วัฒนธรรม คือ ลักษณะที่แสดงออกถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบ เรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ และศีลธรรมอันดีของประชาชน วัฒนธรรมเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความเป็นอยู่ ความเจริญ เชิดชูเกียรติของ บุคคลและชาติ เพราะชาติใดถ้าไม่มีวัฒนธรรมของตนเอง จะได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยาม เป็นสิ่งที่แสดงถึงอายุและความเจริญของชาติ และเป็นเครื่องมือบังคับให้คนในชาติปฏิบัติตนไป ตามธรรมนองคลองธรรม รักหมู่คณะ ส่งเสริมการกระทำดี รวมทั้งการดำรงอยู่ของชีวิตด้วย วัฒนธรรมที่สำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่
การแต่งกายมีบทบาทต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในการสร้างความสุข ได้อีกทางหนึ่ง ด้วยเหตุที่มนุษย์รักความสวยงาม และเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยากนัก วัฒนธรรม การแต่งกายของคนในแต่ละสังคมมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพความเป็นอยู่ และมีการ เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยภาวะของบ้านเมือง
สำเนียงดั้งเดิมของกรุงศรีอยุธยามีความเชื่อมโยงกับชนพื้นเมือง ตั้งแต่ ลุ่มน้ำยมที่เมืองสุโขทัยลงมาทางลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกในแถบสุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ซึ่งส าเนียงดังกล่าวมีความใกล้ชิดกับส าเนียงหลวงพระบาง โดยเฉพาะส าเนียงเหน่อของ สุพรรณบุรีมีความใกล้เคียงกับส าเนียงหลวงพระบาง ซึ่งส าเนียงเหน่อดังกล่าวเป็นสำเนียงหลวง ของกรุงศรีอยุธยา ประชาชนชาวกรุงศรีอยุธยาทั้งพระเจ้าแผ่นดิน จนถึงไพร่ฟ้าราษฎร ก็ล้วนตรัส และพูดจาสำเนียงเหน่อในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันเป็นการละเล่นโขนที่ต้องใช้ สำเนียงเหน่อ โดยหากเปรียบเทียบกับส าเนียงกรุงเทพฯ ในปัจจุบันนี้สำเนียงเหนือในสมัยนั้น ถือว่าเป็นสำเนียงบ้านนอกถิ่นเล็ก ๆ ของราชธานีที่แปร่ง และเยื้องจากสำเนียงมาตรฐานของ กรุงศรีอยุธยา
ภาษาดั้งเดิมของกรุงศรีอยุธยาปรากฏอยู่ในโองการแช่งน้ำ ซึ่งเป็นร้อยกรอง ที่เต็มไปด้วยฉันทลักษณ์ที่แพร่หลายแถบแว่นแคว้นสองฝั่งลุ่มแม่น้ำโขงมาแต่ดึกด าบรรพ์ และ ภายหลังได้พากันเรียกว่า โคลงมณฑกคติ เนื่องจากเข้าใจว่าได้รับแบบแผนมาจากอินเดีย ซึ่งแท้จริงคือ โคลงลาว หรือโคลงห้า ที่เป็นต้นแบบของโคลงดั้น และโคลงสี่สุภาพ โดยใน โองการแช่งน้ าเต็มไปด้วยศัพท์แสงพื้นเมืองของไทย-ลาว ส่วนคำที่มาจากบาลี-สันสกฤต และ เขมรมีอยู่น้อย โดยหากอ่านเปรียบเทียบก็จะพบว่าส านวนภาษาใกล้เคียงกับข้อความในจารึก สมัยสุโขทัย และพงศาวดารล้านช้าง
ด้วยเหตุที่กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ใกล้ทะเล และเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติ ท าให้สังคมและวัฒนธรรมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ต่างกับบ้านเมืองแถบสองฝั่งโขงที่ห่างทะเล อันเป็นเหตุที่ทำให้มีลักษณะที่ล้าหลังกว่า จึงสืบทอดสำเนียงและระบบความเชื่อแบบดั้งเดิมไว้ ได้เกือบทั้งหมด ส่วนภาษาในกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับอิทธิพลของภาษาจากต่างประเทศจึงรับค า ในภาษาต่าง ๆ มาใช้ เช่น ค าว่า กุหลาบ ที่ยืมมาจากคำว่า กุล้อบ ในภาษาเปอร์เซีย ที่มี ความหมายเดิมว่า น้ำดอกไม้ และยืมคำว่า ปาดรี(Padre) จากภาษาโปรตุเกส แล้วออกเสียง เรียกเป็น บาทหลวง เป็นต้น
