การติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศของไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี มีทั้งการติดต่อสัมพันธ์กับรัฐเพื่อนบ้าน ประเทศในทวีปเอเชีย และประเทศในทวีปยุโรป (ชาติตะวันตก) ซึ่งการติดต่อสัมพันธ์ส่วนใหญ่จะเป็นการติดต่อสัมพันธ์ในเรื่องของการค้าขาย และการเผยแพร่ศาสนา กล่าวคือ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของกรุงศรีอยุธยากับรัฐอื่น ๆ ส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อ ประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรม และความมั่นคงของอาณาจักร และมักจะใช้ นโยบายสร้างความเป็นมิตรไมตรีต่อกัน บางครั้งก็หันไปใช้นโยบายทางด้านการเผชิญหน้าทาง ทหาร ความสัมพันธ์กับต่างประเทศสมัยกรุงศรีอยุธยา มีดังนี
ชาวยุโรปหรือชาวชาติตะวันตกได้เข้ามาติดต่อกับอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 21 โดยมีวัตถุประสงค์ส าคัญ คือ ต้องการเครื่องเทศ พริกไทย และ ในขณะเดียวกัน เพื่อต้องการเผยแผ่คริสต์ศาสนา โดยประเทศต่าง ๆ ที่เข้ามาติดต่อกับอาณาจักร กรุงศรีอยุธยา ได้แก่
1) ประเทศโปรตุเกสเข้ามาในปี พ.ศ. 2054 ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
2) ประเทศฮอลันดาเข้ามาในปี พ.ศ. 2147 ในสมัยตอนปลายของสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช
3) ประเทศอังกฤษ เข้ามาในปี พ.ศ. 2155 สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
4) ประเทศฝรั่งเศสเข้ามาในปี พ.ศ. 2205 สมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช
5) ประเทศสเปนเข้ามาในปี พ.ศ. 2141 ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ความสัมพันธ์กับโปรตุเกส โปรตุเกสเป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เดินทาง เข้ามาติดต่อกับอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาในปีพ.ศ.2054ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่2 ด้วยการส่งทูตชื่อ ดูอาร์เต้ เฟอร์นันเดส มาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาส่วนทางกรุงศรีอยุธยา ได้ส่งทูตไปมะละกา และส่งพระราชสาส์นไปถวายกษัตริย์ของโปรตุเกส ต่อมาในปี พ.ศ. 2059 ไทยกับโปรตุเกสได้ท าสนธิสัญญาสัมพันธไมตรี และการค้าต่อกัน โดยให้ชาวโปรตุเกสเข้ามา ท าการค้าและเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในกรุงศรีอยุธยา และหัวเมืองต่าง ๆ ของไทย เช่น มะริด ตะนาวศรี ปัตตานี และนครศรีธรรมราช เป็นต้น ส าหรับสินค้าของโปรตุเกสที่ทางกรุงศรีอยุธยา มีความสนใจมากเป็นพิเศษ คือ ปืนไฟ กระสุนปืน และดินปืน สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงสนพระทัยในอาวุธและยุทธวิธีของโปรตุเกสเป็นอย่างมาก ทรงน าความสนพระทัยในเรื่อง อาวุธยุทธวิธีไปแต่งเป็นต าราพิชัยสงคราม อีกทั้งได้เชิญชาวโปรตุเกสเข้ามาเป็นทหารอาสาในไทย และช่วยไทยรบกับพม่าที่เมืองเชียงกราน จนกระทั่งในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชได้โปรดฯ ให้ชาวโปรตุเกสสามารถตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงศรีอยุธยาได้เรียกว่า“หมู่บ้านโปรตุเกส”ตลอดทั้งได้ พระราชทานที่ดิน เพื่อให้สร้างโบสถ์ส าหรับคริสต์ศาสนาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกรุงศรีอยุธยากับ โปรตุเกสเริ่มเสื่อมลงเมื่อชาวตะวันตกชาติอื่นได้เข้ามายังดินแดนแถบนี้ เช่น ฮอลันดา ซึ่งเป็น คู่แข่งทางการค้าที่ส าคัญของโปรตุเกส และทางกรุงศรีอยุธยาก็ยินดีติดต่อการค้าด้วย จนกระทั่ง หลังสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมอ านาจของโปรตุเกสก็ลดบทบาทส าคัญจนไม่มีความส าคัญในที่สุด
ความสัมพันธ์กับฮอลันดา ฮอลันดาปัจจุบันคือประเทศเนเธอร์แลนด์หรือ ดัตช์ เข้ามาติดต่อกับอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาในสมัยตอนปลายรัชกาลของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งหลังจากโปรตุเกสประมาณเกือบหนึ่งศตวรรษ การเข้ามาติดต่อของฮอลันดา จะแตกต่างกับโปรตุเกส คือ ฮอลันดาสนใจเฉพาะด้านการค้า โดยไม่ได้สนใจในเรื่องการเผยแผ่ คริสต์ศาสนา ส าหรับสินค้าที่ชาวฮอลันดาต้องการจากกรุงศรีอยุธยา คือ เครื่องเทศ พริกไทย หนังกวาง และข้าว ตลอดสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไทยกับฮอลันดามีความผูกพันกัน เป็นอย่างดีในสมัยรัชกาลของสมเด็จพระเอกาทศรถได้ส่งราชทูตไปฮอลันดาเพื่อเจรจาด้าน การค้าและศึกษาความเจริญของฮอลันดา ในปี พ.ศ. 2150 และได้เข้าเฝ้ากษัตริย์แห่งฮอลันดา และตอนขากลับทางกษัตริย์ฮอลันดาได้ฝากปืนใหญ่และอาวุธอื่น ๆ มาถวายแด่สมเด็จพระเอกาทศรถ ท าให้ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฮอลันดาเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2176 ฮอลันดาได้ตั้งสถานีการค้าขึ้นในกรุงศรีอยุธยาในระยะแรก การค้าระหว่างไทยกับฮอลันดา เป็นไปด้วยดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางไทยให้สิทธิพิเศษแก่พ่อค้าฮอลันดาในการผูกขาดการค้า หนังสัตว์จากไทย ต่อมาในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ความผูกพันที่มีต่อกันเริ่มมีปัญหาเนื่องจาก ฮอลันดาไม่ช่วยไทยปราบกบฏ และท าให้พระเจ้าปราสาททองต้องเข้มงวดกับฮอลันดามากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อจะให้ไทยค้าขายอย่างอิสระ แต่ฮอลันดาพยายามจะผูกขาดการค้า จนกระทั่งฮอลันดา ต้องใช้ก าลังกองทัพเรือมาบีบบังคับไทยเกี่ยวกับการค้า ความบาดหมางใจกันระหว่างไทยกับ ฮอลันดามีขึ้นอย่างรุนแรงในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฮอลันดาได้ส่งเรือรบมาปิดอ่าวไทย และเรียกร้องสิทธิพิเศษต่าง ๆ จากไทยมากมาย เช่น ฮอลันดาขอมีสิทธิในการค้าขายที่นครศรีธรรมราช ถลาง และหัวเมืองอื่น ๆ รวมทั้งสิทธิพิเศษในการพิจารณาพิพากษาคดี คือ ชาวฮอลันดากระท าผิด ไม่ต้องขึ้นศาลไทย เป็นต้น จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฮอลันดาท าให้ไทยต้องสูญเสียผลประโยชน์ ต่าง ๆ เป็นจ านวนมากแต่ไทยเราก็ยังสามารถรักษาความเป็นเอกราชไว้ได้ต่อมาในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ฮอลันดาเกิดมีปัญหากับอังกฤษเกี่ยวกับเรื่องการค้า จนท าให้ทั้งสองประเทศมีการ ต่อสู้กันทางเรือ ผลปรากฏว่า อังกฤษเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และได้เลิกติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา แต่อิทธิพลของฮอลันดาได้เริ่มเสื่อมลงในตอนกลางสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะทาง กรุงศรีอยุธยาได้ติดต่อกับอังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อเป็นการคานอ านาจกับฮอลันดา ท าให้ฮอลันดา ค่อย ๆ ลดปริมาณการค้าและถอนตัวออกจากกรุงศรีอยุธยาในที่สุด
ความสัมพันธ์กับอังกฤษ ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยา กับอังกฤษเข้ามาติดต่อเกี่ยวกับการค้าขาย และในบางช่วงมีความสัมพันธ์ทางด้านการเมืองด้วย กรุงศรีอยุธยาเริ่มมีความสัมพันธ์กับอังกฤษในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระองค์ทรง อนุญาตให้อังกฤษมาตั้งสถานีการค้าที่กรุงศรีอยุธยาได้ แต่ได้รับการขัดขวางจากฮอลันดา ในที่สุด อังกฤษจึงปิดกิจการบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษในกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2167 ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยาเริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอังกฤษอีก ครั้งหนึ่ง เพราะพระองค์ทรงต้องการให้อังกฤษเข้ามาถ่วงดุลอ านาจกับฮอลันดา ซึ่งก าลังเข้ามามี อิทธิพลและพยายามมีอ านาจเหนือการบริหารบ้านเมืองของพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา อังกฤษจึงเข้ามาตั้งสถานีการค้าในกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2204 โดยมุ่งค้าขายเพียงอย่างเดียว ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฮอลันดา เนื่องจากอังกฤษไม่ประสบ ความส าเร็จในการแข่งขันการค้ากับฮอลันดา ขณะเดียวกันอังกฤษต้องเข้าไปจัดการแก้ไข ปัญหาในทวีปยุโรปด้วย และเมื่อเรือค้าขายของอังกฤษถูกโจรปล้นสะดมในน่านน้ าเมืองมะริด จนต้องสู้รบกับกรุงศรีอยุธยา ท าให้ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับอังกฤษห่างเหินไปจน สิ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตาม อังกฤษมุ่งประโยชน์ทางด้านการค้ากับกรุงศรีอยุธยา เป็นส าคัญ ดังนั้น อังกฤษจึงไม่เกี่ยวข้องกับการเผยแผ่ศาสนาดังเช่นฝรั่งเศส
ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส เป็นชาติตะวันตกชาติสุดท้ายที่เข้ามาติดต่อกับ กรุงศรีอยุธยา โดยมีวัตถุประสงค์ คือ ต้องการเผยแผ่คริสต์ศาสนา ส าหรับชาวฝรั่งเศสที่เดินทาง มายังกรุงศรีอยุธยาชุดแรก คือ กลุ่มของสังฆราชเบริต ชื่อ เดอลาบ๊อต ลัมแปต์กับบาทหลวง อีก 2 องค์ โดยความประสงค์ส าคัญของคณะนี้ คือ ต้องการที่จะใช้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลาง ในการเผยแผ่คริสต์ศาสนา และคณะของสังฆราชเบริต ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ซึ่งได้รับ การต้อนรับจากพระนารายณ์เป็นอย่างดี จนกระทั่งในปี พ.ศ.2233ฝรั่งเศสได้เข้ามาตั้งสถานีการค้า ในกรุงศรีอยุธยา และเพื่อต้องการเป็นมิตรกับฝรั่งเศสสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงทรงส่งทูตไป ฝรั่งเศสในปีพ.ศ. 2223แต่ไปไม่ถึงเพราะเรืออับปางเสียก่อน อีกสามปีต่อมาสมเด็จพระนารายณ์- มหาราช ได้ส่งขุนพิชัยวาทิตและขุนพิชิตไมตรี เป็นทูตไปฝรั่งเศสอีกครั้ง ซึ่งได้รับการต้อนรับจาก ฝรั่งเศสเป็นอย่างดี เมื่อเดินทางกลับทางฝรั่งเศสได้ส่งเชอวาเลีย เดอ โชมองต์ เป็นทูต นับได้ว่า ไทยได้รับการต้อนรับจากฝรั่งเศสเป็นอย่างดี และเป็นการส่งเสริมให้ศาสนาคริสต์แพร่หลายมากขึ้น ฝรั่งเศสได้ส่งคณะทูตมายังกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงให้การต้อนรับอย่างดี โดยให้ออกญาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) เป็นผู้แสดงบทบาทส าคัญในการที่จะให้ ฝรั่งเศสเผยแผ่ศาสนาคริสต์และขยายการค้าซึ่งเป็นที่พอใจของฝรั่งเศสเป็นอย่างยิ่ง แต่การที่ฝรั่งเศส ทูลให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเปลี่ยนศาสนานั้นไม่เป็นผลส าเร็จ ต่อมาในปี พ.ศ. 2229 สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ส่งทูตไทยซึ่งมีออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) เป็นหัวหน้า คณะทูตไทยไปฝรั่งเศส พร้อมกับการกลับไปของคณะทูตเดอโชมองต์ได้พ านักอยู่ในฝรั่งเศสนาน 8เดือน และได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่14แห่งฝรั่งเศสที่พระราชวังแวร์ซายส์ ตลอดทั้งได้ศึกษาถึง ความเจริญในด้านต่าง ๆ ของฝรั่งเศส และเมื่อคณะทูตไทยเดินทางกลับ ฝรั่งเศสได้ส่งทหาร จ านวน 636 คน พร้อมทูตที่มีเดอ ลา บูแบร์เป็นหัวหน้าคณะ และในการมาครั้งนี้จะเห็นว่า ฝรั่งเศสเริ่มเข้ามามีอ านาจในกรุงศรีอยุธยาด้วยการสนับสนุนของออกญาวิชเยนทร์ในปี พ.ศ. 2231 ทูตฝรั่งเศสได้เดินทางกลับโดยมีขุนนางผู้น้อยกลุ่มหนึ่งของไทยเดินทางไปด้วย แต่กองทหาร ฝรั่งเศสยังอยู่ในไทยบริเวณเมืองบางกอก และเมืองมะริด ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวของทหาร ฝรั่งเศสและออกญาวิชเยนทร์เป็นสิ่งที่ขุนนางไทยไม่พอใจจึงได้ต่อต้านฝรั่งเศสและก าจัด ออกญาวิชเยนทร์ในการติดต่อกับฝรั่งเศสท าให้ไทยได้น าความเจริญในด้านต่าง ๆ เข้ามาหลายด้าน เช่น ด้านวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้การแพทย์สมัยใหม่และสร้างหอดูดาวที่พระราชวังจันทรเกษม พระนครศรีอยุธยา ด้านการทหาร มีการสร้างป้อมแบบตะวันตก ด้านการศึกษา ตั้งโรงเรียนที่ กรุงศรีอยุธยาของบาทหลวง และได้ส่งนักเรียนไทยไปเรียนที่ฝรั่งเศส ด้านสถาปัตยกรรม มีการ สร้างพระราชวังแบบไทยผสมฝรั่งเศสที่ลพบุรีเป็นต้น ความสัมพันธ์ไมตรีระหว่างไทยกับ ฝรั่งเศสในระยะหลังไม่ค่อยราบรื่น และมีการสู้รบกันขึ้นระหว่างคนไทยกับทหารฝรั่งเศส และ เป็นระยะเวลาที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สวรรคต ในปี พ.ศ. 2231 สมเด็จพระเพทราชา ขึ้นครองราชย์ ทรงขับไล่ทหารฝรั่งเศสได้ส าเร็จ ท าให้ความสัมพันธ์ไมตรีของทั้งสองประเทศ เสื่อมลงเป็นล าดับ
ความสัมพันธ์กับสเปน ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสเปนไม่ค่อยราบรื่น เนื่องจากสเปนสนับสนุนให้เขมร ซึ่งเป็นประเทศราชของไทย เป็นอิสระจากกรุงศรีอยุธยา โดยหวังจะใช้เขมรเป็นศูนย์กลางการค้า และเป็นแหล่งเผยแผ่คริสต์ศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิด ความบาดหมางกับไทย ชาวสเปนไม่ได้เข้ามาตั้งรกรากในอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ดังนั้น จึงไม่ได้ มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมของสเปนหลงเหลือให้เห็นเด่นชัด
