การชะลอการตัดสิน
(Holding Judgment)
การตัดสิน (Judgement) หมายถึง "การสร้างข้อสรุป" จากเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ ข้อสรุปดังกล่าวประกอบกับความรู้สึกที่มี มักจะนำไปสู่การตัดสินใจ (Decision Making) ของคนในโอกาสต่าง ๆ
ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
ข้อเท็จจริง และ ความคิดเห็น
สมองของมนุษย์ถูกออกแบบให้มีกระบวนการตัดสินโดยอัตโนมัติในสถานการณ์ต่าง ๆ การตัดสินสถานการณ์อย่างรวดเร็วเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตโดยไม่ต้องใช้พลังงานหรือเวลาเพื่อทำความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น แต่นั่นทำให้โดยทั่วไป มนุษย์มักจะคิดและตัดสินสถานการณ์ต่าง ๆ เร็วและไม่ได้ผ่านการตระหนักอย่างแท้จริง
การฝึกฝนแยกแยะ "ข้อเท็จจริง" และ "ความคิดเห็น" เป็นขั้นตอนแรกในการฝึกฝนให้ตนเองทบทวนกระบวนการทำงานทางสมองของตนเอง เพื่อให้มีความตระหนักและความอดทนกับผู้อื่นมากขึ้นในการทำงานและสื่อสารกับผู้อื่น ดังนั้นขั้นตอนแรกที่จะช่วยให้คุณสามารถฝึกฝน "การชะลอการตัดสินของตนเอง" คือการเรียนรู้เกี่ยวกับ "ข้อเท็จจริง" และ "ความคิดเห็น" นี้ โปรดศึกษาวิดีโอ 2 วิดีโอด้านล่าง
การสับสนระหว่าง "ความคิดเห็น" และ "ข้อเท็จจริง" คลิก
ความหมายของข้อเท็จจริง (Fact) และ ความคิดเห็น (Opinion) คลิก
หากก่อนที่จะดูวิดีโอ คุณคิดว่าตนเองมีความเข้าใจ "ข้อเท็จจริง" และ "ความคิดเห็น" ดีอยู่แล้ว โปรดชะลอการตัดสินของตนเอง และเปิดใจศึกษาวิดีโอทั้งสองก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าคุณเข้าใจความหมายที่ถูกต้อง
ฝึกคิดด้วย Ladder of Inference
จากวีดิโอนี้ เราเห็นอะไรบ้าง
ในมุมมองเราคิดว่า วีดิโอนี้ต้องการจะสื่ออะไร?
เพราะหลายๆ ครั้ง เรามักจะด่วนสรุป หรือมีความอคติ จึงทำให้ตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดความขัดแย้งกับผู้อื่นได้ "Ladder of Inference หรือบันไดแห่งการอนุมาน" จะช่วยให้เราสามารถตรวจสอบความคิดของเราอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อมองโลกอย่างไม่มีอคติและช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น
Ladder of Inference คืออะไร
แนวคิดเบื้องหลังคือ ช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการตัดสินจากประสบการณ์ในอดีต อคติ หรือปัจจัยอื่นๆ
เป็นการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการความคิดที่เกิดขึ้นภายในสมอง ซึ่งใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที
เป็นการอธิบายกระบวนการคิดที่เราทำโดยปกติ ไม่ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงในการตัดสินใจ หรือการกระทำ ซึ่งแบ่งเป็น 7 ขั้นตอน
รับประสบการณ์: มีความจริงและข้อเท็จจริงอยู่รอบตัว ขั้นตอนแรกในการอนุมานคือการสังเกตข้อมูลเหล่านั้น
เลือกรับข้อมูล: เราจะกรองข้อมูลที่คิดว่าไม่เกี่ยวข้องออกไปอัตโนมัติตามความเชื่อและประสบการณ์ก่อนหน้า
ทำให้มีความหมาย: กำหนดความหมายให้กับข้อมูลนั้นตามประสบการณ์ อคติ และความเชื่อในอดีตของเรา
ตั้งสมมติฐาน: ตั้งสมมติฐานตามความหมายที่เราให้กับข้อมูล ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวและแตกต่างตามบุคคล
สร้างข้อสรุป: ได้ข้อสรุปจากการตีความและสมตติฐาน
เชื่อแบบนั้น: ยืนยันนำความเชื่อเดิมมาใช้ในการกำหนดการตัดสินใจ
การลงมือทำ: ลงมือดำเนินการที่มาจากความเชื่อ โดยไม่ได้มาจากข้อเท็จจริง
เริ่มจากปลายบันได ที่ประสบการณ์ในอดีตทำให้เราสังเกตเห็นข้อมูลและเหตุการณ์บางอย่าง และไม่เห็นบางอย่าง จากนั้นปัจจัยด้านวัฒนธรรม การเลี้ยงดู วิธีมองโลกของเรา ทำให้เราเลือกตามความเชื่อและประสบการณ์ก่อนหน้าของเรา สร้างความหมายกับข้อมูลและเหตุการณ์นั้น ๆ แล้วใช้สมมติฐานที่มีอยู่ของเรา (บางครั้งไม่ได้ผ่านการพิจารณา) เป็นข้อสรุป แล้วพัฒนาความเชื่อตามข้อสรุปเหล่านี้ จากนั้นจะลงมือทำที่สิ่งดูเหมือนว่าจะถูกต้องตามความเชื่อของเรา
พยายามสังเกตว่า ข้อสรุปของเรามาจากการอิงโดยอนุมาน ไม่ใช้ข้อเท็จจริง
แต่ละคนมีข้อสรุปแตกต่างกัน แต่ละคนคิดว่าข้อสรุปของตนมีความชัดเจน จึงไม่พยายามหาที่มาของข้อสรุปนั้น
เราคิดว่าผู้อื่นควรมองโลกเหมือนเรา เมื่อเราไม่เห็นด้วยกับผู้อื่น มักจะไม่เห็นด้วยที่ข้อสรุป ทำให้ยากในการแก้ไขความแตกต่างและเรียนรู้จากกันและกัน
การใช้เครื่องมือ
เริ่มใช้เครื่องมือด้วย "การหยุด" เพื่อพิจารณาเหตุผล หลีกเลี่ยงการกระโดดไปสู่ข้อสรุป
จากนั้นกลับลงบันไดมา "ตั้งคำถาม" เช่น ทำไมเราถึงใช้สมมติฐานนี้ ทำไมเขาถึงเชื่อแบบนั้น
เมื่อหาช่องว่างในเหตุผลได้ชัดเจน เช่น ขอบเขตข้อมูลกว้างขึ้น ก็กลับขึ้นบันไดอีกครั้ง
การนำไปใช้
ตระหนักในความคิดและเหตุผลของเราเอง พยายามหาข้อจำกัดหรือจุดบอดของตัวเอง
ศึกษากระบวนการคิดของผู้อื่น โดยการถามถึงสมมตติฐาน เช่น ขอให้อธิบายสมมติฐานของเขา
สร้างความชัดเจนให้ผู้อื่นเห็นว่า เรามีกระบวนการคิดอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ท้าทาย อาจจะมีข้อขัดแย้งกับข้อสรุปที่แตกต่างกัน ทำให้เราต้องค่อย ๆ อธิบายการคิดของเรา รวมถึงผู้อื่นด้วย ซึ่งเขาอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่อย่างน้อยเขารู้ว่ามีที่มาอย่างไร
เรียบเรียงโดย มูลนิธิ ทีช ฟอร์ ไทยแลนด์