หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หน้าที่พลเมืองดี
บทที่ 1 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
1. กฎหมายน่ารู้
กฎหมาย หมายถึง กฎที่สถาบันหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐได้ตราขึ้นเพื่อใช้บังคับให้บุคคลปฏิบัติตาม โดยมีข้อปฏิบัติและบทลงโทษไว้อย่างชัดเจน กฎหมายที่นักเรียนควรรู้ ได้แก่ กฎหมายจราจร กฎหมายยาเสพติดให้โทษ กฎหมายทะเบียนราษฎร
1. กฎหมายเกี่ยวกับการจราจรทางบก
เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ซึ่งได้บัญญัติขึ้นเพื่อใช้ควบคุมเส้นทางของผู้ขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน หรือคนเดินเท้าให้ปฏิบัติตาม เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
๑) สัญญาณจราจร
เครื่องหมายที่สำคัญของการจราจรทางบกคือ สัญญาณจราจร ซึ่งเป็นสัญญาณที่อาจแสดงด้วยธง ไฟฟ้า มือ แขน เสียงนกหวีด หรือวิธีการสำหรับให้ผู้ขับขี่ คนเดินเท้า หรือคนจูง ขี่ หรือไล่ต้อนสัตว์ ปฏิบัติตามสัญญาณนั้นสัญญาณจราจรที่มักพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน แบ่งได้เป็น ๓ ลักษณะ ดังนี้
1. สัญญาณไฟจราจร มี ๓ สี คือ สีแดง สีเหลืองอำพัน และสีเขียว
1. สีแดง หมายถึง ให้ผู้ขับขี่หยุดรถหลังเส้นหยุดรถ
2. สีเหลืองอำพัน หมายถึง ให้ผู้ขับขี่ เตรียมหยุดรถหลังเส้นหยุดรถ
3. สีเขียว หมายถึง ให้ผู้ขับขี่ขับรถต่อไปได้
2. สัญญาณจราจรที่แสดงด้วยมือและแขน เป็นสัญญาณจราจรที่พนักงานหรือเจ้าหน้าที่แสดงให้ปรากฏข้างหน้าด้วยมือและแขน
3. สัญญาณจราจรที่แสดงด้วยเสียง เป็นสัญญาณจราจรที่พนักงานหรือเจ้าหน้าที่แสดงด้วยเสียงสัญญาณนกหวีด
ㆍเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้เสียงสัญญาณนกหวีดยาว ๑ ครั้ง ให้ผู้ขับขี่หยุดรถทันที
ㆍเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้เสียงสัญญาณนกหวีดสั้น ๒ ครั้งติดต่อกัน ให้ผู้ขับขี่ขับรถผ่านไปได้
๒) การปฏิบัติตามกฎจราจรของคนเดินเท้า ควรปฏิบัติ ดังนี้
การปฏิบัติตามกฎจราจรของคนเดินเท้า ควรปฏิบัติ ดังนี้
๑. ทางใดมีทางเท้าหรือไหล่ทางอยู่ข้างทางเดินรถ ให้คนเดินเท้าเดินบนทางเท้าหรือ
ไหล่ทาง ถ้าทางนั้นไม่มีทางเดินเท้าข้างทางเดินรถ ให้คนเดินเท้าเดินริมทางด้านขวาของตน
๒. ภายในระยะไม่เกิน ๑๐๐ เมตร นับจากทางข้าม ห้ามมิให้คนเดินเท้าข้ามถนนนอกทางข้าม
๓. การเดินข้ามถนนในทางข้ามที่มีสัญญาณไฟจราจรควบคุม เมื่อเห็นสัญญาณไฟจราจร ให้ปฏิบัติ ดังนี้
สีแดง
ㆍเมื่อมีสัญญาณไฟจราจรสีแดง ให้คนเดินเท้าหยุดรออยู่บนทางเท้า บนเกาะแบ่งทางเดินรถ หรือในเขตที่ปลอดภัย
ㆍทางใดที่ไม่มีทางเท้า ให้คนเดินเท้าหยุดรอยู่บนไหล่ทางหรือขอบทาง ก่อนจะข้ามถนน
สีเขียว
ㆍ เมื่อมีสัญญาณไฟจราจรสีเขียว ให้คนเดินเท้าข้ามถนนได้
ㆍหากสัญญาณไฟจราจรสีเขียวกะพริบ ไม่ว่าจะเบินทางด้านใดของถนน ให้คนเดินเท้าที่ยังไม่ได้ข้ามถนนหยุดรอบนทางเท้า บนกาะถนน หรือในเขตที่ปลอดภัยแต่ถ้ากำลังข้ามถนน ให้ข้ามถนนโดยเร็ว
๓) การปฏิบัติตามกฎจราจของผู้ขับขี่รถจักรยาน ควรปฏิบัติ ดังนี้
๑. ถ้ามีทางที่ได้จัดทำไว้สำหรับรถจักรยาน ผู้ขับขี่รถจักรยานต้องขับขี่ในทางนั้น
๒. ผู้ขับขี่รถจักรยานต้องขับให้ชิดขอบทางด้านซ้ายของทางเดินรถ ไหล่ทาง หรือทางที่จัดทำไว้สำหรับรถจักรยานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในกรณีที่มีช่องเดินรถประจำทางด้านช้ายซ้ายสุดของทางเดินรถ ต้องขับขี่รถจักรยานให้ชิดช่องเดินรถประจำทางนั้น
