Heaventise Cast EP6:
Type of Tasks
Heaventise Cast EP6:
Type of Tasks
ในโลกที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยมุมมองและความคิดที่หลากหลาย การปลูกฝังจิตใจที่เปิดกว้างจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง บทความนี้เราจะมาร่วมกันเดินทางไปสู่หนทางที่ซับซ้อนของการเป็นบุคคลที่เปิดกว้าง มากร่วมกันเปิดเผยชั้นของความไม่ตระหนักรู้ ยอมรับถึงความไร้เดียงสาที่เรามี รักษาความตื่นตัว และบรรลุความเชี่ยวชาญในศิลปะแห่งการเปิดกว้างในท้ายที่สุด
ในโลกที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยมุมมองและความคิดที่หลากหลาย การปลูกฝังจิตใจที่เปิดกว้างจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง บทความนี้เราจะมาร่วมกันเดินทางไปสู่หนทางที่ซับซ้อนของการเป็นบุคคลที่เปิดกว้าง มากร่วมกันเปิดเผยชั้นของความไม่ตระหนักรู้ ยอมรับถึงความไร้เดียงสาที่เรามี รักษาความตื่นตัว และบรรลุความเชี่ยวชาญในศิลปะแห่งการเปิดกว้างในท้ายที่สุด
อันดับแรกก่อนคือ การรับรู้ว่าใจของเรามีกำแพงที่สูงชั้น กั้นเราออกจากโลกข้างนอกนั้น กำแพงดังกล่าวนี้นอกจากยังสูงแล้ว มันยังเป็นกำแพง 2 ชั้นเสียด้วย กำแพงชั้นแรก เราจะเรียกมันว่า “กำแพงอีโก้” ที่จะดีดกลับทุกอย่างที่เป็นมากกว่าตัวเราออกไป การยอมรับว่าสมอง Amygdala ที่เป็นตัวขับเคลื่อนอีโก้ของเรามักจะไม่สามารถเข้าถึงแนวคิดใหม่ ๆ ได้ Amygdala ของเรารู้เพียงว่า “ผู้ล่า ย่อมฉลาดกว่าเรา” และถ้ามันเป็นอย่างนั้นเราต้อง “สู้มันกลับหรือหนีไป (Fight or Flight)” Amygdala เป็นสมองที่ตัดสินอะไรแบบง่าย ๆ เร็ว ๆ เพราะมันเกี่ยวข้องกับความอยู่รอด มันไม่สามารถพูดภาษาแห่งปัญญาที่ต้องการศัยการเปิดกว้างได้ การที่เราไม่เข้าใจถึงกลไกของ Ego จึงนับได้ว่ามันเป็นโศกนาฏกรรมของกระบวนการ Open minded เมื่อข้ามกำแพงชั้นที่ 1 มาได้แล้ว เราก็จะมาถึงกำแพงชั้นที่ 2 ซึ่งเราจะเรียกกำแพงชั้นนี้ว่า “กำแพงจุดบอด” โดยการที่เราจะข้ามกำแพงนี้ได้นั้น เราต้องตระหนักรู้ว่าโลกนี้มันยังมีสิ่งที่ “เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้” สิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้ แปลว่ามันย่อมเป็นสิ่งที่เราไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อน หากเราสามารถที่จะตระหนักได้ว่าโลกนี้มันมีของแบบนั้นอยู่ นั่นก็นับได้ว่าเป็นก้าวกระโดดแรกที่เราจะกระโจนข้ามกำแพงที่สูงขั้น 2 ชั้นนั้นได้
การจะข้ามกำแพงทั้ง 2 ชั้นนี้ได้ กุญแจสำคัญคือคำว่า “ไร้เดียงสา” เพราะด้วยการยอมรับว่า ตนเองนั้นช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกินที่ไปเชื่อว่า การปกป้องตนจากโลกข้างนอกย่อมดีดว่าการเปิดความคิด จะสร้างผลลัพธ์แบบดีดกลับ สามารถที่จะดักทางความคิดเราได้อย่างชาญฉลาด ทำให้เราได้มาซึ่งตัวเร่งที่จะทำให้เกิดการเปิดกว้างอย่างสุดขั้วได้ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจว่าสติปัญญาที่แท้จริงอยู่ที่การรับข้อมูลก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ อีกเรื่องไร้เดียงสาที่จะต้องยอกรับให้ได้ก็คือ การไม่ไร้เดียงสากับแนวคิดที่ว่า “บุคคลที่ยิ่งใหญ่มีคำตอบทั้งหมดและไม่มีจุดอ่อน” แทนที่จะทำอย่างนั้น อยากให้เราเน้นย้ำถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนที่จำเป็นในการยอมรับความเป็นไปได้ที่ว่า ใคร ๆ ก็จะผิดพลาดกันได้ การ Focus พลังเพื่อการเปลี่ยนแปลงจะนำทางสู่การเปิดกว้างในการแสวงหาความรู้ในที่สุด
