สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง)
พระราชประวัติสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง) กษัตริย์พระองค์ แรกในราชวงศ์อู่ทอง แห่งกรุงศรีอยุธยา จดหมาย เหตุโหรระบุว่า พระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีเสด็จ พระราชสมภพวันจันทร์ ขึ้น 8 ค่ า เดือน 5 ปีขาล จ.ศ. 676 (ตรงกับปี พ.ศ. 1857) ได้ทรงสถาปนา เมืองหลวงขึ้นในบริเวณที่หนองโสน เมื่อ จ.ศ. 712 ปีขาลโทศก วันศุกร์ขึ้น 6 ค่ า เดือน 5เวลา 3 นาฬิกา 9 บาท ตรงกับวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1893เมื่อ ครองราชย์ได้รับเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จ พระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต ปีระกา พ.ศ. 1912 อยู่ในราชสมบัติ 20 ปี
พระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถและวีรกรรม
1. การสงครามกับเขมร ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระองค์ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับแว่นแคว้น ต่าง ๆ มากมาย แม้กระทั่ง ขอม ซึ่งก็เป็นมาด้วยดีจนกระทั่งกษัตริย์ขอมสวรรคต พระราชโอรส นาม พระบรมล าพงศ์ ทรงขึ้นครองราชย์ ซึ่งพระบรมล าพงศ์ก็แปรพักตร์ไม่เป็นไมตรีดังแต่ก่อน สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 จึงให้สมเด็จพระราเมศวรยกทัพไปตีกัมพูชา และให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ทรงยกทัพไปช่วย จึงสามารถตีเมืองนครธมแตกได้ พระบรมล าพงศ์สวรรคตในศึกครั้งนี้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 จึงแต่งตั้ง ปาสัต พระราชโอรสของ พระบรมล าพงศ์เป็นกษัตริย์ขอม
2. การปฏิรูปการปกครองและการตรากฎหมาย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงปรับปรุงการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ ศูนย์กลาง เรียกว่า จตุสดมภ์ ซึ่งประกอบด้วย กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา ต่อมาเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กรมเวียงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกรมนครบาล กรมวังเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกรมธรรมาธิกรณ์ กรมคลัง เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกรมโกษาธิบดีและกรมนาเปลี่ยนชื่อเป็นกรมเกษตราธิการ ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง มีการประกาศใช้กฎหมายถึง 10 ฉบับ ได้แก่
1) พระราชบัญญัติลักษณะพยาน
2) พระราชบัญญัติลักษณะอาญาหลวง
3) พระราชบัญญัติลักษณะรับฟ้อง
4) พระราชบัญญัติลักษณะลักพา
5) พระราชบัญญัติลักษณะอาญาราษฎร์
6) พระราชบัญญัติลักษณ์โจร
7) พระราชบัญญัติเบ็ดเสร็จว่าด้วยที่ดิน
8) พระราชบัญญัติลักษณะผัวเมีย
9) พระราชบัญญัติลักษณะผัวเมีย (อีกตอนหนึ่ง)
10) พระราชบัญญัติลักษณะโจรว่าด้วยโจร
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
พระราชประวัติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 8 แห่งกรุงศรีอยุธยาสมัยราชวงศ์สุพรรณภูมิเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ประสูติเมื่อปีกุน จุลศักราช 797 พ.ศ. 1974 เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2031 เมื่อพระชนมายุ 57 พรรษา ทรงครองราชย์ได้ 40 ปียาวนานที่สุดของ กรุงศรีอยุธยา และเป็นลำดับ 3 ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
พระราชกรณียกิจ
พระปรีชาสามารถและวีรกรรม สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถในด้าน การปกครอง ประกอบด้วยการจัดระเบียบการปกครองส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อันเป็นแบบแผน ซึ่งยึดสืบต่อกันมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และการตรา พระราชก าหนดศักดินา ซึ่งท าให้มีการแบ่งแยกสิทธิ และหน้าที่ของแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป โดยทรงเห็นว่ารูปแบบการปกครองนับตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 มีความหละหลวม หัวเมืองต่าง ๆ เบียดบังภาษีอากร และปัญหาการแข็งเมืองในบางช่วงที่พระมหากษัตริย์อ่อนแอ พระองค์ ทรงปฏิรูปการปกครองโดยมีการแบ่งงานฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ออกจากกันอย่างชัดเจน โดยมี "เจ้าพระยามหาเสนาบดี" ดำรงตำแหน่ง สมุหพระกลาโหม มีหน้าที่ดูแลกิจการทหารทั่วอาณาจักร และ "เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์" ด ารงต าแหน่ง สมุหนายก รับผิดชอบงานพลเรือนทั่วอาณาจักร พร้อมกับดูแลหน่วยงานจตุสดมภ์จากเดิม ที่พื้นฐานการปกครองนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยยังไม่ได้แยกฝ่ายพลเรือนกับทหาร ออกจากกันชัดเจน ทั้งนี้ ในยามสงคราม ไพร่ทุกคนจะต้องรับราชการทหารอันเป็นหน้าที่หลัก อันเป็นลักษณะรูปแบบการปกครองของอาณาจักรขนาดเล็กที่ขาดการประสานงานระหว่างเมือง การปกครองในส่วนภูมิภาค ได้ยกเลิกระบบการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ แต่เดิมที่แบ่งออกเป็นเมืองลูกหลวง เมืองหลานหลวง แล้วเปลี่ยนระบบการปกครองหัวเมือง แบบใหม่ดังนี้
1) หัวเมืองชั้นใน จัดเป็นเมืองจัตวา พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ที่ เหมาะสมไปปกครอง แต่สิทธิอ านาจทั้งหมดยังขึ้นอยู่กับองค์พระมหากษัตริย์ 2) หัวเมืองชั้นนอก หรือ เมืองพระยามหานคร มีการก าหนดเป็นเมือง เอก โท หรือตรี ตามล าดับความส าคัญ เมืองใหญ่อาจมีเมืองเล็กขึ้นอยู่ด้วย พระมหากษัตริย์ทรง แต่งตั้งเจ้านายหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไปปกครอง มีการจัดการปกครองเหมือนกับราชธานี
3) เมืองประเทศราช คงให้เจ้าเมืองปกครองกันเอง เพียงแต่ส่งเครื่องราช บรรณาการมาถวายตามก าหนด และเกณฑ์ผู้คนและทรัพย์สินเพื่อช่วยราชการสงคราม ส าหรับการปกครองส่วนท้องถิ่น ให้จัดเป็นหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านปกครอง ดูแล ต าบล มีก านันเป็นหัวหน้า แขวง มีหมื่นแขวงเป็นหัวหน้า พระองค์ยังทรงแบ่งการปกครอง ในภูมิภาค ออกเป็นหมู่บ้าน ตำบล แขวง และเมือง นอกจากนี้ ได้ทรงตราพระราชก าหนดศักดินา ขึ้นเป็นกฎเกณฑ์ของสังคม ท าให้มีการแบ่งประชากรออกเป็นหลายชนชั้น เช่นเดียวกับหน้าที่ และสิทธิของแต่ละบุคคล ศักดินาเป็นความพยายามจัดระเบียบการปกครองให้มีความรัดกุม ยิ่งขึ้น อันเป็นหลักที่เรียกว่า การรวมเข้าสู่ศูนย์กลาง ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าศักดินาจะเป็นการก าหนด สิทธิในการถือครองที่ดิน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว หมายถึงจ านวนไพร่พลที่สามารถครอบครอง เกณฑ์การปรับไหม และล าดับการเข้าเฝ้าแทน
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พระราชประวัติ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีพระนามเดิมว่า พระนเรศ หรือ "พระองค์ดำ" เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตรีย์ (พระราชธิดาของสมเด็จพระสุริโยทัยและสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) พระราชสมภพ เมื่อ พ.ศ. 2098 ที่พระราชวังจันทน์เมืองพิษณุโลก มีพระเชษฐภคินีคือ พระสุพรรณกัลยา มีพระอนุชา คือ สมเด็จพระเอกาทศรถ (พระองค์ขาว) สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 สิริรวมการครองราชสมบัติ 15 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 สิริพระชนมายุ 50 พรรษา
พระราชกรณียกิจ
พระปรีชาสามารถและวีรกรรม วีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นวีรกรรมที่ส าคัญยิ่ง ของชาติไทย คือ พระองค์ได้กู้อิสรภาพของไทยจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก และได้ทรง แผ่อ านาจของราชอาณาจักรไทย อย่างกว้างใหญ่ไพศาล นับตั้งแต่ประเทศพม่าตอนใต้ทั้งหมด คือ จากฝั่งมหาสมุทรอินเดียทางด้านตะวันตก ไปจนถึงฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทางด้านตะวันออก ทางด้านทิศใต้ตลอดไปถึงแหลมมลายูทางด้านทิศเหนือก็ถึงฝั่งแม่น้ าโขงโดยตลอด และยังรวม ไปถึงรัฐไทใหญ่บางรัฐ
นับตั้งแต่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพเป็นต้นมา หงสาวดี ได้เพียรส่งกองทัพเข้ามาหลายครั้ง แต่ก็ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกพ่ายไปทุกครั้ง เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต ในปี พ.ศ. 2133 พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 มีพระชนมายุได้ 35 พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จ พระนเรศวร หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2 และโปรดเกล้าฯ ให้พระเอกาทศรถ พระอนุชา ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช แต่มีศักดิ์เสมอพระมหากษัตริย์อีกพระองค์
ซึ่งเหตุการณ์ประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นต่อหงสาวดีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในครั้งนั้น ส่งผลให้กรุงศรีอยุธยาเป็นเอกราช ไม่ขึ้นตรงต่อกรุงหงสาวดี อีกทั้งยัง สามารถขยายพระราชอาณาเขตไปอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้ชนชาติไทยยังคงความเป็นไทย มีเอกราช มีแผ่นดิน มีพระมหากษัตริย์และไม่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของชาติใด ๆ อีก
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่ฉลาดปราดเปรื่อง มีพระปรีชาสามารถทั้งทางด้านการรบและการปกครอง พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ต่อแผ่นดินไทยและปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดไม่ได้
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พระราชประวัติ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช หรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสรรเพชญ (พ.ศ. 2174/2175 - 2231; ครองราชย์ พ.ศ. 2199 - 2231) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 27 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ เดือนยี่ ปีวอก พ.ศ. 2175 เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททองกับพระนางศิริธิดา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เมื ่อวันที่ 15ตุลาคม พ.ศ. 2199 มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่าสมเด็จพระรามาธิบดีเป็นพระมหากษัตริย์ ล าดับที่ 27 แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อ11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี รวมครองราชสมบัติเป็นเวลา 32 ปี มีพระชนมายุ 56 พรรษา
พระราชกรณียกิจ
พระปรีชาสามารถและวีรกรรม ด้านการเมือง การปกครอง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ อย่างยิ่ง ทรงสร้างความรุ่งเรือง และความยิ่งใหญ่ให้แก่กรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก โดยทรงยกทัพ ไปตีเมืองเชียงใหม่และหัวเมืองพม่าอีกหลายเมือง ได้แก่ เมืองเมาะตะมะ สิเรียม ย่างกุ้ง หงสาวดี และมีกำลังสำคัญที่ทำให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้นสามารถยึดหัวเมืองของพม่าได้ คือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)
ด้านการค้าขาย การทูตกับต่างประเทศ ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รุ่งเรืองมาก มีการ ติดต่อทั้งด้านการค้าและการทูตกับประเทศต่าง ๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น อิหร่าน อังกฤษ และฮอลันดา มีชาวต่างชาติเข้ามาในพระราชอาณาจักรเป็น จ านวนมาก ในจ านวนนี้รวมถึงเจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ชาวกรีกที่ทรงโปรดให้ เข้ารับราชการในต าแหน่งสมุหนายก ขณะเดียวกันยังโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งคณะทูตน าโดยเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชส านักฝรั่งเศส ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถึง 4 ครั้ง ด้วยกัน พระองค์ผู้เป็นที่เลื่องลือพระเกียรติยศในพระราโชบายทางคบค้าสมาคมกับ ชาวต่างประเทศ รักษาเอกราชของชาติให้พ้นจากการเบียดเบียนของชาวต่างชาติ
ด้านวรรณคดี สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ทรงอุปถัมภ์บ ารุงกวีและงานด้าน วรรณคดีอันเป็นศิลปะที่รุ่งเรืองที่สุดในยุคนั้น มีกวีที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น เช่น พระโหราธิบดีหรือ พระมหาราชครู ผู้ประพันธ์หนังสือจินดามณีซึ่งเป็นต าราเรียนภาษาไทยเล่มแรก กวีอีกผู้หนึ่ง คือ ศรีปราชญ์ผู้เป็นปฏิภาณกวี เป็นบุตรของพระโหราธิบดี งานชิ้นส าคัญของศรีปราชญ์ คือ หนังสือก าศรวลศรีปราชญ์และอนิรุทธ์ค าฉันท์ด้วยพระปรีชาสามารถดังได้บรรยายมาแล้ว สมเด็จพระนารายณ์จึงได้รับการถวายพระเกียรติเป็น มหาราช พระองค์หนึ่ง
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 มีพระนามเดิมว่า สิน (ชื่อจีนเรียกว่า เซิ้นเซิ้นซิน) พระราชบิดาเป็นจีน แต้จิ๋ว ได้สมรสกับหญิงไทยชื่อ นกเอี้ยง ภายหลังเป็นกรมสมเด็จพระเทพามาตย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ก่อตั้งอาณาจักรธนบุรีและเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว ในสมัยอาณาจักรธนบุรี ทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่6 เมษายน พ.ศ. 2325เมื่อมีพระชนมายุได้ 48 พรรษา รวมสิริด ารงราชสมบัติ 15 ปี พระราชโอรส-พระราชธิดา รวมทั้งสิ้น 30 พระองค์
พระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถและวีรกรรม พระราชกรณียกิจและวีรกรรมที่ส าคัญใน รัชสมัยของพระองค์ คือ การกอบกู้เอกราชจากพม่า ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง โดยขับไล่ ทหารพม่าออกจากราชอาณาจักรจนหมดสิ้น และยัง ทรงท าสงครามขยายพระราชอาณาเขตตลอดรัชสมัย เพื่อรวบรวมแผ่นดินซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของ ขุนศึกก๊กต่าง ๆให้เป็นปึกแผ่น นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูประเทศในด้านต่าง ๆ ให้กลับคืน สู่สภาวะปกติหลังสงคราม ทรงส่งเสริมทางด้านเศรษฐกิจ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม วรรณกรรม และการศึกษา เนื่องจากพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อแผ่นดินไทย รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปีเป็น "วันสมเด็จพระเจ้าตากสิน"
การขยายพระราชอาณาเขต นอกจากขับไล่พม่าออกไปจากอาณาจักรได้แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินยังได้ ขยายอ านาจเข้าไปในลาว ได้หัวเมืองลาวเข้ามาอยู่ในอ านาจอาจกล่าวได้ว่า สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินเป็นสมัยแห่งการกู้เอกราชของชาติ รวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ขับไล่ข้าศึก ออกไปจากอาณาเขตไทยและขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยของพระองค์ ประเทศไทยจึงยิ่งใหญ่เท่าเทียมเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา มีความรุ่งเรือง อาณาเขตของประเทศไทย ในสมัยกรุงธนบุรี มีดังนี้ ทิศเหนือ ตลอดอาณาจักรล้านนา ทิศใต้ได้ดินแดนกลันตัน ตรัง กานูและไทรบุรีทิศตะวันออก ได้ดินแดนลาว เขมร จรดอาณาเขตญวน และทิศตะวันตก จรด ดินแดนเมาะตะมะ ได้ดินแดน เมืองทวาย มะริด ตะนาวศรี
ด้านการปกครอง หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาแตก กฎหมายบ้านเมืองกระจัดกระจายสูญหายไปมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท าการสืบเสาะ ค้นหามารวบรวมไว้ได้ประมาณ 1 ใน 10 และ โปรดฯ ให้ช าระกฎหมายเหล่านั้น ฉบับใดยังเหมาะแก่กาลสมัยก็โปรดฯ ให้คงไว้ ฉบับใด ไม่เหมาะก็โปรดให้แก้ไขเพิ่มเติมก็มี ยกเลิกไปก็มี ตราขึ้นใหม่ก็มี และเป็นการแก้ไขเพื่อราษฎร ได้รับผลประโยชน์มากขึ้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปกครองบ้านเมืองคล้ายคลึงกับ พระราโชบายของพ่อขุนรามค าแหงมหาราช คือ แบบพ่อปกครองลูก ไม่ถือพระองค์ มักปรากฏ พระวรกายให้พสกนิกรเห็น และมักถามสารทุกข์สุขดิบของพสกนิกรทั่วไป ทรงหาวิธีให้พลเมือง ได้ทำมาหากินโดยปกติสุข ใครดีก็ยกย่องสรรเสริญ ผู้ใดท าไม่พอพระทัย ก็ดุด่าว่ากล่าวดังพ่อสอนลูก อาจารย์สอนศิษย์
1) สมเด็จพระสุริโยทัย
สมเด็จพระสุริโยทัย เป็นพระอัครมเหสีในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 15 ของอาณาจักรอยุธยาสมัยราชวงศ์สุพรรณภูมิพระสุริโยทัย ได้รับ การยกย่องว่า เป็นวีรสตรีจากวีรกรรมยุทธหัตถีกับพระเจ้าแปรในสงครามพระเจ้าตะเบ็งชเวตี
พระวีรกรรม เมื่อ พ.ศ. 2091พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้และมหาอุปราชาบุเรงนองยกกองทัพ พม่ าเข้ าม าล้อมกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก ในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งขึ้นครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาต่อจากขุนวรวงศาธิราช ได้เพี ยง 7 เดื อนโ ด ย ผ่ าน ม าท าง ด้ าน ด่านพระเจดีย์สามองค์จังหวัดกาญจนบุรีและ ตั้งค่ายล้อมพระนคร การศึกครั้งนั้นเป็นที่เลื่องลือถึงวีรกรรมของ สมเด็จพระสุริโยทัย ซึ่งไสช้างพระที่นั่งเข้าขวางพระเจ้าแปรด้วยเกรงว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระราชสวามี จะเป็นอันตราย จนถูกพระแสงของ้าวฟันพระอังสาขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง เพื่อปกป้องพระราชสวามีไว้ เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 6 ค่ า เดือน 4 ปีจุลศักราช 910 ตรงกับ วันเดือนปีทางสุริยคติ คือ วันที่ 3 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2092 เมื่อสงครามยุติลง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ทรงปลงพระศพของพระนางและสถาปนาสถานที่ปลงพระศพขึ้นเป็นวัด ขนานนามว่า วัดสบสวรรค์ หรือวัดสวนหลวงสบสวรรค์พระองค์ถือเป็นวีรสตรีที่มีจิตใจเข้มแข็ง และกล้าหาญ ไม่แพ้บุรุษ ไม่มีความเกรงกลัวต่ออริราชศัตรู สามารถออกรบเพื่อปกป้องประเทศชาติและ ผืนแผ่นดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระสวามี สมควรที่ลูกหลานไทยจะได้ส านึกในบุญคุณของ พระองค์
2) พระสุพรรณกัลยา หรือสุวรรณกัลยา หรือ สุวรรณเทวี เป็น พระราชธิดาในสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชและพระวิสุทธิกษัตรีย์และเป็นพระพี่นางในสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช และ สมเด็จพระเอกาทศรถ ประสูติ ณ พระราชวังจันทน์เมืองพิษณุโลก พระนางปรากฏในพงศาวดารพม่าระบุว่า ในปีพ.ศ. 2112 เจ้าฟ้าสองแคว (พระอิสริยยศของ พระมหาธรรมราชาเมื่อครั้งได้รับการสถาปนาจากพระเจ้าบุเรงนองให้ขึ้นครองพิษณุโลก) ได้ถวาย พระธิดาชื่อ สุวรรณกัลยา พระชันษา 17 ปี กับบริวารและนางสนมรวม 15 คน แก่พระเจ้าบุเรงนอง โดยพระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นพระมเหสี ในพระราชพงศาวดารพม่าได้บันทึกว่า พระสุพรรณกัลยาเป็นพระมเหสีที่พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดปรานมาก โดยทรงจัดให้สร้าง ต าหนักทรงไทยขึ้นในพระราชวังกรุงหงสาวดี
พระวีรกรรม พระสุพรรณกัลยา ได้รับยกย่องให้เป็นวีรสตรี ผู้กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ยอมพลัดพรากจากแผ่นดินไทย ไปเป็นองค์ประกัน ณ กรุงหงสาวดีเพื่อแลกกับองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถต่อมาได้ ทรงสิ้นพระชนม์ชีพในแผ่นดินพม่าอย่างไร้พิธีอันสมพระยศ ความเสียสละอันใหญ่หลวงของ พระองค์ในครั้งนั้นเป็นผลทำให้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกลับมากอบกู้เอกราชของชาติไทย ได้สำเร็จ
3) ขุนรองปลัดชู ขุนรองปลัดชูนามเดิมชื่อ “ชู” เป็นครูดาบอาทมาต ผู้มีฝีมือในเขต เมืองวิเศษไชยชาญ (ปัจจุบันคือ อ าเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น กรมการเมืองวิเชษไชยชาญ ต าแหน่ง “ปลัดเมือง” ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
วีรกรรมสำคัญ ขุนรองปลัดชูเป็นผู้นำในคณะ กรมการเมืองวิเศษไชยชาญ ได้รวบรวมไพร่พล เข้าเป็นกองอาสาสมัครสังกัดกองอาทมาต400 คน เพื่อเข้าร่วมทัพกรุงศรีอยุธยาสมทบกับกองทัพ ของพระยารัตนาธิเบศร์ ต่อต้านการบุกครอง ของกองทัพพม่าในสงครามพระเจ้าอลองพญา กองทัพพม่าน าโดยเจ้ามังระราชบุตรและมังฆ้องนรธา ยกมาทางเมืองมะริดและ ตะนาวศรีหลังจากตีทัพของพระยายมราชแห่งกรุงศรีอยุธยาที่แก่งตุ่ม แขวงเมืองตะนาวศรีแตก ทัพดังกล่าว จึงเดินทางข้ามด่านสิงขรมุ่งสู่เมืองกุยบุรี เพื่อใช้เส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลเข้าสู่ กรุงศรีอยุธยา พระยารัตนาธิเบศร์ ซึ่งรั้งทัพอยู่ที่กุยบุรีจึงส่งกองอาทมาตของขุนรองปลัดชูให้ มาสกัดทัพอยู่ที่อ่าวหว้าขาว (ปัจจุบันอยู่ในเขตต าบลอ่าวน้อย อ าเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) กองอาทมาตของขุนรองปลัดชูได้ปะทะกับกองทัพพม่าซึ่งมีก าลังราว 8,000 คน ตั้งแต่เช้าจรดเที่ยงก็ยังไม่แพ้ชนะ แต่ด้วยจ านวนที่น้อยกว่าและไม่ได้รับก าลังเสริม จากทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ กองอาทมาตจึงตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบเพราะความอ่อนล้า และถูกฝ่ายตรงข้ามไล่ต้อนลงทะเลฆ่าฟันจนเสียชีวิตทั้งหมดในวันนั้น ด้านทัพของพระยา รัตนาธิเบศร์เมื่อทราบว่ากองอาทมาตของขุนรองปลัดชูแตกพ่าย จึงได้เร่งเลิกทัพหนีกลับมายัง กรุงศรีอยุธยาพร้อมกับทัพของพระยายมราช และกราบทูลรายงานการศึกว่า "ศึกพม่าเหลือ ก าลังจึงพ่าย" ส่วนกองทัพพม่าเมื่อผ่านเมืองกุยบุรีได้แล้วก็ยกทัพมายังกรุงศรีอยุธยาโดยสะดวก เนื่องจากแนวรับต่าง ๆ ในล าดับถัดมาของฝ่ายกรุงศรีอยุธยาถูกตีแตกในเวลาอันสั้น แม้ว่าเรื่องราวของขุนรองปลัดชูมีกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เพียงสั้น ๆ แต่ด้วยวีรกรรมที่กล้าหาญ ต่อสู้เพื่อสกัดกองทัพพม่าเพื่อไม่ให้เข้าสู่กรุงศรีอยุธยาได้ แม้จะมีโอกาสหลบหนีเอาตัวรอด แม้แทบไม่มีโอกาสชนะเพราะมีก าลังพลเพียงน้อยนิด แต่ด้วย จิตใจที่ฮึกเหิม ด้วยความรักชาติ ความหวงแหนแผ่นดินเกิด และความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ จึงต่อสู้สละชีวิต เพื่อปกป้องมาตุภูมิและสิ้นชีวิตในสมรภูมิอย่างสมเกียรติ
4) ชาวบ้านบางระจัน ชาวบ้านบางระจัน ได้รับยกย่องให้เป็นกลุ่มวีรชนผู้กล้าหาญ และ เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องบ้านเมืองและประเทศชาติ เรื่องราวของกลุ่มผู้กล้าชาวบ้านบางระจัน เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ให้แก่พม่า กลุ่มวีรชน ดังกล่าวนี้ประกอบด้วย
1) พระอาจารย์ธรรมโชติ เดิมอยู่วัดเขานางบวช แล้วมาอยู่วัดโพธิ์เก้าต้น มีความรู้ ทางวิชาอาคม เป็นที่พึ่งทางใจแก่ชาวค่ายบางระจัน
2) นายแท่น เป็นชาวบ้านสีบัวทอง ถืออาวุธสั้น ถูกปืนของพม่าที่เข่า ในการรบ ครั้งที่ 4 เสียชีวิตเมื่อการรบครั้งสุดท้าย
3) นายอิน เป็นชาวบ้านสีบัวทอง
4) นายเมือง เป็นชาวบ้านสีบัวทอง
5) นายโชติ เป็นชาวบ้านสีบัวทอง ถืออาวุธสั้น
6) นายดอก เป็นชาวบ้านกลับ
7) นายทองแก้ว เป็นชาวบ้านโพทะเล
8) นายจัน หนวดเขี้ยว เก่งทางใช้ดาบ เสียชีวิตในการรบครั้งที่ 8
9) นายทอง แสงใหญ่ เป็นชาวบ้านบางระจัน
10) นายทองเหม็น ขี่กระบือเข้าสู้รบกับพม่า ตกในวงล้อมถูกพม่าตีตาย ในการรบครั้งที่ 8
11) ขุนสรรค์ มีฝีมือเข้มแข็งมักถือปืนเป็นนิจ แม่นปืน
วีรกรรมสำคัญ ปี พ.ศ. 2307 พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่าได้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา โดยได้ยก กองทัพมา 2 ทาง คือ ทางเมืองกาญจนบุรีและทางเมืองตาก โดยมีแม่ทัพ คือ เนเมียวสีหบดี และมังมหานรธา โดยทัพแรกให้เนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพยกมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือของกรุงศรี- อยุธยาแล้วให้ย้อนกลับมาตีกรุงศรีอยุธยา ส่วนทัพที่ 2 มอบให้มังมหานรธา เป็นแม่ทัพยกมาตี เมืองทวายและกาญจนบุรี แล้วให้ยกกองทัพมาสมทบกับเนเมียวสีหบดีเพื่อล้อมกรุงศรีอยุธยา พร้อมกัน ทัพของเนเมียวสีหบดีได้มาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองวิเศษไชยชาญ แล้วให้ทหารออก ปล้นสะดมทรัพย์สมบัติเสบียงอาหาร และข่มเหงราษฎรไทย จนชาวเมืองวิเศษไชยชาญ ไม่สามารถอดทนต่อการข่มเหงของพวกพม่าได้ กลุ่มชาวบ้านที่บางระจันจึงได้รวบรวมชาวบ้าน ต่อสู้กับพม่าโดยได้อัญเชิญพระอาจารย์ธรรมโชติจากส านักวัดเขานางบวช แขวงเมือง สุพรรณบุรี ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธาให้มาช่วยคุ้มครองและมาร่วมให้ก าลังใจ เมื่อมี ชาวบ้านอพยพเข้ามามากขึ้น จึงช่วยกันตั้งค่ายบางระจันขึ้น เพื่อต่อสู้ขัดขวางการรุกรานของพม่า ค่ายบางระจัน เป็นค่ายที่เข้มแข็ง พม่าได้พยายามเข้าตีค่ายบางระจันถึง 7ครั้ง แต่ก็ไม่ส าเร็จ ในที่สุดสุกี้ซึ่งเป็นพระนายกองของพม่า ได้อาสาปราบชาวบ้านบางระจัน โดยตั้งค่ายประชิด ค่ายบางระจัน แล้วใช้ปืนใหญ่ยิงเข้าไปในค่ายแทนการสู้รบกันกลางแจ้ง ท าให้ชาวบ้านเสียชีวิต จ านวนมาก ชาวบ้านบางระจันไม่มีปืนใหญ่ยิงตอบโต้ฝ่ายพม่า จึงมีใบบอกไปทางกรุงศรีอยุธยา ให้ส่งปืนใหญ่มาให้แต่ทางกรุงศรีอยุธยาไม่กล้าส่งมาให้เพราะเกรงว่าจะถูกฝ่ายพม่าดักปล้น ระหว่างทาง ชาวบ้านจึงช่วยกันหล่อปืนใหญ่ โดยบริจาคของใช้ทุกอย่างที่ท าด้วยทองเหลือง มาหล่อปืนได้สองกระบอก แต่พอทดลองน าไปยิง ปืนก็แตกร้าวจนใช้การไม่ได้ ถึงแม้ว่าไม่มี ปืนใหญ่ชาวบ้านบางระจันก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้กับพม่าต่อไป จนกระทั่งวันแรม 2 ค่ำเดือน 8 พ.ศ. 2309 ค่ายบางระจันก็ถูกพม่าตีแตกและสามารถยึดค่ายไว้ได้หลังจากที่ยืนหยัดต่อสู้กับ ข้าศึกมานานถึง 5 เดือน จากวีรกรรมของชาวบ้านบางระจันท าให้ได้รับการยกย่องว่า เป็นวีรกรรมของ คนไทยที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในการเสียสละชีวิตให้แก่ชาติบ้านเมือง และแสดงให้เห็นถึงความสามัคคี และความกล้าหาญของคนไทยในการต่อสู้กับข้าศึก และถือเป็นแบบอย่างที่ดีของอนุชนรุ่นหลัง ทางราชการจึงได้สร้างอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจันเป็นรูปหล่อวีรชนที่เป็นหัวหน้า ทั้ง 11 คน บริเวณหน้าค่ายบางระจัน อ าเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรีเพื่อเป็นอนุสรณ์
1) พระยาพิชัยดาบหัก พระยาพิชัยดาบหัก เป็นขุนนางในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในชั้นเชิงการต่อสู้ ทั้งมือเปล่าแบบมวยไทย และอาวุธแบบกระบี่ กระบอง เดิมชื่อ จ้อย เกิดที่บ้านห้วยคา อ าเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์เมื่อปีพ.ศ. 2284 ในสมัยปลาย กรุงศรีอยุธยาศึกษาอยู่กับท่านพระครูวัดมหาธาตุหรือวัดใหญ่ เมืองพิชัย ภายหลังเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น ทองดี หรือ ทองดีฟันขาว มีความสามารถทั้งทางเชิงมวยและเชิงดาบ ตระเวนชกมวย ตามงานวัดต่าง ๆ จนขึ้นชื่อไปถึงเมืองตาก และได้ชกมวยต่อหน้าเจ้าเมืองตาก (สิน) จนเจ้าเมือง ประทับใจจึงให้ช่วยรับราชการ ให้ไปดูแลเมืองพิชัย นายทองดีได้รับแต่งตั้งเป็นองครักษ์ มีบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงพิชัยอาสา" เมื่อรับราชการมีความดีความชอบจึงได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าหมื่นไวยวรนาถ พระยาสีหราชเดโช และพระยาพิชัย ผู้ส าเร็จราชการครองเมืองพิชัย ซึ่งรับ พระราชทานเครื่องยศเสมอเจ้าพระยาสุรสีห์ ตามลำดับ
วีรกรรมสำคัญ ในปี พ.ศ. 2310 เมื่อพม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา เจ้าตาก (สิน) ถูกเรียกตัวเข้ากรุง พระยาพิชัยก็ติดตามเจ้าตาก (สิน) เข้าไปต้านพม่าในกรุงศรีอยุธยาด้วย ครั้น เมื่อพม่าบุกรุกมา ท่านก็ต่อสู้รักษาแผ่นดิน ท้ายที่สุดต้านพม่าไม่อยู่เจ้าตาก (สิน) ก็ตัดสินใจตีฝ่า วงล้อมพม่าพร้อมด้วยทหารจ านวนหนึ่งออกไปทางชลบุรี หนึ่งในทหารที่ตีฝ่าวงล้อมออกไปก็มี พระยาพิชัย พระยาพิชัยกลายเป็นทหารคู่ใจของเจ้าตาก (สิน) เที่ยวตีหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อ รวบรวมไพร่พล ตั้งแต่ชลบุรี ตราด และก่อนจะทุบหม้อข้าวเข้าตีจันทบุรีที่เป็นเมืองใหญ่ คนที่ เข้าไปพังประตูเมืองจันทบุรีคนแรกก็คือพระยาพิชัยดาบหักท่านนี้ แล้วยึดเมืองจันทบุรีได้ ก่อนจะ ย้อนกลับมาต่อตีกับพม่าที่กรุงศรีอยุธยาและได้รับชัยชนะเหนือพม่า ประกาศอิสรภาพให้แก่ กรุงศรีอยุธยา
เมื่อครั้งพระยาพิชัยซึ่งปกครองเมือง พิชัยในสมัยกรุงธนบุรี ท่านได้สร้างเกียรติประวัติไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปี พ.ศ.2316 โปสุพลา (เนเมียวสีหบดี) ยกกองทัพมาตีเมืองพิชัย พระยาพิชัยได้ยกทัพไปสกัดทัพพม่าจนแตกพ่ายกลับไป การรบในครั้งนั้น ดาบคู่มือของพระยาพิชัยได้หัก ไปเล่มหนึ่ง แต่ก็ยังรบได้ชัยชนะต่อทัพพม่า ด้วยวีรกรรมดังกล่าวจึงได้สมญานามว่า "พระยา พิชัยดาบหัก"
พระยาพิชัยดาบหัก ได้รับยกย่องให้เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดี และ ซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ผู้เป็นเจ้าเหนือหัว เมื่อปีพ.ศ. 2325 หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถูกส าเร็จโทษ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เล็งเห็นว่า พระยาพิชัยเป็นขุนนาง คู่พระทัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่มีฝีมือและซื่อสัตย์ จึงชวนพระยาพิชัยเข้ารับราชการใน แผ่นดินใหม่ แต่พระยาพิชัยไม่ขอรับต าแหน่ง ด้วยท่านเป็นคนจงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อองค์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และถือคติที่ว่า "ข้าสองเจ้าบ่าวสองนายมิดี" จึงขอให้สมเด็จ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกส าเร็จโทษตนเป็นการถวายชีวิตตายตามสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หลังจากท่านได้ถูกส าเร็จโทษ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกเป็น ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีเฉลิมพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์จึงได้มีรับสั่งให้สร้างพระปรางค์น าอัฐิของท่านไปบรรจุไว้ ณ วัดราชคฤห์วรวิหาร ซึ่ง พระปรางค์นี้ก็ยังปรากฏสืบมาจนปัจจุบัน
พระยาพิชัยดาบหัก ได้สร้างมรดกอันควรแก่การยกย่องสรรเสริญให้ สืบทอดมาถึงปัจจุบัน ได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต ความกตัญญูกตเวที ความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด กล้าหาญ รวมถึงความรักชาติ ต้องการให้ชาติเจริญรุ่งเรืองมั่นคงต่อไป