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยกรุงศรีอยุธยาขึ้นอยู่กับนโยบาย ด้านเศรษฐกิจและการเมือง การปกครอง การทูต ศาสนา วัฒนธรรม และด้านการศึกษา แบ่งเป็นด้าน ๆ ได้ดังนี้
1) ด้านเศรษฐกิจ กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ในท าเลที่เป็นศูนย์กลางของ รัฐต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอยู่ใกล้ทะเลที่เป็นเส้นทางการค้าระหว่างอินเดีย และจีน กรุงศรีอยุธยาจึงมีการติดต่อค้าขายกับรัฐอื่น ๆ เช่น จีน อินเดีย ชาติต่าง ๆ ทางด้านตะวันตก และผลักดันนโยบายการเมืองในการขยายอ านาจไปยังรัฐใกล้เคียง เพราะต้องการสินค้าประเภท ของป่า บรรณาการ และควบคุมเมืองท่าอื่น ๆ เช่น มะริด ทวาย ตะนาวศรี หัวเมืองมลายู ที่เป็น เมืองท่าค้าขาย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อความมั่นคงของอาณาจักรเป็นส าคัญ
2) ด้านการเมือง อาณาจักรกรุงศรีอยุธยาขยายอิทธิพลเพื่อความ มั่นคงเป็นปึกแผ่น โดยการขยายอ านาจไปยังสุโขทัย นครศรีธรรมราช และเมืองอื่น ๆ ท าให้ อาณาจักรเข้มแข็งขึ้น แล้วขยายอ านาจสู่ล้านนาทางเหนือ เขมรทางตะวันออก มอญทาง ตะวันตก และหัวเมืองมลายูทางใต้ เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่และเป็นศูนย์กลางอ านาจทาง การเมืองในภูมิภาคนี้
3) ด้านการทูต กรุงศรีอยุธยามีความสัมพันธ์ด้านการทูตทั้งประเทศ ในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ได้แก่
(3.1) ญี่ปุ่น ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญี่ปุ่น เจริญสูงสุดในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ระหว่าง ปี พ.ศ. 2153 - ปี พ.ศ. 2171 ในสมัยนี้ กรุงศรีอยุธยาได้ส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศญี่ปุ่น จ านวน 4 ครั้ง คือ ในปี พ.ศ. 2159 พ.ศ. 2164 พ.ศ. 2166 และ พ.ศ. 2168
(3.2) อิหร่าน ชาวอิหร่านหรือชาวอาหรับได้มาติดต่อค้าขายกับ กรุงศรีอยุธยาและเข้ามารับราชการในราชส านักไทยตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม อิหร่าน ได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่ค่อยราบรื่นเพราะถูกออกญาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) กีดกัน
(3.3)ลังกา กรุงศรีอยุธยามีความสัมพันธ์กับลังกา เพราะลังกาส่งทูต มาขอพระสงฆ์จากไทย เพื่อไปฟื้นฟูพุทธศาสนาในลังกา ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ลังกา จึงเรียกพระสงฆ์ที่ไปปฏิบัติธรรมที่ลังกาว่า ลัทธิสยามวงศ
(3.4) โปรตุเกส ส่งทูตมาเจราจาท าสนธิสัญญาสัมพันธไมตรีกับ กรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 2059 ตรงกับสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ท าให้โปรตุเกสได้สิทธิด้าน การค้า การตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยา การท าสัญญาดังกล่าว ท าให้การค้าระหว่างกรุงศรีอยุธยา กับโปรตุเกส เฟื่องฟูขึ้น จนกรุงศรีอยุธยากลายเป็นแหล่งสินค้าส าคัญส าหรับพ่อค้าโปรตุเกส