เมื่อเราข้ามกำแพงมาแล้ว การเปิดใจอย่างมีโครงสร้างคือหนทางที่เราจะมุ่งหน้าเดินกันต่อไป อยากให้รู้ว่าภายใต้การเปิดใจกว้าง มันมีความแตกต่างระหว่างการโต้เถียงและการเรียนรู้มีความชัดเจน เราสามารถทึ่จะมุ่งประเด็นไปที่การหาความจริง หาใช่การโต้เถึยงไม่ นั่นคือเรื่องที่เราต้องเฝ้าระวัง การมีสติในเรื่องของการเฝ้าระวังทางที่เราเดินไป มีความสำคัญในขณะที่การเดินทางสู่การเป็นผู้เปิดใจ โดยการเปลี่ยนจุดสนใจจากการหาว่า “ใคร ๆ ๆ กันหนอ” ที่เป็นคนถูก ไปสู่การ “แสวงหาความจริง” จะเป็นรากฐานใหม่สู่การเดินทางบนถนนสายใจเปิดนี้ เราเรียนรู้ว่า “การถามคำถามที่ถูกต้อง จะนำมาซึ่งคำตอบมี่ถูกต้อง” เป็นจุดเด่นของการเปิดใจกว้าง ด้วยการทำตามรากฐานที่ได้กล่าวมาอย่างระมัดระวัง ความสำคัญของเหตุผลในการสนทนาจะปรากฏชัดเจนขึ้น และเราก็จะพบว่า การเรียนรู้ความจริงคือชัยชนะสูงสุด “การเฝ้าระวัง” สอนให้เราแยกแยะความแตกต่างจากความขัดแย้ง ปูทางไปสู่การเจรจาที่สร้างสรรค์ และทำความเข้าใจมุมมองที่หลากหลาย
ที่น่ากังวลเรื่องหนึ่งของการเปิดใจคือ การระบุว่าใครกันที่กำลังปิดใจอยู่ โดยเราสามารถที่จะระบุผู้ที่กำลังปิดได้ได้จากการสังเกตุการมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้ได้แก่
เขาคนนั้นรู้สึกไม่ดีเมื่อถูกสอบถามและท้าทาย
เขาคนนั้นพูดก่อนถามเป็นประจำ
เขาคนนั้นอยู่ให้คนอื่นเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไรมากกว่าจะพยายามที่จะเข้าใจเรื่องราว
เขาคนนั้นชอบที่จะพูดเพื่อป้องกันตนเองเอาไว้ก่อน เช่น การพูดว่า ผมอาจจะพูดผิดก็ได้ แต่ผมก็จะขอพูดก็แล้วกัน หรือการ Disclamer ในรูปแบบต่าง ๆ
สะกัดกันไม่ให้คนอื่นได้พูด
มีปัญหาในการถือแนวคิดที่มากกว่า 1 เอาไว้ในใจ
ขาดความนอบน้อม ถ่อมตน
กระนั้น โครงสร้างที่ดี ย่อมปูทาง ยกระดับของเราให้เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการเปิดใจได้ด้วย โดยขั้นตอนสุดท้ายของการเดินทางนี้ จะเกี่ยวข้องกับการยกระดับตนเองและผู้อื่นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นของการเปิดใจกว้าง เราควรเรียนรู้ที่จะใช้ความเจ็บปวดเป็นสัญญาณในการไตร่ตรองตนเอง รวมถึงรักษาความสงบในสถานการณ์ที่ท้าทาย การตระหนักถึงจุดบอดและอคติของเรากลายเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงการทำสมาธิก็ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการปลูกฝังการตระหนักรู้ในห้วงความคิดของตนเองเช่นกัน การมีวิธีการคิดที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ มีหลักเหตึ หลักผลจะช่วยเสริมการเติบโตของเราให้ได้เป็นผู้ที่มีใจเปิดกว้าง อารีย์ อยากให้เราใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ความช่วยเหลือ ชี้แนะผู้อื่นในการเดินทางสู่การไปเป็นผู้เปิดใจ และเราควรจะเข้าใจดีว่า เมื่อใดกันควรหยุดทะเลาะในการอภิปราย ซึ่งนั้นจะเป็นเครื่องหมายของสติปัญญาที่แท้จริง เพราะท้ายที่สุด มันไม่เป็นไรที่เราจะพูดว่า เราเห็นตรงกัน ว่าเราเห็นไม่ตรงกัน
โดยสรุป การเดินทางสู่ใจที่เปิดกว้างเป็นการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงผ่านชั้นของความไม่ตระหนักรู้ การเปิดรับกับความไร้เดียงสาที่อยู่ข้างในเรา การเฝ้าระวังการถกเถียงและการหาความจริง เมื่อเราคลี่คลายความซับซ้อนภายในตัวเราได้ เราก็ย่อมปูทางไปสู่สังคมที่การเปิดใจกว้างได้ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่กลายเป็นคุณธรรม แต่มันยังเป็นวิถีชีวิต — เป็นสัญญาณนำทางเราไปสู่การเติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นการอนุญาตให้เราได้ทำความเข้าใจในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา