หน่วยที่ 4 ภูมิศาสตร์น่ารู้
บทที่ 1 เรียนรู้ประเทศไทย
แบบทดสอบก่อนเรียน
ผลการทดสอบก่อนเรียน
บทที่ 1 เรียนรู้ประเทศไทย
1 เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ที่ใช้ศึกษาลักษณะทางกายภาพ
เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ คืออุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการศึกษาและค้นคว้าทางภูมิศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น การศึกษาลักษณะทางกายภาพ, การสำรวจทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม, การท่องเที่ยว, และการสร้างถนน เครื่องมือสำคัญที่ใช้กันบ่อยๆ ได้แก่ แผนที่, ภาพถ่ายทางอากาศ และภาพจากดาวเทียม
1.1. แผนที่ คือสิ่งที่แสดงลักษณะพื้นผิวโลก ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยแสดงลงบนแผ่นราบ ด้วยการย่อส่วนและใช้สัญลักษณ์แทนสิ่งต่างๆ เพื่อให้เข้าใจง่าย
1.2. ภาพถ่ายทางอากาศ คือภาพถ่ายของภูมิประเทศบนพื้นผิวโลกที่ได้จากการใช้กล้องถ่ายรูปติดตั้งบนอากาศยาน เช่น เครื่องบิน, อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) หรือบอลลูน โดยอากาศยานจะบินเหนือพื้นที่ที่ต้องการศึกษา แล้วทำการถ่ายภาพ รายละเอียดของภาพที่ได้จะเหมือนกับการมองจากที่สูงลงมาสู่ที่ต่ำ
1.3. ภาพจากดาวเทียม คือภาพที่ได้จากการบันทึกข้อมูลด้วยดาวเทียม ซึ่งข้อมูลจะอยู่ในลักษณะของตัวเลขหรือรูปถ่าย โดยภาพที่ได้จะเป็นภาพบริเวณกว้าง ครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่าภาพถ่ายทางอากาศ ผู้ใช้ต้องมีความชำนาญในการแปลความหมายข้อมูลด้วยสายตาหรือคอมพิวเตอร์
ความแตกต่างระหว่างแผนที่, ภาพถ่ายทางอากาศ และภาพจากดาวเทียม
นำเสนอข้อมูลลงบนแผ่นระนาบตามมาตราส่วนที่กำหนด
นำเสนอข้อมูลตามวัตถุประสงค์ของแผนที่ชนิดนั้นๆ
ใช้สัญลักษณ์แทนสิ่งต่างๆ และมีการบอกทิศที่ชัดเจน
บันทึกข้อมูลโดยถ่ายจากกล้องถ่ายภาพบนอากาศยาน เช่น เครื่องบิน, บอลลูน หรือโดรน
แสดงสิ่งต่างๆที่ปรากฏบนพื้นผิวโลก จากที่สูงในมุมกว้าง
เป็นภาพที่ถ่ายในแนวดิ่งและแนวเฉียงกับพื้นผิวโลก
บันทึกข้อมูลด้วยดาวเทียม โดยอยู่ในลักษณะตัวเลขหรือภาพถ่าย
แสดงภาพบริเวณกว้าง ครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่าภาพถ่ายทางอากาศ
ผู้ใช้ต้องมีความชำนาญในการแปลความข้อมูลด้วยสายตาหรือคอมพิวเตอร์
การใช้เครื่องมือทางภูมิศาสตร์เหล่านี้ เช่น แผนที่, ภาพถ่ายทางอากาศ และ ภาพจากดาวเทียม จะช่วยให้เราได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และมีความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของประเทศไทยและความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ 🌏
2. ลักษณะทางกายภาพของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณคาบสมุทรอินโดจีนและคาบสมุทรมลายู มีขนาดพื้นที่ประมาณ 513,115 ตารางกิโลเมตร
2.1. ลักษณะทั่วไปของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ที่ละติจูด 5 องศา 36 ลิปดาเหนือ ถึง 20 องศา 29 ลิปดาเหนือ และระหว่างลองจิจูด 97 องศา 21 ลิปดาตะวันออก ถึง 105 องศา 38 ลิปดาตะวันออก
· จุดเหนือสุด อยู่ในเขตอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
