การทำยุทธหัตถี คือ การทำสงครามบนหลังช้างตามประเพณีโบราณของกษัตริย์ ในภูมิภาคอุษาคเนย์ เป็นการทำสงครามซึ่งถือว่ามีเกียรติยศ เพราะช้างถือเป็นสัตว์ใหญ่ และ เป็นการปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ผู้แพ้อาจถึงแก่ชีวิตได้การกระท ายุทธหัตถีในประวัติศาสตร์ไทย ปรากฏทั้งหมด 4 ครั้ง คือ
1. การชนช้างระหว่างพ่อขุนรามคำแหงมหาราชกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด พ่อขุนรามคำแหงชนะ
2. การชนช้างที่สะพานป่าถ่าน ระหว่างเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยา เพื่อชิง ราชสมบัติ ปรากฏว่าสิ้นพระชนม์ทั้งคู่
3. ยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระสุริโยทัยกับพระเจ้าแปร ในปีพ.ศ. 2091 ที่ทุ่ง มะขามหย่อง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์บนคอช้าง
4. ยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กับพระมหาอุปราชามังสามเกียด ในปีพ.ศ. 2135 ที่อ าเภอดอนเจดีย์จังหวัดสุพรรณบุรีสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ชัยชนะ
สงครามยุทธหัตถี ที่ยกมาเป็นบทเรียนนี้ เป็นการท าสงครามยุทธหัตถีที่เกิดขึ้น ในปี พ.ศ. 2135 ระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา กับพระมหาอุปราชา แห่งกรุงหงสาวดี ผลของสงครามครั้งนั้น ปรากฏว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นฝ่ายชนะถึงแม้จะมีก าลัง พลน้อยกว่า
ประวัติสงคราม ในปีพ.ศ. 2135 พระเจ้านันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา น ากองทัพทหาร 240,000 คน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงทราบว่า พม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีก าลัง 100,000 คน เดินทางออกจากบ้านป่าโมก ไปสุพรรณบุรีข้ามน้ าตรงท่าท้าวอู่ทอง และตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย
เช้าวันจันทร์ แรม 2ค่ำเดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงช้าง นามว่า เจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของทั้งสองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้ว หรือเคยผ่านสงครามชนช้างชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซึ่งเป็นช้างที่กำลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่ง ไล่ตามพม่าหลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงคบาทเท่านั้นที่ติดตาม ไปทัน
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสาร อยู่ในร่มไม้กับเหล่าท้าวพระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรงของสองพระองค์หลงถล าเข้ามาถึงกลางกองทัพ และตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า “พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาท ายุทธหัตถีด้วยกันให้เป็นเกียรติยศไว้ใน แผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว” พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอ เข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟัน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา สิ้นพระชนม์อยู่ บนคอช้าง ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงฟันเจ้าเมืองจาปะโรเสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่า แพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้น ทัพหลวงไทย ตามมาช่วยทัน จึงรับทั้งสองพระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่นั้นมา ก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกทัพมากล้ ากรายกรุงศรีอยุธยาเป็นระยะเวลาอีกยาวนาน
สงครามยุทธหัตถี เริ่มต้นจากพระมหาธรรมราชาได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนามว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ปกครอง กรุงศรีอยุธยาสืบต่อมา และเมื่อเสร็จสิ้นสงคราม พระมหาธรรมราชาได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนามว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ครั้นต่อมา พระเจ้าบุเรงนองได้ส่งพระนเรศวรกลับคืนกรุงศรีอยุธยาหลังจากที่พระองค์ได้อยู่ที่กรุงหงสาวดี เป็นเวลา 6 ปีสมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีสถาปนาพระนเรศวรขึ้น เป็นพระมหาอุปราชและส่งไปครองเมืองพิษณุโลก และระหว่างที่สมเด็จพระนเรศวรประทับอยู่ ที่เมืองพิษณุโลก พระองค์ทรงฝึกฝนไพร่พลให้เข้มแข็งในการศึกสงครามเพื่อเตรียมประกาศเอกราช
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นผู้ที่มีความสามารถในการรบ ท าให้ฝ่ายพม่า หวาดระแวงว่ากรุงศรีอยุธยาจะแข็งเมือง จึงหาทางก าจัดพระนเรศวร แต่พระองค์ทรงทราบ แผนการนี้ก่อน จากพระยาเกียรติ์และพระยารามซึ่งเป็นขุนนางชาวมอญ สมเด็จพระนเรศวร มหาราช จึงทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นของกรุงหงสาวดี จนกระทั่ง พ.ศ. 2135 พระมหาอุปราชาได้ยกกองทัพพม่ามุ่งหวังมายึดกรุงศรีอยุธยาคืนให้ได้การท า สงครามในครั้งนี้ได้ทรงกระท ายุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่พระมหาอุปราชา พลาดท่าเสียทีถูกสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฟันด้วยพระแสงของ้าวจนสิ้นพระชนม์บนคอช้าง ท าให้พม่าต้องถอยทัพกลับไป
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ท าให้พม่าไม่ได้ยกทัพมาโจมตีกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นเวลานาน และท าให้หัวเมืองต่าง ๆ พากันเกรงขามในความสามารถของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ ยอมกลับมาอ่อนน้อมต่อกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง จึงท าให้คนไทยได้อยู่อาศัยอย่างสงบสุขและ ปลอดภัยจากการรุกรานของศัตรูภายนอกติดต่อกันนานถึง 150 ปี
การทำสงครามยุทธหัตถี เป็นสงครามที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้น า ความ เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถในด้านการรบของพระมหากษัตริย์ และการท ายุทธหัตถี ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในครั้งนั้น นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของ พระองค์ท่าน ที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อการปกป้องบ้านเมือง ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ ยังแสดง ให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพ พระราชปฏิภาณไหวพริบของพระองค์ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อีกทั้งการมองการณ์ไกล และการเตรียมความพร้อมตั้งอยู่ในความไม่ประมาทของ พระมหากษัตริย์ไทย ที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยฝึกฝนไพร่พลให้มีทักษะความช านาญในการรบ ได้น ามาซึ่งความเป็นปึกแผ่นของการสร้างชาติ ไม่เป็นเมืองขึ้นของใคร
นอกจากนี้ การรวบรวมไพร่พลเพื่อเข้าร่วมทัพของสมเด็จพระนเรศวร มหาราช ได้จำนวนถึงหนึ่งแสนคน ได้แสดงให้เห็นถึงความสมัครสมานสามัคคีของชนชาติไทย ในอดีตยามมีภัย หรือยามศึกทุกคนก็มีความรักชาติรักแผ่นดิน พร้อมออกต่อสู้ศึกสละชีพ เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินอย่างไม่กลัวตาย