ถาม - ตอบ เรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับการสร้างพระผงจักรพรรดิ

Post date: Oct 3, 2011 3:06:23 PM

วัตถุประสงค์ของการจัดสร้างพระผง และแจกพระผงจักพรรดิคืออะไร?

อย่างที่ทราบดีว่าเจตนาของพวกเราหลักๆ นั้นเป็นไปเพื่อการสืบสานพระศาสนา ตอบแทนคุณครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า และอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ เป็นที่สุด เนื่องจากการสร้างพระผงฯ นี้เป็นสูตรของหลวงปู่ดู่ และอย่างที่พวกเราก็ทราบกันดีว่า ณ ขณะนี้ลูกศิษย์สายหลวงปู่ดู่ที่ยังอยู่และมีการจัดสร้างพระผงก็มีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับปริมาณของผู้ที่ต้องการพระผงจากท่านไว้บูชา

ทางคณะศิษย์ที่อ่อนประสบการณ์แต่มีความศรัทธาอย่างพวกเรา ครั้งหนึ่งเคยได้รับความเมตตาจากครูบาอาจารย์ ได้พระผงมาสำหรับกำภาวนา ทำสมาธิ รักษาโรค คุ้มครองป้องกันภัย ฯลฯ จึงได้ขอไปเรียนวิธีการสร้างพระผงจากหลวงตาม้าเมื่อหลายปีมาแล้ว (ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็มีหลายคณะที่ทำการสร้างพระผงแจก) หลวงตาม้าเคยกล่าวไว้ว่า "ของแจกฟรี ไม่เคยพอ" เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะทุกวันนี้ปะคำและพระผงที่หลวงตาสร้างก็ไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการของ คณะศิษย์ที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลวงตาม้าท่านยังเคยกล่าวสมัยที่พวกเราไปกราบเรียนเรื่องการสร้างพระใหม่ๆ ว่า "ไม่ค่อยมีใครทำได้นานหรอก" ตอนนั้นยังใหม่ ไฟแรง ยังนึกค้านกับหลวงตาในใจว่า ก็ไม่เห็นยากอะไรนี่นา สนุกดีออก ...

ครั้นเวลาล่วงเลยไป จึงได้รู้ซึ้งว่าทำไม หลวงตาจึงกล่าวเช่นนั้น เพราะขั้นตอนในกาีรสร้างพระไม่ได้เริ่มต้นและสิ้นสุดที่การวางพิมพ์ คนปูน แล้วก็เทปูนลงพิมพ์ ... แต่จริงๆ แล้วต้องพูดตั้งแต่ การเริ่มเท ไปจน การแกะพิมพ์ แช่น้ำมนต์ ล้างพิมพ์ น้ำพระมาผึ่งลมให้แห้ง พิมพ์บทสวด พับ บรรจุซอง (ถ้าเป็นพระบูชาก็ต้องมีการแต่งองค์พระ พ่นสี) ฯลฯ พวกเราเลยนำไปเล่าให้หลวงตาฟัง แล้วโอดครวญว่ามันเหนื่อยจริงๆ จนแทบอยากจะเลิกเลยทีเดียว หลวงตาหัวเราะ แล้วก็บอกว่า "มันก็คือการ สร้างบารมีนั่นแหละ ในระหว่างทำเราก็ใช้เวลาให้คุ้มค่าซิ จับภาพพระไป ดูลมหายใจไป สวดบทจักรพรรดิไปด้วย ถือเป็นการทำสมาธิไปในตัว" แล้วหลวงตาก็กล่าวติดตลกแบบอารมณ์ดีว่า หลวงตามีพระช่วยล้างพิมพ์ เลยไม่ต้องเหนื่อยล้างเอง

อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ หนึุ่่งในศิษย์ของหลวงปู่ดู่ เคยสอบถามพวกเราว่า "สร้างพระเพื่ออะไร" ตอน แรก พวกเราไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านถึงถามเช่นนี้ เพราะท่านเองก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่ดู่ น่าจะทราบอยู่แล้ว ตอนหลังท่านจึงขยายความว่า การสร้างพระ ไม่ใช่สักแต่ว่าสร้าง สร้างแล้วก็กองทิ้งไว้ ไม่เกิดประโยชน์ ก่อนที่เราจะทำ เราต้องถามตัวเองให้ชัดเจนเสียก่อน ว่าจุดมุ่งหมายของเรา สร้างไปเพื่ออะไร สร้างแล้วนำไปไว้ที่ไหน แจกใคร ฯล