· จุดใต้สุด อยู่ในเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลา
· จุดตะวันออกสุด อยู่ในเขตอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
· จุดตะวันตกสุด อยู่ในเขตอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
รูปร่างและขนาด
ประเทศไทยมีรูปร่างคล้ายขวานโบราณ
· ความยาวจากเหนือสุดถึงใต้สุด มีระยะทาง 1,640 กิโลเมตร (วัดจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ถึงอำเภอเบตง จังหวัดยะลา)
· ความกว้างจากตะวันตกสุดไปตะวันออกสุด มีระยะทาง 780 กิโลเมตร (วัดจากอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ถึงอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี)
2.2. ลักษณะภูมิประเทศของประเทศไทย
เมื่อพิจารณาจากลักษณะภูมิประเทศเป็นหลัก เราสามารถแบ่งพื้นที่ของประเทศไทยออกเป็น 4 บริเวณ ได้แก่:
1. ภูเขาและที่สูง
พบได้ในบริเวณ ภาคเหนือ และ ภาคตะวันตก เช่น
· ภาคเหนือ: มีทิวเขาสำคัญ ได้แก่ ทิวเขาแดนลาว, ทิวเขาถนนธงชัย, ทิวเขาผีปันน้ำ และทิวเขาหลวงพระบาง
· ภาคตะวันตก: มีทิวเขาสำคัญ ได้แก่ ทิวเขาถนนธงชัยกลางและทิวเขาตะนาวศรี
บริเวณนี้มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ เนื่องจากเป็นพื้นที่ภูเขาสูงที่เป็นแนวทิวเขา จึงเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำลำธารสายหลักของประเทศ เมื่อน้ำจากลำธารไหลลงมา จะพัดพาตะกอนและแร่ธาตุไปทับถมในบริเวณที่ราบลุ่ม ทำให้พื้นที่เหล่านี้มีความอุดมสมบูรณ์และเหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานและการเพาะปลูก
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มภูเขาหินปูน เช่น เขางู จังหวัดราชบุรี และเขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
2. ที่สูง
พบได้ใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีลักษณะเป็นที่สูงที่เกิดจากการยกตัวของแผ่นดิน ทำให้เกิดขอบสูงชันทางด้านตะวันตกและใต้ โดยพื้นที่ลาดเอียงไปทางตะวันออก มีที่ราบใหญ่คล้ายแอ่งกระทะหงาย 2 แอ่ง คือ:
· แอ่งโคราช: เป็นแอ่งที่ราบขนาดใหญ่อยู่ทางตอนล่างของภาค มีแม่น้ำชีและแม่น้ำมูลไหลผ่าน
· แอ่งสกลนคร: อยู่ทางตอนบนของภาค มีแม่น้ำสงคราม, ห้วยน้ำก่ำ และห้วยหลวงไหลผ่าน
ส่วนทิศใต้ของภาคมีทิวเขาสันกำแพงและทิวเขาพนมดงรักเป็นแนวขอบ พื้นที่บริเวณนี้มีลักษณะเป็นดินปนทรายซึ่งไม่อุ้มน้ำ จึงประสบปัญหาภัยแล้งเป็นประจำ
3. ที่ราบลุ่มแม่น้ำ
พบได้ใน ภาคกลาง, ภาคตะวันออก และ ภาคตะวันตก เป็นบริเวณที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก และมีความลาดชันน้อย ทำให้สะดวกต่อการคมนาคม การตั้งถิ่นฐาน และการประกอบอาชีพต่างๆ ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจึงอาศัยอยู่ในบริเวณนี้
ที่ราบภาคกลาง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ:
· ที่ราบภาคกลางตอนบน: ตั้งแต่จังหวัดสุโขทัยลงไปถึงนครสวรรค์ มีลักษณะเป็นที่ราบสลับกับเนินเขาขนาดเล็ก
· ที่ราบลุ่มภาคกลางตอนล่าง: ตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ลงมาจนถึงอ่าวไทย มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่ม
ภาคตะวันออก มีที่ราบลุ่มแม่น้ำที่สำคัญ เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำบางปะกง และที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดเล็ก เช่น แม่น้ำระยอง, แม่น้ำจันทบุรี
ภาคตะวันตก มีที่ราบลุ่มแม่น้ำสำคัญ เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง, ที่ราบลุ่มแม่น้ำแควใหญ่, ที่ราบลุ่มแม่น้ำแควน้อย และที่ราบลุ่มแม่น้ำแม่กลอง
4. ชายฝั่งทะเลและหมู่เกาะ
พบได้ใน ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ เป็นบริเวณที่ได้รับอิทธิพลความชื้นจากทะเลและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีปริมาณน้ำฝนมากกว่าภูมิภาคอื่น การที่มีชายฝั่งทะเลยาว ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลได้ ทั้งการประมงและการท่องเที่ยว
· ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก: บริเวณปากแม่น้ำและชายฝั่งมีลักษณะเป็นหาดโคลนปนทราย นอกจากนี้ยังมีหาดทรายสวยงาม เช่น หาดบางแสน, หาดพัทยา และมีเกาะสำคัญ เช่น เกาะสีชัง, เกาะล้าน, เกาะช้าง, เกาะเสม็ด
· ชายฝั่งทะเลภาคใต้ด้านอ่าวไทย: มีหาดทรายยาวยื่นเกือบตลอดแนวชายฝั่ง มีบริเวณน้ำตื้นกว้างขวาง มีทะเลภายในที่เรียกว่าทะเลสาบสงขลา และมีเกาะขนาดใหญ่ เช่น เกาะสมุย, เกาะพะงัน, เกาะเต่า, หมู่เกาะอ่างทอง
· ชายฝั่งทะเลภาคใต้ด้านทะเลอันดามัน: มีลักษณะเป็นชายฝั่งเว้าแหว่ง มีหาดทรายแคบ มีอ่าวขนาดเล็กจำนวนมาก และมีหมู่เกาะที่สำคัญ เช่น หมู่เกาะในอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา, อุทยานแห่งชาติตะรุเตา, เกาะพีพีดอน, หมู่เกาะสิมิลัน
3. ลักษณะภูมิอากาศของประเทศไทย
ภูมิอากาศ คือสภาพอากาศประจำท้องถิ่นที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน ซึ่งพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิและปริมาณฝนในแต่ละช่วงของปี
ประเทศไทยตั้งอยู่ใน เขตร้อน ใกล้เส้นศูนย์สูตร (ระหว่างละติจูด 5 ถึง 20 องศาเหนือ) มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 27 องศาเซลเซียส เพราะได้รับแสงอาทิตย์อย่างเต็มที่ตลอดปี
ในรอบหนึ่งปี ประเทศไทยมีลมประจำที่พัดผ่านคือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังมีพายุโซนร้อนและพายุดีเปรสชันเคลื่อนที่ผ่าน ซึ่งส่งผลให้มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น
กรมอุตุนิยมวิทยาได้แบ่งเขตประเทศไทยออกเป็น 2 เขต ดังนี้:
ประเทศไทยตอนบน (ทุกภาคยกเว้นภาคใต้) มี 3 ฤดู ได้แก่:
· ฤดูร้อน: ประมาณ 3 เดือน (กลางเดือนกุมภาพันธ์ - กลางเดือนพฤษภาคม)
· ฤดูฝน: ประมาณ 5-6 เดือน (กลางเดือนพฤษภาคม - กลางเดือนพฤศจิกายน)
· ฤดูหนาว: ประมาณ 3 เดือน (กลางเดือนพฤศจิกายน - กลางเดือนกุมภาพันธ์)
ประเทศไทยตอนล่าง (ตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีลงไป) มี 2 ฤดู ได้แก่:
· ฤดูร้อน: ประมาณ 5 เดือน (กลางเดือนธันวาคม - กลางเดือนพฤษภาคม)
· ฤดูฝน: ประมาณ 7 เดือน (กลางเดือนพฤษภาคม - กลางเดือนธันวาคม)
หวังว่าเอกสารฉบับปรับปรุงนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นนะครับ 😊
4. ทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทย
ประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ทั้ง ดิน, น้ำ, ป่าไม้ และ แร่ธาตุ ซึ่งกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ
4.1 ทรัพยากรดิน
ดินในประเทศไทยที่พบในแต่ละภูมิภาคสามารถจำแนกออกได้หลายประเภท ดังนี้:
ประเภทดิน
ลักษณะ
เหมาะสำหรับ
พบได้ในบริเวณ
ดินเหนียว
เนื้อละเอียด
ปลูกข้าวและผลไม้บางชนิด
ที่ราบลุ่มแม่น้ำและที่ราบดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ
ดินร่วน
มีความร่วนซุย
ปลูกพืชผักและผลไม้หลายชนิด
บริเวณที่ดอนและที่เนิน
ดินทราย
มีความหยาบ ไม่เกาะตัวกัน
ปลูกพืชบางชนิดที่ต้องการน้ำน้อย
บริเวณเชิงเขาและชายฝั่งทะเล
ดินอินทรีย์
ประกอบด้วยซากพืช ซากสัตว์ที่ย่อยสลาย มีความเป็นกรดสูง
ปลูกพืชบางชนิด
บริเวณป่าชายเลนและป่าพรุ
4.2 ทรัพยากรน้ำ
น้ำมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์อย่างยิ่ง ถึงแม้ประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมและมีปริมาณฝนค่อนข้างสูง แต่เนื่องจากฝนส่วนใหญ่จะตกประมาณ 6 เดือนในช่วงฤดูฝน จากนั้นปริมาณฝนจะลดลงหรือไม่มีเลย (ยกเว้นในภาคใต้) จึงจำเป็นต้องมีการจัดการทรัพยากรน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ทั้งในการอุปโภคบริโภคและ การชลประทานด้วยเหตุนี้จึงมีการสร้าง เขื่อน และ ฝายชะลอน้ำ อยู่ทั่วประเทศ เขื่อนที่สำคัญ ได้แก่:
เขื่อนภูมิพล: จังหวัดตาก
เขื่อนศรีนครินทร์: จังหวัดกาญจนบุรี
เขื่อนสิรินธร: จังหวัดอุบลราชธานี
เขื่อนรัชชประภา: จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เขื่อนภูมิพลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทยในฐานะเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกที่ผลิตไฟฟ้าและจัดการน้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค บรรเทาอุทกภัย และการผลักดันน้ำเค็ม ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และเป็นจุดกำเนิดของการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบของประเทศ
เขื่อนศรีนครินทร์มีความสำคัญในฐานะเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำแม่กลอง โดยมีประโยชน์หลักคือ การผลิตไฟฟ้า, การชลประทาน, การบรรเทาอุทกภัย, การผลักดันน้ำเค็ม, การคมนาคมทางน้ำ, การประมง และเป็น แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ. นอกจากนี้ เขื่อนศรีนครินทร์ยังเป็นเขื่อนประเภทหินถมแกนดินเหนียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย.
เขื่อนสิรินธรให้ประโยชน์อเนกประสงค์ ทั้ง ผลิตไฟฟ้า จากพลังงานน้ำและพลังงานแสงอาทิตย์, ชลประทาน ช่วยให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกได้ตลอดปี, ป้องกันน้ำท่วม ในพื้นที่ลุ่มน้ำมูล, เป็น แหล่งประมง เพาะพันธุ์ปลาและกุ้ง, เป็น เส้นทางคมนาคมและการขนส่ง ทางน้ำ, และเป็น แหล่งท่องเที่ยว ที่สวยงาม
เขื่อนรัชชประภาสำคัญในฐานะแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าที่มั่นคงสำหรับภาคใต้, ช่วยบรรเทาอุทกภัยและแก้ไขปัญหาน้ำเสีย/น้ำเค็มรุกล้ำในแม่น้ำตาปี-พุมดวง, สนับสนุนการชลประทานเพื่อการเพาะปลูก, เป็นแหล่งประมงน้ำจืดที่สร้างรายได้แก่ราษฎร และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยว