จุดประสงค์การเรียนรู้
1.อธิบายความรู้เกี่ยวกับการเพิ่มมูลค่าเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญา
2.วิเคราะห์และเสนอแนวทางการเพิ่มมูลค่าเทคโนโลยี
3.ประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาในการพัฒนาผลงาน
การเพิ่มมูลค่าเทคโนโลยี
การเพิ่มมูลค่า (value addition)
หมายถึงสิ่งต่างๆที่ผู้ผลิตใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างและพัฒนาขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่ม
1.การปรับปรุงรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการ
เช่น การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้มีความสวยงามและสะดุดตาผู้บริโภค
2.การปรับปรุงให้ผลิตภัณฑ์มีหน้าที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น
เช่น การพัฒนาเตียงนอนแบบเดิมให้สามารถพับเก็บได้
3.การได้รับมาตรฐานรับรองผลิตภัณฑ์หรือบริการ
เช่น การได้รับเครื่องหมายรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.)
4.การเปลี่ยนสถานที่หรือช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการ เช่น การจำหน่ายผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์
เปิดโลกทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง ผลงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์หรือการประดิษฐ์คิดค้นของผู้สร้าง ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม 2.ลิขสิทธิ์
ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=_UOSOTcHfjs
1.ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม
หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับสินค้าอุตสาหกรรมต่าง ๆ ความคิดสร้างสรรค์นี้อาจเป็นความคิดในการประดิษฐ์คิดค้น ซึ่งอาจจะเป็นกระบวนการหรือเทคนิคในการผลิตที่ได้ปรับปรุงหรือคิดค้นขึ้นใหม่ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรมที่เป็นองค์ประกอบและรูปร่างของตัวผลิตภัณฑ์นอกจากนี้ยังรวมถึงเครื่องหมายการค้าหรือยี่ห้อ ชื่อและถิ่นที่อยู่ทางการค้า รวมถึงแหล่งกาเนิดและการป้องกันการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรมจึงสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้ สิทธิบัตร (Patent) แบบผังภูมิของวงจรรวม (Layout - Design of Integrated Circuit) เครื่องหมายการค้า (Trademark) ความลับทางการค้า (Trade Secret) ชื่อทางการค้า (Trade Name) สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications)
ความหมายของทรัพย์สินทางอุตสาหกรรมแต่ละประเภท
1. สิทธิบัตร (Patent)
เป็นการคุ้มครองการคิดค้นสร้างสรรค์ที่เกี่ยวกับการประดิษฐ์ (Invention) หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Industrial Design) ที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกาหนด ซึ่งจาแนกได้เป็น สิทธิบัตรการประดิษฐ์ สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ และอนุสิทธิบัตร
สิทธิบัตรการประดิษฐ์ (Invention Patent) หมายถึง การให้ความคุ้มครองการคิดค้นเกี่ยวกับลักษณะองค์ประกอบโครงสร้าง หรือกลไกของผลิตภัณฑ์รวมทั้งกรรมวิธีในการผลิต การเก็บรักษา หรือการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์
อนุสิทธิบัตร (Petty Patent) หมายถึง การให้ความคุ้มครองการประดิษฐ์จากความคิดสร้างสรรค์ที่มีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมาก โดยอาจเป็นการประดิษฐ์คิดค้นขึ้นใหม่หรือปรับปรุงจากการประดิษฐ์ที่มีอยู่ก่อนเพียงเล็กน้อย
สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Design Patent) หมายถึง การให้ความคุ้มครองความคิดสร้างสรรค์ที่เกี่ยวกับรูปร่างลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์ องค์ประกอบของลวดลายหรือสีของผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถใช้เป็นแบบสาหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รวมทั้งหัตถกรรมได้ และแตกต่างไปจากเดิม
