะพิสูจน์ความจริงทุกอย่างเองครับ ทองแท้ไม่กลัวไฟ ขอบอกเลย ^_^

เคล็ดลับข้อที่ 6 : ตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

บางครั้งเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเรามีโรคอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า เช่นบางคนแม้อายุน้อยและผอม แต่ก็มีไขมันในเลือดสูงได้ และเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตั้งแต่อายุน้อยได้ เพราะมีกรรมพันธุ์ของโรคไขมันสูงซ่อนอยู่ (familial dyslipidemia) เป็นต้น ดังนั้นการตรวจสุขภาพทุกปีก็อาจเป็นสิ่งที่จำเป็นนะครับ โดยมีเกณฑ์ที่แนะนำในคนที่ไม่มีโรคประจำตัวดังนี้

  1. ความดันโลหิต ควรน้อยกว่า 120/90 mmHg หรือสูงสุดไม่ควรเกิน 140/90 mmHg

  2. ชีพจร ควรสม่ำเสมอ เร็วไม่ควรเกิน 100 ครั้งต่อนาที และไม่ควรช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาที (แต่ในคนแข็งแรงดีอาจต่ำได้ถึง 50 ครั้งต่อนาทีครับ)

  3. ระดับน้ำตาล FBS ไม่ควรเกิน 100 mg/dL และระดับน้ำตาลสะสม HbA1C ควรน้อยกว่า 6 %

  4. ไขมันคลอเลสเตอรอล <200 mg/dL ไขมันเลว LDL <115 mg/dL และไขมันดี HDL ควรมากกว่า 40 mg/dL ในผู้ชาย และมากกว่า 50 mg/dL ในผู้หญิง

  5. การตรวจอื่นๆสามารถเลือกทำเพิ่มเติมได้นะครับ เช่นตับ ไต เม็ดเลือด ปัสสาวะ เอกเรย์ปอด รวมถึงคลื่นไฟฟ้าห้วใจ (ECG : Electrocardiogram)

เคล็ดลับข้อที่ 7 : คิดสักนิดก่อนเชื่อข้อมูลใน Social Media

ตอนนี้ใครคิดอะไรไม่ออกก็ถามอากู กูเกิลกันหมดแล้วนะครับ ค้นหาข้อมูลอะไรที ก็มีให้เลือกอ่านเลือกดูกันเต็มไปหมด ไม่รู้จะเชื่อใครดี ผมว่าเพื่อนๆทุกคนฉลาดกันอยู่แล้วว่าควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อใคร แค่อยากให้ฉุกคิด และตรวจสอบที่มากันสักนิดก่อนเชื่อ ก่อนแชร์ โดยเฉพาะข้อมูลทางการแพทย์ ถ้าไม่แน่ใจก็ถามลองถามเพื่อนๆหมอ หรือจะโพสถามผมใต้คลิปก็ได้นะครับ ยินดีตอบทุกคำถามเลย

สรุป: เคล็ดลับ 7 ประการ ดูแลหัวใจ ไม่ต้องใช้ยา

  1. ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน และดื่มน้ำมากๆ

  2. รับประทานอาหารให้หลากหลาย เดินสายกลาง

(เน้นผักผลไม้ หลีกเลี่ยงของมัน ผัด ทอด เค็มจัด หรือหวานจัด)

  1. ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน

  2. เลิกสูบบุหรี่ และไม่เข้าใกล้คนสูบบุหรี่

  3. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เครียดให้น้อย

  4. ตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง

  5. คิดสักนิดก่อนเชื่อข้อมูลใน Social Media

หวังว่าคลิปนี้จะมีประโยชน์ต่อเพื่อนๆบ้างนะครับ หากมีคำถามก็สามารถเขียนไว้ในช่องคอมเม้นต์ใต้คลิปเลยนะครับ ก่อนจากกันไปฝากเพื่อนๆช่วยกดติดตามช่องยูทูป DRK Channel เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ กดตามลิงค์นี้เลย พบกันใหม่คลิปหน้า สวัสดีครับ


https://www.youtube.com/channel/UCF3iOWwldQehnS5v7t6a9Rw/SeattleWebSearch?sub_confirmation=1


★☆★ ดีอาร์เค ชาแนล ★☆★

ช่องแห่งรอยยิ้ม อิ่มด้วยสาระ

โดยนายแพทย์ กิจจา จำปาศรี (หมอเต้ กิจจา)

KITCHA CHAMPASRI, MD #doctorkitcha