(3.5)ฮอลันดา ปี พ.ศ. 2146 ฮอลันดาได้เข้ามาตั้งสถานีการค้า ที่ปัตตานีซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาในขณะนั้น ฮอลันดาส่งทูตเข้ามาติดต่อกับ กรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อก่อตั้งสถานีการค้า แต่การค้าและ ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฮอลันดาในระยะหลังไม่ค่อยราบรื่นนัก ท าให้ความสัมพันธ์ ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฮอลันดาเสื่อมลงตามล าดับ จนฮอลันดาต้องปิดสถานีการค้าไปในที่สุด
(3.6)ฝรั่งเศส สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต้องการให้ฝรั่งเศส เป็นพันธมิตรกับกรุงศรีอยุธยา เพื่อถ่วงดุลอ านาจของฮอลันดา ซึ่งมีท่าทีคุกคามไทย จึงมีการติดต่อ ทางการค้าและทางการทูต พ่อค้าฝรั่งเศสได้เข้ามาตั้งสถานีการค้าในกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งแรก ฝรั่งเศสได้จัดส่งคณะทูตชุดใหญ่ ซึ่งมีเชอวาเลีย เดอ โซมองต์ เป็นหัวหน้าเดินทางมาเยือน กรุงศรีอยุธยา ต่อมาภายหลังกรุงศรีอยุธยาได้ส่งออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) ราชทูตไทยไป เจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซาย
(3.7)สเปน ได้มีทูตของสเปนเดินทางมาเพื่อท าสัญญาสัมพันธไมตรี และการค้าโดยฝ่ายกรุงศรีอยุธยาอนุญาตให้สเปนตั้งสถานีการค้าบนฝั่งแม่น้ าเจ้าพระยา
4) ด้านการศึกษาสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงสนพระทัยในการ ท านุบ ารุงทางด้านการศึกษา พระองค์ได้จัดส่งบุตรออกไปศึกษา ณ ประเทศฝรั่งเศส และน าเอา วิชาการต่าง ๆ มาเผยแพร่และพัฒนาในประเทศไทย มีการฝึกทางด้านการทหารแบบยุโรปการ อักษรศาสตร์และวรรณคดี
5) ด้านศาสนาและวัฒนธรรม ศาสนาและวัฒนธรรมสมัยอยุธยา ต่างชาติที่รับเข้ามามากที่สุดคือ วัฒนธรรมอินเดีย แต่มิได้รับโดยตรง รับต่อจากขอม มอญ และ จากพราหมณ์ที่สืบเชื้อสายต่อ ๆ กันมา ปัจจุบันที่เห็นได้เด่นชัด คือ วัฒนธรรมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา นอกจากนั้น อยุธยายังรับวัฒนธรรมจากอาณาจักรไทยอื่น ๆ เช่น รับเอารูปแบบตัวอักษรและ การเขียนหนังสือจากสุโขทัย
กล่าวโดยสรุป อาณาจักรกรุงศรีอยุธยามีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับรัฐ ที่อยู่ใกล้เคียงและกับรัฐที่อยู่ห่างไกลออกไปทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ส่วนใหญ่ก็เป็นไป เพื่อผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและการค้า ความมั่นคงของราชอาณาจักร และวัฒนธรรม นโยบายส่วนใหญ่มีลักษณะของการสร้างความเป็นมิตรไมตรี การถ่วงดุลอ านาจ และการ เผชิญหน้าทางการทหาร อย่างไรก็ตาม กรุงศรีอยุธยาต้องเผชิญปัญหาการถูกรุกรานจากรัฐที่อยู่ ใกล้เคียงกับกรุงศรีอยุธยา ตลอดแนวพระราชอาณาเขตทางด้านตะวันตก ดังนั้น กรุงศรีอยุธยา จึงต้องใช้นโยบายการเผชิญหน้าทางการทหาร เพื่อป้องกันราชอาณาจักรให้พ้นจากการคุกคาม มากกว่าที่จะเข้าไปรุกราน ส่วนความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก เนื่องจากมีมหาอ านาจ ตะวันตกหลายประเทศต้องการติดต่อกับกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาจึงสามารถใช้นโยบายการ ถ่วงดุลอ านาจอย่างได้ผลพอสมควร แต่บางครั้งเมื่อการถ่วงดุลอ านาจไม่ได้ผล กรุงศรีอยุธยา ก็ต้องอาศัยการป้องกันการคุกคามจากมหาอ านาจตะวันตกก่อนที่สถานการณ์ร้ายแรงจะเกิดขึ้น