๓. รถจักรยานที่ใช้ในทางเดินรถ ไหล่ทาง หรือทางที่ได้จัดไว้สำหรับรถจักรยาน ผู้ขับขี่รถจักรยานต้องจัดอุปกรณ์ประกอบรถจักรยาน ดังนี้
โคมไฟติดหน้ารถจักรยานแสงขาวต้องไม่น้อยกว่า ๑ ดวง ที่ให้แสงไฟส่องตรงไปข้างหน้า เห็นพื้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า ๑๕ เมตรและอยู่ในระดับต่ำกว่าสายตาของผู้ขับขี่ซึ่งขับสวนมา
เครื่องห้ามล้อที่ใช้การได้ดีเมื่อใช้สามารถทำให้รถจักรยานหยุดได้ทันที
กระดิ่งที่ให้สัญญาณได้ยินในระยะที่ไม่น้อยกว่า ๓๐ เมตร
โคมไฟติดท้ายรถจักรยานแสงสีแดงต้องไม่น้อยกว่า ๑ ดวง ที่ให้แสงสว่างตรงไปข้างหลัง หรือต้องติดวัตถุสะท้อนแสงสีแดงแทน ซึ่งเมื่อถูกไฟส่องทำให้มีแสงสะท้อน
๔) ประโยชน์ของการปฏิบัติตามกฎหมายจราจร มีดังนี้
1. ทำให้การจราจรบนท้องถนนไม่ติดขัดการที่ประชาชนขับขี่ยานพาหนะไปตามเส้นทางตามกฎจราจร โดยไม่ฝ่าฝืนสัญญาณจราจร จะทำให้การจราจรเป็นไปตามระบบและไม่ติดขัด หากคนเดินเท้าปฏิบัติตามกฎจราจร ข้ามถนนตรงทางข้ามหรือเดินบนทางที่ได้จัดไว้ให้ ก็จะไม่กีดขวางทางจราจร ทำให้การจราจรเคลื่อนตัวไปได้ตามปกติ
2. ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนอุบัติเหตุบนท้องถนนนำไปสู่ความสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนและประเทศ การฝ่าฝืนกฎจราจรเช่น ขับขี่รถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ขับขี่รถในทางห้าม ขับขี่รถที่มีสภาพไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดก็อาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ ทำให้มีการบาดเจ็บ เสียชีวิต หรือทรัพย์สินเสียหาย
3.ลดความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจเมื่อไม่เกิดอุบัติเหตุ ทำให้ประชาชนไม่ต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาล เงินทองไม่รั่วไหล ทำให้เศรษฐกิจของตนเองและครอบครัวมีความมั่นคง
2. กฎหมายเกี่ยวกับทะเบียนราษฎร
เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับทะเบียนคนและทะเบียนบ้าน เป็นกฎหมายสำคัญที่กำหนดระเบียบในการแจ้งเกิด การแจ้งตาย และการย้ายที่อยู่ กฎหมายทะเบียนราษฎร จึงเป็นสิ่งใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับตนเองและสังคมเป็นอย่างมากกฎหมายเกี่ยวกับทะเบียนราษฎรมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑) การแจ้งเกิด เมื่อมีคนเกิดในบ้าน เจ้าบ้านจะต้องทำการแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่มีคนเกิดภายใน ๑๕ วัน นับตั้งแต่วันที่เกิด
หลักฐานที่ต้องนำไปแจ้ง ได้แก่ ทะเบียนบ้าน เมื่อแจ้งเกิดนายทะเบียนจะออกสูติบัตร (ใบแจ้งเกิด) ให้ไว้เพื่อเป็นหลักฐานสูติบัตรเป็นเอกสารสำคัญ แสดงสัญชาติ ชื่อ วัน เดือน ปี เวลาสถานที่เกิด ชื่อและสัญชาติของบิดามารดา จึงต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีเพราะจะต้องใช้เป็นหลักฐานสำคัญต่อไป
๒) การแจ้งตาย เมื่อมีคนตายในบ้าน ให้เจ้าบ้านหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่มีคนตายภายใน ๒๔ ชั่วโมง และจะได้รับใบมรณบัตรไว้เป็นหลักฐาน ในกรณีที่มีคนตายนอกบ้าน ให้คนที่ไปกับผู้ตายหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ภายใน ๒๔ ชั่วโมง
๓) การแจ้งย้ายที่อยู่ เมื่อมีการย้ายที่อยู่จะต้องมีการแจ้งย้ายออกจากทะเบียนบ้านเดิม และต้องแจ้งย้ายเข้าในทะเบียนบ้านใหม่ซึ่งผู้นั้นย้ายไปอยู่ การแจ้งย้ายที่อยู่ มีดังนี้
การแจ้งย้ายออก
เมื่อมีการย้ายที่อยู่ออกจากบ้านใดกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของเจ้าบ้าน
หรือผู้แทนที่จะต้องย้ายที่อยู่ดังกล่าวแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับเเจ้ง ภายในเวลา
ไม่เกิน ๑๕ วัน นับแต่วันย้ายออก
การแจ้งย้ายเข้า
เมื่อมีการย้ายเข้าบ้าน เจ้าบ้านหรือผู้แทนต้องแจ้งต่อนายทะเบียนที่เจ้าบ้าน
อยู่ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันย้ายเข้า
การย้ายที่อยู่ สามารถแจ้งย้ายปลายทางได้ โดยกฎหมายกำหนดให้ผู้ย้ายที่อยู่เป็นผู้แจ้งต่อนายทะเบียน หากมอบหมายแจ้งย้ายปลายทาง จะมีหนังสือมอบหมายปรากฎข้อความชัดเจนว่า บุคคลใดได้มอบหมายให้มาแจ้งการย้ายที่อยู่ปลายทางแทน และมอบหมายให้ย้ายที่อยู่ของบุคคลใดบ้าง และจะทำการย้ายเข้าบ้านเลขที่ใด
หลักฐานที่ต้องนำมาแสดงในการแจ้งย้ายที่อยู่ ได้แก่
ㆍบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ประสงค์จะย้ายปลายทาง
ㆍบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าบ้าน
ㆍหนังสือคำยินยอมของเจ้าบ้าน
ㆍสำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน
๔) ประโยชน์ของการปฏิบัติตนตามกฎหมายทะเบียนราษฎร มีดังนี้
๑ ทำให้ทราบข้อมูลของจำนวนประชากรในแต่ละท้องถิ่นหรือจังหวัดที่เป็น
ปัจจุบัน ทำให้รัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณในการพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม
เช่น ด้านการศึกษา ด้านการคมนาคม
๒ ทำให้การพัฒนาด้านการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศเป็นไปอย่างเหมาะสม
๓ เป็นประโยชน์ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ในกรณีมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องอาชญากรรม เจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองสามารถตามตัวบุคคลตาม
ข้อมูลที่มีอยู่ได้อย่างถูกต้อง
3. กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ
ยาเสพติด หมายถึง สารเคมีหรือวัตถุชนิดใด ๆ ซึ่งเมื่อได้เสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยวิธีรับประทาน ดม สูด หรือด้วยประการใด ๆ แล้ว ทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจใจในลักษณะสำคัญ เช่น ต้องเพิ่มขนาดการเสพขึ้นเป็นลำดับ มีอาการอยากเมื่อขาดยามีความต้องการเสพอย่างรุนแรงตลอดเวลา
๑) ประเภทของยาเสพติดให้โทษ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ แบ่งยาเสพติดให้โทษออกเป็น ๕ ประเภท ดังนี้
ประเภท ๑ ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง เช่น แอมเฟตามีน (ยาบ้า) เฮโรอีน
ประเภท ๒ ยาเสพติดให้โทษทั่วไป เช่น มอร์ฟีน ฝิ่น โคเคน โคเดอีน
ประเภท ๓ ยาเสพติดให้โทษที่มีลักษณะเป็นตำรับยา และมียาเสพติดให้โทษประเภท ๒ ผสมอยู่
ด้วย ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา เช่น ยาแก้ไอนำเชื่อมซึ่งมีทิงเจอร์ ฝิ่น การบูร เป็นส่วนผสม
ประเภท ๔ สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ หรือ ประเภท ๒ เช่น อาเซติก
แอนไฮไดรด์ อาเซติลคลอ
ประเภท ๕ ยาเสพติดให้โทษที่ไม่ได้เข้าอยู่ในประเภท ๑ ถึง ๔ เช่น กัญชา พืชกระท่อม
๑) ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ สามารถแบ่งตามลักษณะการกระทำความผิดได้เป็น ๕ ฐาน ดังนี้