พวกเราโชคดีมีโอกาสได้สร้างพระผงฯ ถวายหลวงพี่เอก วัดเขาแร่ หลายครั้ง สำหรับนำไปใช้แจกในโครงการพุทธศาสนาสงเคราะห์ในถิ่นธุรกันดาร ท่านเมตตาอธิษฐานจิตมวลสารที่พวกเรานำไปให้ท่านตรวจสอบก่อนลงมือสร้าง และยังมอบน้ำยาอุทัยทิพย์หลวงปู่ชื้น รวมไปถึงน้ำมนต์ 500 บ่อให้พวกเรานำไปผสมในพระผงด้วย และนอกเหนือจากมวลสารที่เราได้รับแล้ว ยังมีคำสอนที่พวกเราไม่เคยลืม และจำใส่ใจทุกครั้งเวลาจะลงมือสร้างพระ

หลวงพี่เอกท่านกล่าวว่าพระผงจักรพรรดิ คือของสูง คนเขาเมื่อได้รับแล้วก็นำไปกราบไหว้ บูชา เราคนทำก็ต้องทำตัวให้ควรค่าแก่ของที่เขานำไปบูชา เจตนาเราทำเพื่ออะไรย่อมรู้อยู่ และเจตนาที่ตั้งนั้นก็เป็นของละเอียด ดังนั้นขั้นตอนในการสร้างพระก็จะต้องละเอียดด้วย วันไหนจิตใจไม่พร้อม ไม่สบายใจ ไม่อยากทำ ก็อย่าเพิ่งไปทำ เพราะเราทำเน้นคุณภาพ ไม่ใช่เน้นปริมาณ เราไม่ใช่โรงงานทำพระ ... สาเหุตที่ท่านกล่าวสอนข้าพเจ้าเช่นนี้เพราะช่วงนั้นเร่งสร้างพระ ทำเพื่อปริมาณ เพราะมีคนขอเยอะ ไหนจะเหนื่อยทั้งงานประจำ ไม่สบาย ง่วงนอน ฯลฯ ก็ยังต้องอดทนทำ ท่านจึงเมตตาสอน พร้อมกับให้ตั้งใจทุกครั้งที่ทำ ถือเป็นการสร้างความเพียรอย่างหนึ่ง "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และธรรมะของพระพุทธเจ้าคือของละเอียด หยาบคายจะไปนิพพานได้อย่างไร" ข้าพเจ้า ยังจำคำพูดของท่านประโยคนี้ได้ติดหู ท่านยังกล่าวอีกว่า "คุณประโยชน์นั้นมีตั้งเยอะ จะจับตรงไหนก็ล้วนเป็นประโยชน์ทั้งนั้น ทำพระไป จับลมหายใจไป ก็เป็นกรรมฐาน ดูภาพพระที่ทำ แล้วภาพพระติดตา ก็ได้พุทธานุสติกรรมฐาน อย่างพระที่เราทำถ้าเป็นสีขาว ก็เป็นกสินสีขาว พระสีทองก็กสินสีเหลือง เห็นไหม ในระหว่างทำ ถ้าตั้งใจก็ถือเป็นการปฏิบัติไปด้วยเหมือนกัน"

พวกเราโชคดีที่มีโอกาสได้สร้างพระผงฯ ถวายครูบาอาจารย์หลายๆ ท่าน แต่เหตุผลที่ไม่อยากนำำมากล่าวถึงในที่เป็นเพราะว่า ไม่อยากถูกมองว่านำชื่อเสียงของครูบาอาจารย์มากล่าวอ้าง เราไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลย และไม่ได้อยู่ในความคิดของเราเลย แม้แต่นิดเดียว กลุ่มของพวกเราเพียงแค่ต้องการอยากจะสร้างพระผงฯ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมเท่าันั้น เพื่อสืบสานพระศาสนา ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และตอบแทนคุณครูบาอาจรย์เท่านั้นเอง

จากที่กล่าวมาเมื่อกี้ที่ว่าอยากทำเงียบๆ แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้เอามาแจกในเวบ ...

แบบนี้มิเท่ากับเป็นการโปรโมทกลุ่มตัวเองหรือ?

กลุ่มของพวกเราเคยคิดเรื่องนี้หลายครั้ง จากเดิมที่เคยเล่าว่าทำถวายแบบเงียบๆ มาโดยตลอด แต่สาเหตุของการเปลี่ยนใจเกิดขึ้นมาจากการสนทนากับหลวงตาม้า เรียนถามท่านว่าท่านสร้างพระแจกทำไมตั้งเยอะตั้งแยะ ค่าใช้จ่ายก็มิใช่น้อย อีกทั้งพระของท่านยังเลี่ยมพลาสติก และร้อยสร้อย บางครั้งก็ร้อยปะคำให้เสร็จสรรพ เท่าที่ทราบ ค่าใช้จ่ายตรงนี้เดือนนึงก็ตกหลายหมื่นบาท

หลวงตากล่าวว่า สมัยของหลวงปู่ดู่ ท่านก็สร้างพระแจก ท่านบอกว่าพระท่านต่อไปจะมีค่า เพราะคุณประโยชน์มากมายมหาศาล เนื่องจากหลวงปู่ดู่ท่านได้อธิษฐานไว้ ไม่ว่าจะใช้กำภาวนา ซึ่งบางคนก็โชคดี สัมผัสพลังงานของ "พระดิ้นได้" ได้ด้วยตนเอง คนที่ป่วย นำพระผงไปใช้ทำน้ำมนต์ก็ช่วยทุเลาอาการของโรคลง บางคนก็หาย บางคนที่ตั้งใจภาวนา สวดมนต์บ่อยๆ ชีวิตก็ดีขึ้น อีกทั้งท่านยังกล่าวด้วยว่า พระของหลวงปู่ดู่ยังกันรังสี กันนิวเคลียร์ได้ด้วย

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นนี่เอง หลวงตาม้าท่านจึงกล่าวว่า "เชื่อไหมล่ะ ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอแจกหรอก" และ ณ เวลาปัจจุบันข้าพเจ้าเองก็เห็นกับตาแล้วว่า เท่าไหร่ก็ไม่พอแจกจริงๆ

นอกเหนือจากนี้ ในปัจจุบันภัยพิบัติได้ทวีความรุนแรงขึ้น การมีวัตถุมงคลไว้บูชา ไว้เพื่อระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ย่อมเกิดอานิสงส์ป้องกันตนเองได้ ข้าพเจ้าเองเคยเรียนถามหลวงตา ท่านก็กล่าวว่าจริง ... ผู้ใดที่บูชา ศรัทธา และหมั่นสวดมนต์ อานุภาพต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้จริง

จึงส่งผลให้ทางกลุ่มเกิดกำลังใจ และความตั้งใจที่อยากจะเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในการช่วยกระจายพระผงจักรพรรดิออกไปให้ได้มากที่สุด อย่างที่หลวงตาเคยกล่าวไว้ว่า "ประโยชน์มันอยู่ตรงที่ ถ้ามีแม้เพียงสัก 1 คน ที่ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ แล้วเข้าถึงพลังงานของหลวงปู่ แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม" ณ ตอนนั้นข้าพเจ้าเองยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่แค่ได้ฟังที่หลวงตาพูด ก็รู้สึกได้ว่าช่างเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน และน่าจะมีส่วนที่ช่วยเหลือหรือป้องกันเรื่องภัยพิบัติได้บ้างไม่มากก็น้อย