ผู้ทรงสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรมีสิทธิเด็ดขาดหรือสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแสวงหาผลประโยชน์จากการประดิษฐ์หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรนั้น ภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด
2. แบบผังภูมิของวงจรรวม (Layout-Design of Integrated Circuit)
หมายถึง แบบ แผนผัง หรือภาพที่ทาขึ้น ไม่ว่าจะปรากฏในรูปแบบหรือวิธีใด เพื่อแสดงถึงการจัดวางและการเชื่อมต่อของวงจรไฟฟ้า เช่น ตัวนาไฟฟ้า หรือตัวต้านทาน เป็นต้น
3. เครื่องหมายการค้า (Trademark)
หมายถึง เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือตรา ที่ใช้กับสินค้าหรือบริการ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
เครื่องหมายการค้า (Trademark) คือ เครื่องหมายที่ใช้หรือจะใช้กับสินค้าเพื่อแสดงว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น เช่น กระทิงแดง M-150 มาม่า ไวไว เป็นต้น
เครื่องหมายบริการ (Service Mark) คือ เครื่องหมายที่ใช้หรือจะใช้กับบริการ เพื่อแสดงว่าบริการที่ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับบริการที่ใช้เครื่องหมายบริการของบุคคลอื่น เช่น การบินไทย ธนาคารกรุงไทย โรงแรมดุสิตธานี เป็นต้น
เครื่องหมายรับรอง (Certification Mark) คือ เครื่องหมายที่เจ้าของเครื่องหมายรับรองใช้หรือจะใช้กับสินค้าหรือบริการของบุคคลอื่น เพื่อเป็นการรับรองเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการนั้น เช่น เชลล์ชวนชิม แม่ช้อยนางรา ฮาลาล เป็นต้น
เครื่องหมายร่วม (Collective Mark) คือ เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการที่ใช้หรือจะใช้โดยบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจในกลุ่มเดียวกัน หรือโดยสมาชิกของสมาคม สหกรณ์ สหภาพ สมาพันธ์ กลุ่มบุคคล หรือองค์กรอื่นใดของรัฐหรือเอกชน เช่น ตราช้างของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จากัด (มหาชน) เป็นต้น
4. ความลับทางการค้า (Trade Secret)
หมายถึง ข้อมูลการค้าซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป โดยเป็นข้อมูลที่มีมูลค่าในเชิงพาณิชย์เนื่องจากข้อมูลนั้นเป็นความลับ และมีการดำเนินการตามสมควรเพื่อทาให้ข้อมูลนั้นปกปิดเป็นความลับ
5. สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications)
หมายถึง ชื่อ สัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้เรียกหรือใช้แทนแหล่งภูมิศาสตร์และสามารถบ่งบอกว่าสินค้าที่เกิดจากแหล่งภูมิศาสตร์นั้น เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ชื่อเสียง หรือคุณลักษณะเฉพาะของแหล่งภูมิศาสตร์ดังกล่าว เช่น ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ผ้าไหมยกดอกลาพูน ส้มโอนครชัยศรี ไข่เค็มไชยา เป็นต้น
ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเฉพาะที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทรัพย์สินทางปัญญา 7 ฉบับ คือ
1. พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2552 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542
2. พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543
3. พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
4. พระราชบัญญัติคุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม พ.ศ. 2543
5. พระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545
6. พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546
7. พระราชบัญญัติการผลิตภัณฑ์ซีดี พ.ศ. 2548
สิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร
สิทธิบัตร
1.สิทธิบัตรคืออะไร
สิทธิบัตร หมายถึง หนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ หรือ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สิทธิบัตร
หมายถึง การที่รัฐให้ความคุ้มครองการประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ผู้ทรงสิทธิบัตร มีสิทธิเด็ดขาด หรือสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแสวงหาประโยชน์จากการประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับสิทธิบัตรนั้นภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
การประดิษฐ์ หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับลักษณะองค์ประกอบโครงสร้างหรือกลไกของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกรรมวิธีในการผลิต การเก็บรักษา หรือการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น หรือทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม
การออกแบบผลิตภัณฑ์ หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับรูปร่างลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์ องค์ประกอบของลวดลาย หรือสีของผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถใช้เป็นแบบสำหรับการผลิตเชิงอุตสาหกรรม รวมทั้งหัตถกรรมได้
2.ผลที่จะได้รับจากสิทธิบัตร
2.1 ในด้านของประชาชน โดยทั่วๆ ไปสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ ซึ่งก็คือสิทธิบัตร นอกจากจะก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ใหม่ๆ ที่อำนวยความสะดวกต่างๆแล้วยังก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ให้ปลอดภัยแก่ชีวิตมากขึ้นด้วย เช่น ยารักษาโรคต่างๆ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆเป็นต้น ดังจะเห็นได้จากเครื่องกลเติมอากาศ หรือกังหันน้ำชัยพัฒนา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์คิดค้นเพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสียและใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพของบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นการปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาพและอนามัยของประชาชนให้ดีขึ้น การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ นี้จะทำให้ประชาชนได้รับแต่สิ่งที่ดี มีคุณภาพสูงขึ้น มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตมากขึ้น
2.2 ในด้านเจ้าของสิทธิบัตร ผู้ที่ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ ย่อมสมควรได้รับผลตอบแทนจากสังคม คือ การได้รับความคุ้มครองสิทธิบัตร ซึ่งสามารถที่จะนำการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรนั้นไปผลิต จำหน่าย นำเข้ามาในราชอาณาจักร หรือ อนุญาตให้บุคคลอื่นใช้สิทธิบัตรนั้นโดยได้รับค่าตอบแทน
3.เหตุผลในการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตร
3.1 เพื่อคุ้มครองสิทธิอันชอบธรรมของผู้ประดิษฐ์และผู้ออกแบบ เนื่องจากผู้ประดิษฐ์หรือผู้ออกแบบได้ใช้สติปัญญาและความพยายามของตนรวมทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่จะมีประโยชน์แก่มนุษย์ ดังนั้น หากการคิดค้นดังกล่าวสามารถทำให้เกิดผลตอบแทนในทางเศรษฐกิจหรือในเชิงพาณิชย์ได้ ก็ควรถือเป็นสิทธิของผู้ประดิษฐ์คิดค้นหรือผู้ออกแบบที่รัฐควรให้ความคุ้มครอง
3.2 เพื่อให้รางวัลตอบแทนแก่ผู้ประดิษฐ์และผู้ออกแบบ เนื่องจากผลงานที่ได้คิดค้นขึ้นทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สังคมก็ควรให้รางวัลตอบแทนแก่ผู้สร้างคุณประโยชน์ดังกล่าว โดยการให้ความคุ้มครองป้องกันมิให้ผู้อื่นแสวงหาประโยชน์จากผลงานดังกล่าวนั้นโดยมิชอบ
3.3 เพื่อจูงใจให้มีการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ ขึ้น เนื่องจากการประดิษฐ์คิดค้นจะต้องมีการลงทุนทั้งในด้านค่าใช้จ่าย เวลา และสติปัญญาอันพิเศษของมนุษย์แต่เมื่อมีการเปิดเผยสาระสำคัญในการประดิษฐ์คิดค้น หรือมีการผลิตเป็นสินค้าเพื่อออกจำหน่ายแล้ว บุคคลอื่นอาจสามารถลอกเลียนแบบได้โดยง่าย ดังนั้น จึงจำเป็นที่รัฐต้องให้การคุ้มครอง อันจะเป็นการกระตุ้นให้นักประดิษฐ์คิดค้นมีกำลังใจ และมีความมั่นใจในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
3.4 เพื่อกระตุ้นให้มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการประดิษฐ์คิดค้นใหม่ๆ ในการให้ความคุ้มครองนี้ ได้มีการกำหนดให้มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการประดิษฐ์คิดค้นนั้นๆ จนทำให้สามารถนำไปศึกษา ค้นคว้า วิจัยและพัฒนาต่อไปได้ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่สูงขึ้น
3.5 เพื่อจูงใจให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการลงทุนจากต่างประเทศ การจัดระบบให้มีการคุ้มครองสิทธิบัตรย่อมทำให้เจ้าของเทคโนโลยีจากต่างประเทศมีความมั่นใจในการลงทุนหรือถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ร่วมทุนในประเทศ
4.เงื่อนไขหรือลักษณะของการรับความคุ้มครองสิทธิบัตร
4.1 สิทธิบัตรการประดิษฐ์
1. ต้องเป็นการประดิษฐ์ที่คิดค้นขึ้นใหม่ คือ การประดิษฐ์ที่แตกต่างไปจากเดิม ยังไม่เคยมีใช้หรือแพร่หลายมาก่อนในประเทศ หรือไม่เคยเปิดเผยสาระสำคัญ หรือรายละเอียดในเอกสาร สิ่งพิมพ์ หรือการนำออกแสดง หรือเปิดเผยต่อสาธารณชนมาก่อนทั้งในและนอกประเทศ และยังไม่เคยได้รับสิทธิบัตรมาก่อน
2. ต้องเป็นการประดิษฐ์ที่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น คือ มีลักษณะที่เป็นการแก้ไขปัญหาทางเทคนิค หรือไม่เป็นการประดิษฐ์ที่ทำได้โดยง่ายต่อผู้ที่มีความชำนาญในระดับสามัญสำหรับงานประเภทนั้น
3. ต้องเป็นการประดิษฐ์ที่สามารถนำไปประยุกต์ในทางอุตสาหกรรมได้
4.2 สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ต้องเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่ออุตสาหกรรมซึ่งรวมถึงหัตถกรรม คือ เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีใช้แพร่หลายในประเทศ ยังไม่ได้เปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ก่อนวันขอรับสิทธิบัตร และไม่คล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว
5.สิ่งที่ขอรับสิทธิบัตรไม่ได้
5.1 การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรไม่ได้
1. จุลชีพและส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของจุลชีพที่มีอยุ่ตามธรรมชาติ สัตว์ พืช หรือสารสกัดจากสัตว์หรือพืช
2. กฎเกณฑ์และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
3. ระเบียบข้อมูลสำหรับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
4. วิธีการวินิจฉัย บำบัด หรือรักษาโรคมนุษย์ หรือสัตว์
5. การประดิษฐ์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี อนามัย หรือสวัสดิภาพของประชาชน
5.2 การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ขอรับสิทธิบัตรไม่ได้
1. แบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่
1.1 ต้องไม่เป็นแบบผลิตภัณฑ์ที่มีหรือใช้แพร่หลายอยู่แล้ว ก่อนวันยื่นขอรับความคุ้มครอง
1.2 ต้องไม่เป็นแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการเปิดเผยรูปภาพ สาระสำคัญ หรือรายละเอียด ในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้ว ก่อนวันยื่นขอรับความคุ้มครอง
1.3 ต้องไม่เป็นแบบผลิตภัณฑ์ที่เคยมีประกาศโฆษณาของสำนักสิทธิบัตรอยู่แล้วก่อนวันยื่นขอรับความคุ้มครอง
2. แบบผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
3. แบบผลิตภัณฑ์ที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
6.อายุการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตร
– สิทธิบัตรการประดิษฐ์ มีอายุ 20 ปี นับแต่วันยื่นคำขอรับสิทธิบัตร
– สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ มีอายุ 10 ปี นับแต่วันยื่นคำขอรับสิทธิบัตร
อนุสิทธิบัตร (Petty Patent)
อนุสิทธิบัตร (Petty Patent) เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากผลงานสร้างสรรค์จากการประดิษฐ์คิดค้นที่ไม่มีความซับซ้อน อาจคิดขึ้นโดยง่าย เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่มีระดับ
การพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมาก หรือเป็นการประดิษฐ์คิดค้นเพียงเล็กน้อย แต่ต้องเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่และสามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้และมีประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น
การตัดสินใจเลือกรูปแบบการขอรับความคุ้มครอง
เมื่อได้ทำการประดิษฐ์คิดค้นหรือออกแบบผลิตภัณฑ์ขึ้นมา และประสงค์จะขอรับความคุ้มครองอาจจะมีปัญหาว่าควรจะขอรับความคุ้มครองในรูปแบบใดจึงเหมาะสม ทั้งนี้ผู้ที่
ประสงค์จะขอรับความคุ้มครองควรที่จะคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. สิ่งที่คิดค้นขึ้นมานั้นเป็นการประดิษฐ์หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ในกรณีนี้สามารถที่จะพิจารณาได้ง่ายๆ ว่า ถ้าสิ่งนั้นเป็นการคิดค้นที่ก่อให้เกิดลักษณะใหม่ที่มีหน้าที่การ
ทำงาน ประโยชน์ใช้สอยก็สามารถสรุปได้ทันที่ว่าเป็นการประดิษฐ์ แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นการคิดค้นเกี่ยวกับรูปร่าง ลักษณะ หรือลวดลายที่ปรากฏอยู่บนตัวผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดความสวยงาม สามารถสรุปได้ว่าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ซึ่งควรที่จะยื่นขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์
ในกรณีที่เป็นการประดิษฐ์ ก็ต้องสินใจอีกว่าควรที่จะขอรับความคุ้มครอง สิทธิบัตรการประดิษฐ์หรืออนุสิทธิบัตร ในกรณีนี้ ผู้ขอความคุ้มครองควรที่จะคำนึงถึงต่อไปว่า
สิ่งประดิษฐ์นั้นมีเทคนิคที่ซับซ้อนหรือไม่ หากมีเทคนิคที่ซับซ้อนก็ควรที่จะขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ทั้งนี้เนื่องจากเงื่อนไขที่ว่า จะต้องเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น และสามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้นั่นคือจะต้องดูว่าลักษณะของสิ่งประดิษฐ์ควรที่จะอยู่ภายใต้เงื่อนไขใด
2. องค์ประกอบอื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า อายุการคุ้มครอง ขั้นตอนการจดทะเบียนที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เป็นต้น ซึ่งผู้ขออาจจะนำมาประกอบการพิจารณาเลือกว่าจะยื่นคำขอแบบใด
ที่มา : กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์
ศูนย์ทรัพย์สินทางปัญญาและบ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2.ลิขสิทธ์ (Copyright)
ที่มา :: thunyamon charoensuttikul https://www.youtube.com/watch?v=fXtkCDe1ui4
ลิขสิทธ์ (Copyright)
หมายถึง สิทธิแต่เพียงผู้เดียวของผู้สร้างสรรค์ที่จะกระทาการใดๆ กับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทาขึ้น โดยประเภทของงานอันมีสิทธิ์ที่กฎหมายกาหนดไว้ได้แก่ งานวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียง แพร่ภาพ หรืองานอื่นใดในแผนวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใด นอกจากนั้นกฎหมายลิขสิทธิ์ยังให้ความคุ้มครองถึงสิทธิของนักแสดงด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่ครอบคลุมถึงความคิด ขั้นตอน กรรมวิธี ระบบวิธีใช้ หรือวิธีทางาน แนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์
ประเภทของงานที่มีลิขสิทธิ์
งานสร้างสรรค์ที่มีลิขสิทธิ์ ประกอบด้วยประเภทงานต่างๆ ดังนี้
1.งานวรรณกรรม เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ คําปราศรัย รวมทั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วย
2.งานนาฏกรรม เช่น งานเกี่ยวกับการรํา การเต้น การทําท่า หรือการแสดงประกอบขึ้นเป็นเรื่องราว รวมถึงการแสดงโดยวิธีใบ้ด้วย
3.งานศิลปกรรม เช่น งานจิตรกรรม งานประติมากรรม ภาพพิมพ์ งานสถาปัตยกรรม ภาพถ่าย ภาพประกอบ หรืองานสร้างสรรค์รูปทรงสามมิติเกี่ยวกับภูมิประเทศ หรือวิทยาศาสตร์ งานศิลปะประยุกต์ ซึ่งรวมถึงภาพถ่ายและแผนผังของงานดังกล่าวด้วย
4.งานดนตรีกรรม เช่น คําร้อง ทํานอง การเรียบเรียงเสียงประสาน รวมถึงโน้ตเพลงที่ได้แยกและเรียบเรียง เสียงประสานแล้ว
5.งานโสตทัศนวัสดุ เช่น วิดีโอเทป แผ่นเลเซอร์ดิสก์ที่บันทึกข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยลําดับของภาพ หรือภาพและเสียงอันสามารถที่จะนํามาเล่นซ้ําได้อีก
6.งานภาพยนตร์ เช่น ภาพยนตร์ รวมทั้งเสียงประกอบของภาพยนตร์นั้นด้วย (ถ้ามี)
7.งานสิ่งบันทึกเสียง เช่น เทปเพลง แผ่นคอมแพ็คดิสก์ที่บันทึกข้อมูลเสียง ทั้งนี้ไม่รวมถึงเสียง ประกอบภาพยนตร์ หรือเสียงประกอบโสตทัศนวัสดุอย่างอื่น
8.งานแพร่เสียงแพร่ภาพ เช่น การกระจายเสียงวิทยุ หรือการแพร่เสียงหรือภาพทางโทรทัศน์
9.งานอื่นใดอันเป็นงานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือ แผนกศิลปะ
ผลงานที่ไม่ถือว่ามีลิขสิทธิ์
1.ข่าวประจําวันและข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร เช่น วัน เวลา สถานที่ ชื่อบุคคล จํานวนคน
ปริมาณ เป็นต้น ทั้งนี้ หากมีการนําข้อมูลดังกล่าว มาเรียบเรียงจนมีลักษณะเป็นงานวรรณกรรม อาทิ การวิเคราะห์ข่าว บทความ ผลงานนั้นอาจจะได้รับความคุ้มครองในลักษณะของงานวรรณกรรม
2.รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
3.ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คําสั่ง คําชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใด
ของรัฐหรือของท้องถิ่น
4.คําพิพากษา คําสั่ง คําวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
5.คําแปลและการรวบรวมสิ่งต่างๆ ตามข้อ 3.1 – 3.4 ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือ
ของท้องถิ่นจัดทําขึ้น
6.ความคิด ขั้นตอน กรรมวิธี ระบบ วิธีใช้หรือทํางาน แนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทาง
วิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์
การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์
การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์
สิทธิในลิขสิทธิ์จะเกิดขึ้นโดยทันทีนับตั้งแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ผลงาน โดยไม่ต้อง จดทะเบียน ดังนั้น เจ้าของลิขสิทธิ์จึงควรที่จะปกป้องคุ้มครองสิทธิของตน โดยการเก็บ รวบรวมหลักฐานต่างๆ ที่แสดงว่าได้ทําการสร้างสรรค์ผลงานนั้นขึ้นเพื่อประโยชน์ในการ พิสูจน์สิทธิ หรือความเป็นเจ้าของในโอกาสต่อไป
ใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์
บุคคลที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ได้แก่ บุคคลดังต่อไปนี้
ผู้สร้างสรรค์งาน โดยความคิดริเริ่มของตนเอง โดยไม่ลอกเลียนงานของบุคคลอื่น และอาจหมายรวมถึงผู้สร้างสรรค์งานร่วมกันด้วย
ผู้สร้างสรรค์ในฐานะพนักงานหรือลูกจ้าง
ผู้ว่าจ้างในกรณีว่าจ้างให้บุคคลอื่นสร้างสรรค์งาน
ผู้ดัดแปลง รวบรวม หรือประกอบกันเข้า โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น โดยการจ้าง หรือตามคําสั่ง หรือในความควบคุมของตน
ผู้รับโอนลิขสิทธิ์
การคุ้มครองลิขสิทธิ์
เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทําการใดๆ ต่องาน อันมีลิขสิทธิ์ของตน ดังนี้
ทําซ้ําหรือดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชน ให้เช่าต้นฉบับหรือสําเนางานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ หรือสิ่งบันทึกเสียง ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิตาม 6.1, 6.2 หรือ 6.3 โดยจะกําหนดเงื่อนไขอย่างใด หรือไม่ก็ได้ ที่ไม่เป็นการจํากัดการแข่งขันโดยไม่เป็นธรรม
อายุการคุ้มครอง
อายุการคุ้มครอง การคุ้มครองลิขสิทธิ์ จะมีผลเกิดขึ้นโดยทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงาน โดยความคุ้มครองนี้ จะมีตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และจะคุ้มครองต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ ความตาย แต่มีงานบางประเภทที่จะมีอายุการคุ้มครองแตกต่างกัน โดยสามารถแยกได้ โดยสรุป ดังนี้
อายุการคุ้มครองทั่วไป ลิขสิทธิ์จะมีอยู่ตลอดอายุผู้สร้างสรรค์ และจะมีต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
กรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้สร้างสรรค์ ลิขสิทธิ์จะมีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น หรือ 50 ปี นับแต่ได้มีการโฆษณาครั้งแรก
กรณีที่ผู้สร้างสรรค์ใช้นามแฝง หรือไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค์ ลิขสิทธิ์มีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
งานภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ลิขสิทธิ์มีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น หรือ 50 ปี นับแต่ได้มีการ โฆษณาครั้งแรก
งานที่สร้างสรรค์โดยการจ้างหรือตามคําสั่งของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงาน อื่นใดของรัฐ ให้มีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น หรือ 50 ปี นับแต่ได้ มีการโฆษณาครั้งแรก
งานศิลปะประยุกต์ ลิขสิทธิ์มีอายุ 25 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น หรือ 25 ปี นับแต่ได้มีการโฆษณาครั้งแรก
สิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์มีอะไรบ้าง?
สิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์มีอะไรบ้าง?
ลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่กฎหมายกําหนดวิธีการคุ้มครองไว้โดยเฉพาะ โดยกําหนดให้เจ้าของ ลิขสิทธิ์เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive right) ในการกระทําบางอย่างที่เกี่ยวกับงานลิขสิทธิ์ของตน และกําหนดวิธีการสําหรับการโอนและการบังคับใช้สิทธิในเรื่องลิขสิทธิ์ไว้ด้วยเช่นกัน
สิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์ มีดังนี้
1. ทําซ้ำ
การทําซ้ำ คือ การคัดลอกหรือทําสําเนาซึ่งงานลิขสิทธิ์ในส่วนที่เป็นสาระสําคัญ ไม่ว่าทั้งหมด หรือแค่บางส่วนของงาน เช่น การถ่ายเอกสาร การตีพิมพ์ การบันทึกเสียงเพลงที่เปิดจากซีดี การอัดรูป การอัพโหลดและดาวน์โหลดเพลงหรือภาพยนตร์ ฯลฯ ซึ่งการทําซ้ําจะได้งานที่เหมือนกับงานลิขสิทธิ์ต้นฉบับ
2. ดัดแปลง
การดัดแปลง คือ การทําซ้ําโดยเปลี่ยนรูปแบบใหม่ การปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม หรือการจําลอง งานต้นฉบับในส่วนอันเป็นสาระสําคัญโดยไม่มีลักษณะเป็นการจัดทํางานขึ้นใหม่ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน เช่น การแปล การรีมิกซ์เพลง การแปลงนิยายเป็นบทละคร การนําเกมมาทําเป็นภาพยนตร์ การปรับเปลี่ยน ภาพสองมิติเป็นแอนิเมชันสามมิติ ฯลฯ ซึ่งงานชิ้นใหม่ที่เกิดขึ้นจากการดัดแปลงจะไม่ได้เหมือนงานลิขสิทธิ์ ต้นฉบับอย่างเช่นการทําซ้ํา แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างโดยยังคงสาระสําคัญของงานลิขสิทธิ์ต้นฉบับ เพียงแต่ ไม่ได้แตกต่างจนถึงขนาดเกิดเป็นงานลิขสิทธิ์ขึ้นใหม่
3. เผยแพร่ต่อสาธารณชน
การเผยแพร่ต่อสาธารณชน คือ การนํางานออกให้ปรากฏต่อสาธารณชนโดยวิธีต่างๆ เช่น การจําหน่ายหนังสือที่ตีพิมพ์ การนํารูปที่วาดออกแสดงในงานจัดแสดง การเปิดเพลงในร้านอาหาร การโพสต์รูปลงสื่อสังคมออนไลน์ ฯลฯ ทําให้สาธารณชนเข้าถึงงานได้และสร้างมูลค่าให้กับตัวงานลิขสิทธิ์
คําว่า “สาธารณชน” ในที่นี้ไม่ได้มีการกําหนดไว้ชัดเจนว่าต้องมีจํานวนคนเท่าไร เพียงแต่เป็น ลักษณะที่ผู้คนโดยทั่วไปจํานวนหนึ่งอาจเข้าถึงงานได้ เช่น การเขียนนิยายลงอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะมีคนเข้ามาอ่าน หรือไม่ก็ตาม หรือการแจกบทความแก่นักเรียนในชั้นเรียน ก็ถือเป็นการเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้แล้ว แต่ถ้าหากเป็นเพียงการโพสต์รูปลงอินเทอร์เน็ตโดยตั้งสถานะเป็นส่วนตัว หรือการเปิดเพลงฟังที่บ้าน โดยมีคนฟังเป็นแค่คนในครอบครัว เช่นนี้ก็จะยังไม่เป็นการเผยแพร่ต่อสาธารณชน
4. ให้เช่าต้นฉบับหรือสําเนางาน
การให้เช่า คือ การให้ผู้อื่นใช้สอยทรัพย์สินในช่วงระยะเวลาหนึ่งโดยมีค่าตอบแทน ซึ่งสิทธิ แต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์ในการให้เช่าต้นฉบับหรือสําเนางานนั้น จํากัดเฉพาะงานลิขสิทธิ์ประเภท โปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียงเท่านั้น
1 มาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 2 นิยามคําว่า “ทําซ้ํา”
“ดัดแปลง” และ “เผยแพร่ต่อสาธารณชน” มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
5. ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น
ลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถนําไปหาประโยชน์ได้ เจ้าของลิขสิทธิ์ จึงอาจให้ประโยชน์ในส่วนนี้แก่ผู้อื่นเช่นกัน เช่น ยกค่าลิขสิทธิ์ที่ได้รับจากการอนุญาตให้ผู้อื่นใช้งานให้แก่ผู้อื่น
6. อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ
เจ้าของลิขสิทธิ์เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการทําซ้ํา การดัดแปลง การเผยแพร่ต่อสาธารณชน และการให้เช่าต้นฉบับหรือสําเนางาน แต่เจ้าของลิขสิทธิ์อาจไม่สะดวกที่จะใช้สิทธิเหล่านี้ เพราะอาจไม่ได้มี เงินทุนหรือไม่ได้รู้จักช่องทางจัดจําหน่าย เจ้าของลิขสิทธิ์จึงสามารถอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิดังกล่าวแทนตนได้
ในการอนุญาตให้ใช้สิทธิอาจมีการกําหนดเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เช่น จํานวนค่าตอบแทน ประเภทสิทธิที่อนุญาต ระยะเวลา เขตพื้นที่ ฯลฯ ทั้งนี้ เงื่อนไขที่กําหนดจะต้องไม่เป็นการจํากัดการแข่งขัน โดยไม่เป็นธรรม เช่น เจ้าของลิขสิทธิ์ในหนังสือเล่มหนึ่งอนุญาตให้สํานักพิมพ์ตีพิมพ์หนังสือของตน โดยมีเงื่อนไขว่าต้องซื้อกระดาษที่นํามาใช้ตีพิมพ์หนังสือจากเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย ถือเป็นเงื่อนไขที่เป็นการจํากัด การแข่งขันโดยไม่เป็นธรรม
การที่เจ้าของลิขสิทธิ์อนุญาตให้บุคคลหนึ่งใช้สิทธิของตน ไม่ได้เป็นการตัดสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ ในการอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธินั้น เว้นแต่ในหนังสืออนุญาตระบุเป็นข้อห้ามไว้
เช่น บริษัท A เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง อนุญาตให้โรงภาพยนตร์ B นําภาพยนตร์ออกฉายได้ โดยไม่มีข้อห้ามในการอนุญาตผู้อื่น (Non-exclusive license) เช่นนี้ บริษัท A ก็สามารถอนุญาตให้โรงภาพยนตร์ C ฉายภาพยนตร์เรื่องเดียวกันนี้ได้เช่นกัน ต่อมาบริษัท A ทําสัญญาอนุญาต ให้บริษัท D แต่เพียงผู้เดียวดัดแปลงภาพยนตร์ของตนเป็นเกมคอมพิวเตอร์ (Exclusive license) ย่อมทําให้ บริษัท A ไม่สามารถอนุญาตให้ผู้อื่นสร้างเกมจากภาพยนตร์ของตนได้อีก
สิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นการให้อํานาจเฉพาะแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ในการใช้สิทธิ หรืออนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ จึงมีลักษณะเป็นสิทธิในเชิงปฏิเสธ กล่าวคือ เป็นสิทธิที่จะห้ามไม่ให้บุคคลอื่น นอกจากตนเองที่จะทําซ้ํา ดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชน ฯลฯ งานลิขสิทธิ์ของตน และหากใครฝ่าฝืน ก็จะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ (เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย) ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์สามารถ ปกป้องสิทธิของตนได้โดยการบังคับใช้สิทธิทั้งในทางแพ่งและทางอาญา ซึ่งทําได้ทั้งการส่งจดหมายเตือน การไกล่เกลี่ย การแจ้งความ การฟ้องร้องบังคับคดี เป็นต้น
นอกจากนี้ เจ้าของลิขสิทธิ์ยังสามารถโอนลิขสิทธิ์ของตนทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่ผู้อื่นได้เช่นกัน โดยทําเป็นหนังสือสัญญาโอนลงลายมือชื่อทั้งเจ้าของลิขสิทธิ์และผู้รับโอน ซึ่งจะทําให้สิทธิต่างๆ โอนไป แก่ผู้รับโอนตามเงื่อนไขของสัญญา
สัญญาโอนลิขสิทธิ์นั้น หากไม่มีการกําหนดระยะเวลาการโอน ให้ถือว่าเป็นการโอนมีกําหนดระยะเวลา 10 ปี เมื่อพ้นกําหนดระยะเวลา 10 ปี หรือระยะเวลาที่กําหนดในสัญญาแล้ว ลิขสิทธิ์ก็จะกลับมาเป็นของ เจ้าของลิขสิทธิ์ผู้โอน เว้นแต่งานลิขสิทธิ์นั้นจะได้หมดอายุความคุ้มครองแล้ว
สิทธิต่างๆ ของเจ้าของลิขสิทธิ์ที่กล่าวมาข้างต้น เรียกว่าเป็นสิทธิในทางเศรษฐกิจ (Economic rights) ของเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่เจ้าของลิขสิทธิ์อาจมีสิทธิอีกส่วนหนึ่งหากว่าตนเป็นผู้สร้างสรรค์ด้วย เรียกว่า สิทธิในทางศีลธรรม (Moral rights) คือ สิทธิที่จะแสดงว่าตนเป็นผู้สร้างสรรค์และสิทธิที่จะห้ามไม่ให้ผู้อื่น ทําอย่างหนึ่งอย่างใดแก่งานลิขสิทธิ์จนเสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้สร้างสรรค์ ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยการรับโอนหรือโดยการจ้างจําต้องเคารพสิทธิของผู้สร้างสรรค์ในส่วนนี้ด้วย
อ้างอิงจาก : หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ของ สสวท.
สื่อการเรียนรู้
ที่มา :: https://proj14.ipst.ac.th/m3/m3-dt/
ใบงาน