๑ ฐานผลิต นำเข้า ส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษ
๒ ฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษ
๓ ฐานมีไว้ในความครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ
๔ ฐานเสพยาเสพติดให้โทษ
๕ ฐานโฆษณาเพื่อการค้าซึ่งยาเสพติดให้โทษ
๒) ตัวอย่างโทษของผู้ที่กระทำความผิด กฎหมายยาเสพติดได้โทษมีการกำหนดโทษของผู้กระทำความผิด ตามตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่าง
ผู้ที่เสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ เช่น เฮโรอีน แอมเฟตามีน (ยาบ้า) ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแค่ ๖ เดือน ถึง ๓ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ บาท ถึง ๑,๐๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ที่มียาเสพติดให้โทษประเภท ๑ ไว้ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ หรือมีจำนวนน้ำหน้าหนักสุทธิไม่ถึงปริมาณตามที่กฎหมายกำหนด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ ปี ถึง ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแค่ ๒๐,๐๐๐ บาท ถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ที่ผลิต นำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท ๓ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ ปี ถึง ๓ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ถึง ๓๐๐,๐๐๐ บาท
๔) ประโยชน์ของการปฏิบัติตามกฎหมายยาเสพติด มีดังนี้
๑ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ผู้ที่ไม่เสพยาเสพติดย่อมมีสุขภาพแข็งแรง ปฏิบัติหน้าที่ หรือประกอบอาชีพให้เจริญก้าวหน้าได้
๒ ช่วยให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ ไม่เป็นที่รังเกียจของผู้อื่น สามารถช่วยพัฒนาสังคมและประเทศชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๓ ไม่ถูกลงโทษตามกฎหมาย ทำให้มีประวัติความประพฤติที่ดี ส่งผลต่อการมีโอกาสสมัครงานหรือประกอบอาชีพที่ดี หรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง เช่น การสมัครรับเลือกเป็นผู้แทนในระดับต่าง ๆ
อันตรายของยาเสพติดให้โทษ
การเสพยาเสพติดให้โทษ ย่อมส่งผลให้เกิดอันตราย ดังนี้
๑ ทำลายสุขภาพของผู้เสพ ยาเสพติดส่วนใหญ่จะออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง จึงทำให้การทำงานของระบบบต่าง ๆ ภายในร่างกายเสื่อมลง ส่งผลให้สุขภาพทรุดโทรม มีความด้านทานโรคน้อย ติดเชื้อได้ง่าย
๒ ส่งผลทำให้จิตใจผิดปกติ เมื่อมีความต้องการเสพยาหรืออาการอยากยา จะส่งผลให้มีอาการคลุ้มคลั่ง นำไปสู่การกระทำความผิดต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย
๓ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการที่ระบประสาทถูกทำลาย สมองมึนชาหรือมึนงง ขาดการตัดสินใจแก้ปัญหาเหตุการณ์เฉพาะหน้า เมื่อผู้ติดยาเสพติดขับขี่ยานพาหนะ ย่อมทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น
การศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายเบื้องต้น ทำให้สามารถกล่าวได้ว่ากฎหมายมีความสำคัญในด้านการสร้างเสริมความสงมสงบเเละความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้กับสังคมและประเทศชาติ ก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม เป็นหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนดังนั้น เราทุกคนจึงควรปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
4. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและท้องถิ่น
สมาชิกที่อาศัยอยู่ในชุมชนและท้องถิ่น จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและท้องถิ่น เพื่อให้สามามารถอยู่ร่วมกันใด้อย่างมีความสุข รวมถึงช่วยให้ภายในชุมชนและท้องถิ่นมีความสงบเป็นระเบียบเรียบร้อย และพัฒนาใต้อย่างยั่งยืน ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและท้องถิ่นที่นักเรียนควรทราบ ได้แก่ เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด และข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนตำบล
๑ เทศบัญญัติ
เป็นกฎหมายที่มีการจัดทำโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ เทศบาล เทศบาลมีอำนาจหน้าที่ตราเทศบัญญัติ โดยต้องไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายเทศบัญญัติที่เทศบาลส่วนใหญ่ออกมาใช้บังคับ เช่น งบประมาณประจำปี งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม การจัดเก็บภาษี การควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง การควบคุมการเลี้ยงสัตว์และปล่อยสัตว์เลี้ยง การควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
๒. ข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
เป็นกฎหมายที่ตราออกมาใช้บังคับในท้องถิ่น ซึ่งตราโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัด
องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ตราข้อบัญญัติโดยไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมาย เช่น
๑. การเก็บภาษีบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งจะเก็บจากสถานค้าปลีกในเขตจังหวัด
๒. การเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการบริการสาธารณะที่จัดให้มีขึ้น เช่น ค่าบริการเก็บขยะ
๓. ข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)เป็นกฎหมายที่องค์การบริหารส่วนตำบลตราออกมาใช้บังคับในตำบลที่อยู่ในขอบเขตอำนาจ โดยไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมาย เช่น
๑. การกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย
๒. การจำหน่ายสินค้าในที่สาธารณะ
๓. การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
๔. ประโยชน์ของการปฏิบัติตนตามกฎหมายส่วนท้องถิ่น
การที่ประชาชนในท้องถิ่นปฏิบัติตามกฎหมายส่วนท้องถิ่นที่ตนอยู่นั้น ย่อมเกิดผลดีหรือเกิดประโยชน์ ดังนี้
๑. การเสียภาษีบำรุงท้องถิ่นหรือการเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆตามข้อบังคับของท้องถิ่น ย่อมทำให้ท้องถิ่นมีรายได้และมีงบประในการพัฒนาท้องถิ่นในด้านต่าง ๆ ให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป เช่น การสร้างเส้นทางคมนาคม สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สนามกีฬา
๒. ประชาชนได้รับบริการที่ดีจากท้องถิ่น ท้องถิ่นบางแห่งมีศักยภาพในด้านการ
บริการประชาชนทางด้านคุณภาพการศึกษาโดยสนับสนุนทางด้านบุคลากร อาคารสถานที่ อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนของท้องถิ่นเป็นผู้ที่มีคุณภาพดี
๓. การปฏิบัติตนตามกฎหมายส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกองค์การ
บริหารส่วนท้องถิ่นอย่างเคร่งครัด เลือกคนดีมีความรู้ความสามารถ ย่อมท่าให้บุคคลดังกล่าวได้ใช้ความสามารถในการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้า