มีหลายๆ คนเคยถามข้าพเจ้าว่า"ไม่กลัวเป็นการโปรโมทกลุ่มตัวเองหรือ" ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันเจตนารมณ์เดิม ... วันนี้บางท่านที่ได้รับพระไปอาจเกิดความคลางแึคลงใจเพราะกลุ่มที่ทำเป็น เพียงแค่คณะศิษย์ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง แต่ถ้าท่านเหล่านั้นศรัทธา บูชาด้วยความเคารพ ตั้งใจ และเมื่อสัมผัสพลังงานได้ สิ่งที่ท่านเหล่านั้นจะนับถือคงมิใช่กลุ่มของพวกข้าพเจ้าเป็นแน่ เพราะผู้ที่ได้รับพระไปย่อมจะต้องขวนขวายหาคำตอบว่าครูบาอาจารย์ของคนกลุ่ม นี้เป็นใคร และสุดท้ายแล้วพระผงของคณะศิษย์อย่างพวกเรา ก็จะนำพาทุกๆ ท่านไปสู่ครูบาอาจารย์ของพวกเราอยู่ดี ซึ่งเหตุผลนี้ยังเป็นจุดประสงค์แฝงของพวกเราด้วย เพราะพวกเราพูดเสมอว่า

"พระดี มิใช่จากพวกเรา แต่เพราะครูบาอาจารย์ดีต่างหาก พระจึงดีได้"

พระผงฯ เหล่านี้ปลุกเสกโดยใคร?

คำถามยอดฮิตที่อดคิดไม่ได้ (เป็นเรื่องธรรมดา)

คำถาม นี้เป็นคำถามยอดฮิตที่ข้าพเจ้าจำได้ว่า ตอบบ่อยมากๆ ... ในสมัยตอนที่ทางกลุ่มสร้างพระผงยังไม่เยอะ ทุกครั้งที่หลวงตาม้าท่านมากรุงเทพ ก็จะหอบพระผงฯ ไปให้ท่านอธิษฐานจิต หรือเวลามีงานพิธีของครูบาอาจารย์ที่สำคัญๆ พวกเราก็จะหอบพระผงฯ ไปเข้าพิธีด้วย

ครั้นเวลาผ่านไป ปริมาณการสร้างพระผงที่จากเดิมมีแค่เดือนละ 1-3 ถัง กลายเป็น 10-15 ถัง พระบูชาบางเดือนเป็นร้อยๆ องค์ ลำบากทั้งคนหอบหิ้ว แบกไปอธิษฐานในแต่ละที่ จนสุดท้ายข้าพเจ้าจึงได้เรียนถามหลวงตาว่า จะเป็นอะไรไหม หากไม่หอบมาให้ท่านอธิษฐานอีก พระผงฯ จะยังมีพุทธคุณเทียบเท่ากับที่นำมาให้หลวงตาอธิษฐานไหม หลวงตาเมตตาตอบว่า "ให้หลวงปู่มาเสกซิ" ข้าพเจ้าทำหน้างงๆ แล้วกราบเรียนหลวงตาแบบผู้ไม่รู้ว่า ข้าพเจ้ามิใช่หลวงตา เป็นเพียงเด็กน้อยธรรมดา จะมาปลุกเสกเองก็คงจะไม่ใช่ หลวงปู่จะมาเมตตาเสกพระได้อย่างไร หลวงตาหัวเราะ แล้วก็ตอบว่า เรานึกถึงท่าน เราทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำไมท่านจะไม่มา เราเป็นเพียงแค่ทางผ่านของพลังงานท่าน จะทำอะไรก็นึกถึงท่าน ท่านก็เมตตามาทำให้ ไม่ต้องหอบไป - หอบมาให้เมื่อยหรอก

ข้าพเจ้ารับคำกลับไปด้วยความงงๆ แล้วก็กลับบ้านมาลองทำดู ในขณะทำก็ตั้งจิตอธิษฐานบอกกล่าวหลวงปู่ดู่ผู้เป็นอาจารย์ "แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้กราบท่านสมัยยังมีชีวิต แต่ ณ ขณะนี้ข้าพเจ้าและัคณะก็มีความตั้งใจจริงๆ ที่จะสร้างพระผงเพื่อเชิดชูคุณของหลวงปู่ดู่ และตั้งใจที่จะสร้างพระเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อยากให้ผู้ที่ศรัทธาเมื่อรับพระไปแล้ว สามารถสัมผัสถึงพลังงานของพระ และของหลวงปู่ได้ หากเขามีความทุกข์ใจ ทุกข์กาย ขอเมตตาหลวงปู่ได้โปรดช่วยเหลือ ขอพระผงที่พวกข้าพเจ้าสร้างจงมีพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพ พระสังฆานุภาพ เฉกเช่นเดียวกับที่หลวงปู่ดู่ได้สร้างเองทุกประการ ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ได้โปรดเสด็จมาเป็นประธาน ขอบารมีครูบาอาจารย์ที่ข้าพเจ้านับถือทุกพระองค์ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน และพรหมเทพเทวาทั้งหลายที่เกี่ยวเนื่องก็ดี ไม่เกี่ยวเนื่องก็ดี ทั้งสามแดนโลกธาตุ

ได้โปรดช่วยเมตตาประสิทธิพระผงจักรพรรดิทั้งหมดทั้งมวลด้วยเทอญ"

ข้าพเจ้าใช้วิธีนีเรื่อยมา จนเมื่อมีโอกาสได้กราบหลวงตาอีกครั้ง ก็นำพระไปให้ท่านดู เล่าให้ท่านฟัง และสอบถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ท่านตอบแค่สั้นๆ ว่า"ใช้ได้" แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก ขอสารภาพตามตรงว่า ข้าพเจ้าเองก็ยังคลางแคลงใจอยู่ลึกๆ ว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลจริงๆ หรือ เกิดผู้ที่มีความสามารถสัมผัสพลังงานได้ มาจับพระแล้วไม่มีพลังงานอะไรเลย จะทำอย่างไร ข้าพเจ้าสร้างพระไปก็สงสัยไป

จนวันหนึ่งลูกศิษย์หลวงพี่เอกได้โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า แล้วบอกว่าหลวงพี่เอกฝากมาบอก ตอนนั้นข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก เพราะเคยวานให้พี่ท่านนั้นเลียบๆ เคียงๆ ถามหลวงพี่เอกให้ที ว่าการสร้างพระของข้าพเจ้ามีอะไรบกพร่อง ที่ต้องแก้ไขอีกบ้าง ข้าพเจ้าคิดว่าจะต้องโดนติงเรื่องนี้แน่ๆ เลยเป็นกังวลมาตลอด พี่ท่านนั้นบอกว่าหลวงพี่ฝากมาบอกว่า "อีโง่" ข้าพเจ้างงเป็นไก่ตา แตก พี่ท่านนั้นเล่าให้ฟังว่า ตอนแรกก็อึ้งๆ ถามย้ำหลวงพี่ว่าจะให้มาบอกกับข้าพเจ้าแบบนี้จริงๆ หรือ ท่านบอกว่า "เออ ให้มาบอกมันแบบนี้แหละ" แล้วพี่เค้าก็หัวเราะ เหตุผลเพราะว่าท่านบอกว่าสิ่งที่ทำนั้นดีอยู่แล้ว มัวแต่ไปกังวลอะไรไม่เข้าเรื่อง แทนที่จะได้บุญขณะทำ จิตก็เลยตกทุกครั้งที่ทำ พี่ท่านนั้นยังกล่าวเสริมอีกว่า

" เวลาเราสร้างพระ เราไม่ได้อธิษฐานจิตเองนี่ เราขอบารมีพระ บารมีครูบาอาจารย์ ขอท่านมาเสก ฉะนั้น อย่าไปกังวลหรือสงสัยว่าท่านจะมาหรือไม่ ในเมื่อเราทำสิ่งที่เพื่อส่วนรวม เพื่อช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา พระท่านย่อมมาสงเคราะห์อยู่แล้ว"

จากนั้นข้าพเจ้าก็พยายามเลิกคิด แต่ก็ยังมีความไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ทราบข่าวจากผู้ที่ได้รับพระไปในด้านดีๆ เช่นถูกหวย หายป่วย ทำสมาธิดีขึ้น ชีวิตดีขึ้น ฯลฯ ข้าพเจ้าจึงมั่นใจว่าบารมีพระท่านแท้ๆ ที่มาประสิทธิพระผงฯ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตอบได้เต็มปากว่าพระผงเหล่านี้ไม่ได้เสกโดยพวกข้าพเจ้า เองแน่ๆ หากแต่เป็นบารมีของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เมตตา และครูบาอาจารย์หลายๆ ท่านที่พวกข้าพเจ้าเคยได้รับมวลสารมาจากท่าน ข้าพเจ้าก็กราบเรียนและขอเมตตาท่านช่วยอธิษฐานจิตพระผงที่พวกข้าพเจ้าสร้าง ด้วย

นอกจากนี้ยังมีบางท่าน หรือรุ่นน้่องหลายๆ ท่านที่นำพระไปถวายครูบาอาจารย์ที่วัด เมื่อท่านเห็นพระผงแล้วท่านก็กล่าวว่าใช้ได้ ... หากท่านใดที่ได้รับพระผงไปแล้ว เกิดไม่มั่นใจในพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จะนำไปให้ครูบาอาจารย์ของท่านอธิษฐานจิตหรือร่วมงานพุทธาภิเษก กำกับซ้ำอีกกี่ครั้งก็ได้ เพื่อความมั่นใจได้เช่นกัน

พระที่กลุ่มนี้สร้างแจกกันมีมวลสารอะไรผสมบ้าง?

ข้อนี้ บอก ตามตรงคงไม่สามารถที่จะเขียนสาธยายออกมาให้หมดได้ เพราะมวลสารมีมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นผงจักรพรรดิที่ได้มาจากหลวงตาม้า ผงธูปจากเมืองจีนที่หมอฮ้อเมตตามอบให้มา และมวลสารสำคัญอื่นๆ ที่ใช้ในการสร้างวัตถุมงคลของหลายๆ วัดที่มีบางท่านมอบให้มา ซึ่งการที่นำมาลงตรงนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะ เหตุผลเพราะว่าวัตถุมงคลเหล่านั้นบางส่วนก็ยังมีให้บูชาเพื่อหาปัจจัยเข้า ทางวัดอยู่ ซึ่งเกรงว่าหากบางท่านมองว่าพระผงฯ ที่แจกฟรีนี้มีมวลสารเช่นเดียวกัน พาลไม่บูชาวัตถุมงคลของทางวัดคงแย่แน่ๆ

หากท่านใดสงสัย และใคร่ทราบเป็นการส่วนตัว โทรสอบถามกันน่าจะเหมาะกว่าการที่จะนำมาสาธยายในนี้ แต่แหล่งที่มานั้นยืนยันได้แน่นอน เพราะบรรดาท่านที่มอบมวลสารให้นั้นก็ยังมีชีวิตอยู่

สุดท้ายนี้ตนมีความเห็นว่า...

โดยแท้จริงไม่ได้มีิเจตนาส่งเสริมให้คนยึดติดวัตถุแต่อย่างใด

เพราะจริงแล้วตนเห็นว่าโดยเนื้อแท้ของบุญนั้นอยู่จิตโดยส่วนเดียว เห็นตนเอง ก็เห็นผู้รู้ เห็นผู้รู้ ก็เห็นพุทธะ แต่ สงเสริมให้นำวัตถุไปใช้ให้เป็นประโยชน์ เป็นอุบายในการปฏิบัติธรรม ตามที่เห็นว่าสมควร ตามจริตของตน หรือเป็นสื่้อกลางในการให้เขาได้สร้างบุญอีกทางหนึ่ง ได้อานิสงส์บุญด้วยง่ายทางหนึ่ง และเป็นการดึงดวงจิตเข้าหาพระรัตนตรัย เข้าหาธรรม เป็นที่พึ่งเป็นสรณะ ได้มีพระรัตนตรัยเป็นอนุสสติิ ช่วยปรับภพภูิม ปรับดวงจิต และช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง เป็นประโยชน์ทั้งในทางโลกทางธรรม และเป็นสัมบัติฝากไว้ในพระุพุทธศาสนาต่อไปในภาคหน้า อันจะเป็นการช่วยจรรโลงและสืบทอดพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง