จุดประสงค์การเรียนรู้
1. วิเคราะห์สมบัติของวัสดุและเครื่องมือช่างที่ใช้ในการสร้างขึ้นงาน
2. เลือกใช้วัสดุและเครื่องมือช่างในการสร้างขึ้นงานได้อย่างเหมาะสมกับลักษณะของงานและคำนึงถึงความปลอดภัย
วัสดุในชีวิตประจำวัน
สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ สร้างขึ้นจากวัสดุหลากหลายประเภท วัสดุแต่ละประเภทมีสมบัติและลักษณะที่แตกต่างกัน การเลือกใช้วัสดุให้ถูกต้องและเหมาะสมจึงมีความสำคัญต่อการออกแบบและสร้างสิ่งของเครื่องใช้
วัสดุที่นำมาทำสิ่งของเครื่องใช้ ที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างเช่น เก้าอี้ที่เราใช้มีทั้งที่ผลิตจากไม้ พลาสติก โละ และวัสดุอื่นๆ ซึ่งมีสมบัติและลักษณะการใช้งาน รวมทั้งวิธีการเก็บรักษาที่แตกต่างกันออกไป
ไม้ (wood)
คือ วัสดุธรรมชาติที่ได้จากลำต้นของต้นไม้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายเพราะมีความแข็งแรง ทนทาน ต้านทานไฟฟ้า ไม่เป็นสนิม มีรูปร่างคงตัว มีผิวเรียบ มีกลิ่นและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ถ้าได้รับความชื้นเป็นเวลานานอาจบวมผิดรูปหรือผุได้
ไม้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ไม้ธรรมชาติหรือไม้จริง (natural wood or solid wood) และไม้ประกอบ (processed wood)
ไม้ธรรมชาติหรือไม้จริง (natural wood or solid wood)
คือ ไม้ที่ได้มาจากลำต้นไม้ตรง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ไม้เนื้อแข็ง (hardwood) และไม้เนื้ออ่อน (softwood)
ไม้ประกอบ (processed wood)
คือ ไม้ที่ได้มาจากการนำชิ้นส่วนไม้มาต่อรวมกันด้วยกระบวนการต่าง ๆ ไม้ประกอบมีหลายประเภท เช่น ไม้อัด ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด
โลหะ (Metals)
คือ วัสดุที่ได้จากการถลุงสินแร่ต่าง ๆ โลหะที่นำมาใช้งานส่วนใหญ่ จะผ่านการปรับปรุงสมบัติให้ดีขึ้นก่อนนำมา ใช้งาน โลหะเป็นวัสดุที่นำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีสมบัติที่ดี เช่น เป็นตัวนำความร้อนและนำไฟฟ้า ได้ดี มีความแข็งแรงสูง มีความคงทนถาวร ไม่เสื่อมสลายหรือ เปลี่ยนแปลงสภาพง่าย เป็นวัสดุทึบแสง สามารถป้องกัน ไม่ให้แสงผ่าน ทนทานต่อการกัดกร่อน มีความสวยงาม ผิวของโลหะสามารถขัดให้เป็นเงาวาวสามารถตีเป็นแผ่นบาง หรือดึงให้เป็นเส้นลวดได้
โลหะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ โลหะกลุ่มเหล็ก (ferrous metals) และโลหะนอกกลุ่มเหล็ก (non-ferrous metals)
โลหะกลุ่มเหล็ก (ferrous metals)
คือ โลหะที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบหลัก แบ่งออก เป็นเหล็กกล้า (Steel) และเหล็กหล่อ (Cast Iron) ซึ่งมี ธาตุคาร์บอนผสมอยู่ในปริมาณที่ต่างกันตั้งแต่ 0.196 ไปจนถึง 4% คาร์บอนที่ผสมลงในเหล็กมีผลต่อความแข็ง และความเปราะของเหล็ก โดยทั่วไปโลหะกลุ่มเหล็กจะ เกิดสนิมและมีสมบัติดูดติดกับแม่เหล็กได้มีความแข็งแรงสูง สามารถปรับปรุงคุณภาพและเปลี่ยนแปลงรูปทรงโดย การกลึง เจาะ ไส รีดเป็นแผ่นบางได้ตามที่ต้องการ
โลหะนอกกลุ่มเหล็ก (non-ferrous metals)
คือ โลหะที่ไม่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นโลหะประเภทนี้จะไม่เกิดสนิมและไม่ดูดติดกับแม่เหล็ก เช่น อะลูมิเนียม ทองแดง สังกะสี ทองเหลือง
พลาสติก (plastics)
คือ วัสดุสังเคราะห์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตที่ได้จากการ กลั่นน้ำมันดิบ ปัจจุบันพลาสติกนํามาใช้สร้างสิ่งของเครื่องใช้มากมายและมีบทบาท อย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกคน
พลาสติกแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ เทอร์โมพลาสติก (thermoplastics) และเทอร์โมเซตติ้ง พลาสติก (thermosetting plastics)
เทอร์โมพลาสติก (thermoplastics)
พลาสติกประเภทนี้เมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัวและเปลี่ยนรูปร่างได้ เมื่อเย็นลงจะแข็งตัว ถ้าให้ความร้อนอีกจะอ่อนตัว ดังนั้นจึงสามารถทําให้กลับเป็นรูปเดิมหรือเปลี่ยนรูปได้ซ้ําไปมาหลายครั้งโดยไม่ทําลายโครงสร้างเดิมทนต่อแรงดึงได้สูง ตัวอย่าง เช่น อะคริลิก ไนลอน พอลิไวนิลคลอไรด์ พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีน ฯลฯ
เทอร์โมเซตติ้ง พลาสติก (thermosetting plastics)
พลาสติกประเภทนี้มีความแข็งแรง ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและปฏิกิริยาเคมีได้ดี เมื่อได้รับความร้อนจะไม่อ่อน ไม่สามารถหลอมและนํากลับมาขึ้นรูปใหม่ได้ ถ้าอยู่ในอุณหภูมิสูงจะทําให้แตกและไหม้เป็นขี้เถ้าสีดํา ตัวอย่างเช่น เมรามีน พอลิเอสเทอร์เรติน
ยาง (rubber)
คือ วัสดุที่มีความยืดหยุ่น เมื่อออกแรงดึงหรือกด ยางจะยึดหรือยุบและกลับสู่สภาพเดิมได้เมื่อปล่อยให้ยางเป็นอิสระ ยางถูกนําไปแปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างสิ่งของเครื่องใช้หลายชนิด สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ยางธรรมชาติ (natural rubber) และยางสังเคราะห์ (Synthetic rubber)
ยางธรรมชาติ (natural rubber)
คือ ผลผลิตที่ได้จากต้นยาง เช่น ต้นยางพารา เมื่อยาง อยู่ในสภาวะอุณหภูมิต่ําจะแข็งกระด้าง เมื่ออยู่ในสภาวะที่ อุณหภูมิสูงจะอ่อนนิม ทําให้ยางใช้งานได้ในช่วงอุณหภูมิที่จํากัด ยางมีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อการฉีกขาดและการสึกหรอ แต่ไม่ทน ต่อตัวทําละลายพวกน้ำมันปิโตรเลียม และมักเสื่อมสภาพเร็ว ภายใต้แสงแดด ความร้อน ออกซิเจน
น้ำยางดิบจะถูกแปรสภาพเป็น 2 ลักษณะคือ ในรูป ของน้ำยางข้น ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตของใช้ต่าง ๆ เช่น ถุงมือยาง ยางรัดของ ลูกโป่ง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือ ทางการแพทย์ และอีกลักษณะคือในรูปยางแห้ง ยางแผ่นรมควัน ยางแผ่นฝั่งแห้ง ยางแท่ง ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตรองเท้า ยางรถจักรยาน ยางรถยนต์
ยางสังเคราะห์ (Synthetic rubber)
คือยางที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมีเพื่อเลียนแบบยางธรรมชาติ ข้อดีคือ สามารถปรับปรุงสมบัติ เช่น สภาพยืดหยุ่น ความ ทนทานต่อแรงดึงและการฉีกขาด ความทนต่อเปลวไฟ สภาพอากาศ แสงแดด สารเคมีและน้ํามันได้ตามต้อง หลายประเภท แต่ละประเภทมีสมบัติที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมในการใช้งาน อีกทั้งยางสังเคราะห์มีความทนทานต่อการ ใช้งานและเสื่อมสภาพได้ช้ากว่ายางธรรมชาติ ส่งผลให้ยางสังเคราะห์ได้รับความนิยมนํามาใช้งาน
เครื่องมือช่างพื้นฐาน
ในการสร้างชิ้นงานตามแบบร่างที่ออกแบบไว้ใหเมีความถูกต้องทั้งรูปร่าง มาตราส่วน และมีความสวยงามนั้น นอกจากจะต้องเลือกวัสดุที่เหมาะสมแล้ว จะต้องเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับชนิดของงานและวัสดุด้วย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและได้ชิ้นงานตามต้องการเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องมือสำหรับการวัดขนาด เครื่องมือสำหรับการตัด และเครื่องมือสำหรับการเจาะ
เครื่องมือสำหรับการวัด
ตลับเมตร ใช้วัดความยาว
หรือระยะทาง
ไม้โพรแทรกเตอร์ ใช้อ่านค่ามุมจากการวางไม้โพรแทรกเตอร์ทับมุมที่ต้องการวัด
เครื่องมือสำหรับการตัด
กรรไกร ใช้ตัดวัสดุให้เป็นเส้นตรง เส้นโค้งหรือเส้นหยัก
คีมตัด ใช้ตัดวัสดุประเภทโลหะที่มีขนาดเล็ก และไม่แข็ง มาก เช่น ลวด สายไฟ
เครื่องมือสำหรับการติดยึด
กาวร้อนใช้สำหรับติดยึดวัสดุได้เกือบทุกประเภท อาทิ ยางพลาสติก โลหะ เซรามิกแห้งเร็วมาก
ปืนกาว ใช้สำหรับงานยึดติดวัสดุประเภทกระดาษ ไม้ยาง พลาสติก
เครื่องมือสำหรับการเจาะ
สว่านไฟฟ้า
สว่านมือ
อ้างอิงจาก : หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ของ สสวท.
สื่อการเรียนรู้
อ้างอิงแหล่งที่มา :: https://proj14.ipst.ac.th/m1/m1-dt/
ใบงาน