สมัยกรุงศรีอยุธยา การละเล่นสมัยกรุงศรีอยุธยาปรากฏในกฎมณเฑียรบาล ในพิธีออกสนามใหญ่ เดือน 5 ขึ้น 5 ค่ า มีการเล่นระบำซ้ายขวา โหม่งครุ่มกายก ในพิธีอำสยุช เดือน 11 มีโหม่งครุ่ม ซ้ายขวา ระบำ ฯลฯ โหม่งครุ่ม เรียกกันตามเสียงฆ้องและกลอง วิธีเล่นมีหลายกระบวน คือ ตีไม้ อย่างหนึ่ง ตีกลองอย่างหนึ่ง และท าท่าทางอีกอย่างหนึ่ง
กระบวนที่ 1 เต้นตีไม้ ปากร้องว่า “ถัดท่าถัด” เต้นไปรอบ ๆ กลอง
กระบวนที่ 2 ฆ้องตี โหม่งน า คนเล่นตีไม้รับจังหวะ 2 - 3 ครั้ง ยกเท้าข้างหนึ่ง แล้วเอี้ยวไปตีกลองพร้อมกัน
กระบวนที่ 3 ทำท่าชูไม้ เอาปลายเกยกัน เรียกว่า “บัวตูม” แล้วชูไม้เอาปลาย ถ่างออก เรียกว่า “บัวบาน” กับเอาโคมไม้มาจดที่ปากยื่นปลายออก เรียกว่า “ช้างประสานงา” เมื่อท าท่าเหล่านี้ให้ยืนยักเอวไปตามจังหวะ การร าท่าทั้งสามในการเล่นโหม่งครุ่มจึงมีต่อกัน ดังนี้ ท่าที่1 ถวายบังคมแล้วลุกขึ้นตีไม้เต้นเวียนรอบกลองร้อง “ถัดท่าถัด” ไปตาม จังหวะฆ้อง 3 รอบ แล้วเปลี่ยนเป็นท่าที่ 2 ท่าที่ 2 ตีฆ้องรัวเป็นสัญญาณให้หยุดยืนรอบกลอง รำท่าบัวตูมบัวบานไปตาม จังหวะฆ้อง แล้วเปลี่ยนเป็นท่าที่ 3 ท่าที่ 3 ตีฆ้องย่าสัญญาณก่อน แล้วให้จังหวะตีไม้ 3 หน ตีกลอง 1 หน แล้วตีไม้ เวียนรอบกลองร้อง “ถัดท่าถัด” ต่อไป
ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีหลักฐานปรากฏในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชว่ามีการให้จัดแสดงโขน และการแสดงประเภทอื่นขึ้นในพระราชวังหลวงของกรุงศรี อยุธยา ในลักษณะที่กล่าวได้ว่าเกือบจะเหมือนกับรูปแบบของนาฏศิลป์ไทยที่ปรากฏอยู่ใน ประเทศไทยในปัจจุบัน และที่แพร่หลายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยในระหว่างที่ ราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยายังมีสัมพันธ์ทางการทูตโดยตรงกับฝรั่งเศส
สมัยกรุงธนบุรี
สมัยกรุงธนบุรีมีช่วงระยะเวลาสั้นเพียง 14 ปีประกอบกับบ้านเมืองต้องผจญ กับศึกสงครามอยู่เป็นประจ าเมื่อว่างจากการศึกสงครามก็ต้องท าการบูรณะฟื้นฟูประเทศ ช่วงระยะ ดังกล่าวการเล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองจึงเป็นการเล่นในลักษณะฝึกฝนการต่อสู้ป้องกันตัว เพื่อ เตรียมส าหรับการศึกสงครามเป็นหลัก ส าหรับการเล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองเพื่อการสนุกสนาน รื่นเริงของชาวบ้านก็ปรากฏให้เห็นในยามบ้านเมืองว่างเว้นจากสงคราม ความมุ่งหมายในการ เล่นเกมและกีฬาพื้นเมือง โอกาสที่เล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองและลักษณะของการเล่นเกมและ กีฬาพื้นเมืองในสมัยธนบุรีจึงมีลักษณะเหมือนในสมัยกรุงศรีอยุธยา กล่าวคือ เล่นเกมและกีฬา พื้นเมืองเพื่อฝึกฝนร่างกายเป็นการเตรียมพร้อมท าศึกสงคราม เล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองเพื่อ เป็นการสนุกสนานรื่นเริงผ่อนคลายความตึงเครียด ในยามว่างจากศึกสงครามและว่างจาก งานประจำโอกาสที่เล่นเกมและกีฬามักเล่นกันในยามว่างจากงานประจ าหรือในโอกาสที่มีการ เฉลิมฉลอง งานพระราชพิธีงานพิธีการ งานรื่นเริงตามขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ลักษณะ ของการเล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองที่เล่นเพื่อเป็นการฝึกหัดการต่อสู้ได้แก่ตีคลีการต่อสู้บนหลังม้า ชนช้าง มวยไทย มวยปล้ ากระบี่กระบอง กายกรรม ลอดบ่วง ดังปรากฏลักษณะของการเล่นเกม และกีฬาพื้นเมืองในหนังสือลิลิตเพชรมงกุฏ และยังมีการเล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองที่เล่นเพื่อ ความเพลิดเพลิน เป็นการสนุกสนานรื่นเริงในเทศกาลต่าง ๆ ได้แก่ ชนโค ชนไก่ ชนโคคน วิ่งวัว วิ่งควาย ว่าว แข่งเรือ ตะกร้อ สะบ้า สกา หมากรุก ลิงชิงหลัก ปลาลงอวน อีโปง ไม้หึ่ง และ ไม้จ่า เป็นต้น ซึ่งก็จะคล้ายคลึงกับการเล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง