หมายถึง ระเบียบแบบแผนที่กำหนดสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คนในสังคม ยึดถือปฏิบัติกันมา ถ้าคนในสังคมนั้นฝ่าฝืนมักถูกต าหนิจากสังคม สำหรับประเพณีไทยมักมี ความเกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระพุทธศาสนา และพราหมณ์ ประเพณีไทย หมายถึง ความเชื่อ ความคิด การกระทำค่านิยม ทัศนคติศีลธรรม จารีต ระเบียบ แบบแผน และวิธีการกระทำต่าง ๆ ตลอดจนถึงการประกอบพิธีกรรมในโอกาส ต่าง ๆ ที่กระทำกันมาแต่ในอดีต ลักษณะส าคัญของประเพณี คือ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติเชื่อถือมานาน จนกลายเป็นแบบอย่าง ความคิด หรือการกระท าที่สืบต่อกันมา และยังมีอิทธิพลอยู่ในปัจจุบัน ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชีวิตของผู้คนผูกพันกับน้ำเพราะสภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม ที่มีทั้งแม่น้ าหลายสายที่แตกย่อยออกเป็นลำคลองสายเล็กสายน้อยซอกซอยไปทุกที่ การสัญจร และประเพณีต่าง ๆ ที่อยู่ในชีวิตประจ าวันจึงเกี่ยวข้องกับน้ำอย่างแยกไม่ออก ทำให้เกิด ประเพณีที่สำคัญ ๆ ดังนี้
พระราชพิธีพยุหยาตราทางชลมารคเป็นประเพณีที่จัดให้มีขึ้นเป็นประจำ ทุกปี และในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นยุคที่กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรือง อย่างสูงสุด ทางราชการได้จัดกระบวนพยุหยาตราเต็มยศขึ้นเรียกว่า กระบวนการพยุหยาตรา เพชรพวง ต้องใช้คนตั้งแต่ 10,000 คนเข้าริ้วกระบวน อันนับเป็นริ้วกระบวนพยุหยาตราทาง ชลมารคที่ยิ่งใหญ่ และมโหฬารที่สุด กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ได้จัดขึ้นในคราวที่ พระมหากษัตริย์ เสด็จพระราชด าเนินไปในการต่าง ๆ ทั้งส่วนพระองค์และที่เป็นพระราชพิธี ตลอดจนโอกาสสำคัญ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก การเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการ รอยพระบาท การอัญเชิญพระพุทธรูปที่ส าคัญจากหัวเมืองเข้าประดิษฐานในเมืองหลวง การ ต้อนรับทูตต่างประเทศ เป็นต้น
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเป็น พิธีพราหมณ์ในตอนบ่ายพราหมณ์เชิญเทวรูปออกตั้งบนเบญจาที่เทวสถานโบราณพราหมณ์ ให้ประชาชนเข้าแถวสรงน้ำถวายพวงมาลัยพระเทวรูปแล้วแห่รถยนต์หลวงไปตั้งในโรงพิธี ทุ่งส้มป่อย จึงเรียกติดต่อกันว่าพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ จัดขึ้นเพื่อ เป็นขวัญกำลังใจและเป็นสิริมงคลแก่ชาวนา พระมหากษัตริย์จะโปรดให้พระอินทกุมารเป็น ผู้แทนพระองค์โดยมอบพระแสงอาญาสิทธิ์ในการไถหว่าน นางเทพีหาบกระเช้าหว่านธัญพืช ส่วนเสนาบดีกรมนา หรือออกญาพลเทพมีหน้าที่จูงโค พระราชพิธีนี้จัดขึ้น ณ ทุ่งแก้ว หรือ ที่นาหลวง เมื่อมีการไถหว่านได้ 3 รอบแล้วก็ปลดพระโคออกเพื่อกินของเสี่ยงทาย ของเสี่ยงทาย มี3 อย่าง คือ ถั่ว 3 อย่าง หญ้า 3 อย่าง ถ้าพระโคกินของเสี่ยงทายสิ่งใดจะมีคำทำนายไว้
ประเพณีสงกรานต์ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นประเพณีหลวง (ไม่เป็นประเพณี ราษฎรเป็นพระราชพิธีในเดือน 5 เป็นการให้ข้าราชการพากันไปถวายบังคมถือน้ำพิพัฒน์สัจจา พระราชทานเบี้ยหวัด ผ้าปี แก่ข้าราชการฝ่ายในและฝ่ายหน้า สมัยกรุงศรีอยุธยา พิธีนี้ขยายกว้าง ออกไป มีการสรงน้ำพระพุทธรูป และพระสงฆ์มีการก่อเจดีย์ทราย และจัดฉลองกันอย่างสนุกสนาน ประเพณีสงกรานต์กำหนดให้มีขึ้น 3 วัน คือวันที่ 13, 14 และ 15 เมษายน มีชื่อเรียก ดังนี้
วันแรก เป็นวันที่พระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า “วันมหาสงกรานต์” ตรงกับวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี
วันที่สอง วันกลาง เป็นวัน “เนา” ตรงกับวันที่ 14 เมษายน หรืออาจจะเป็น วันที่ 15 เมษายน เพราะบางปีมีวันเนา 2 วัน
วันที่สาม เป็น “วันเถลิงศก” ตรงกับวันที่ 15 เมษายน วันเถลิงศกนี้เป็นจุด เปลี่ยนจุลศักราชงานพระราชพิธีเริ่มตั้งแต่วันจ่าย คือ วันก่อนสงกรานต์
มีการสวดฉลองพระทราย ครั้นถึงมหาสงกรานต์ก็มีการสวดมนต์ และสรงน้ำพระ จำนวนพระสงฆ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มิได้จำกัดจำนวน ในวันเนาตอนบ่าย มีการฉลองพระทรายเตียงยก ซึ่งจัดขึ้น จ านวน 10 องค์ เวลาค่ า พระราชาคณะสวดมนต์ วันเถลิงศก เริ่มด้วยการทรงบาตรในวันนี้เสด็จขึ้นหอพระ ทรงพระสุหร่าย แล้วเสด็จขึ้นหออัฐิเพื่อสดัปกรณ์ ถวายภัตตาหารเพล หลังจากนั้นก็พระราชทานรดน้ าพระ บรม-วงศานุวงศ์ที่มีพระชนมายุ 60 พรรษาขึ้นไป ส าหรับประชาชนมีการท าบุญตักบาตร สรงน้ าพระ ไปขอพรผู้ใหญ่ที่เคารพ และมีการละเล่นฉลองต่าง ๆ ตามความนิยมของท้องถิ่น ประเพณีสงกรานต์ มีเรื่องราวเป็นนิทานประกอบ ว่า ก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุล ซึ่งท าให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัว เป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่ าสุราสุดขีด ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐีสบประมาท ในความมีทรัพย์มาก แต่ไร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไรจึงแสดงอาการเยาะเย้ยและ สบประมาท เฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรมท่านจึงไม่มีบุตร ตายไปแล้วสมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่นหมด สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษา ยามเจ็บไข้และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจ นับแต่นั้นมา เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์ และพระจันทร์เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร ท าเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามปีก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนา จนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวาร ของตน มาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่บนฝั่งแม่น้ าที่อาศัยของนกทั้งหลาย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ าสะอาดถึง 7ครั้ง แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น เมื่อสุกแล้วยกขึ้นบูชาพระไทร เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร จึงขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตร แก่เศรษฐี พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ “ธรรมบาล” ลงมาเกิดในครรภ์ของ ภรรยาเศรษฐีเมื่อครบก าหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร เพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา เศรษฐีจึงสร้างปราสาท สูง 7 ชั้น ถวายเทพต้นไทร เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้และ วัยเพียง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท ยังมีเทพองค์หนึ่งชื่อ “ท้าวกบิลพรหม” ได้ยินกิตติศัพท์ทาง สติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย จึงคิดทดลองภูมิปัญญา โดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถาม ปัญหา 3 ข้อ ถ้ากุมารน้อยแก้ปัญหาทั้ง 3 ข้อได้ ท้าวกบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา ถ้าธรรมบาลกุมารแก้ไม่ได้ ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ปัญหานั้นมีว่า ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด ข้อสาม ตอนค่ าราศีของคนอยู่แห่งใด เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว ธรรมบาลกุมาร ไม่อาจทราบค าตอบในทันทีได้จึงผลัดวัน ตอบปัญหาไปอีก7 วัน ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบปัญหานั้น ไม่ได้ จึงหลบออกจากปราสาทหนีเข้าป่า และไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล ขณะนั้น บนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่ นางนกถามสามีว่า“พรุ่งนี้เราจะ ไปหาอาหารที่ไหน” นกสามีก็ตอบว่า“พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้” นางนกถามว่า“ปัญหานั้นว่าอย่างไร” นกสามีตอบว่า ปัญหามีอยู่ 3 ข้อ และหมายถึง ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ข้อสาม ตอนค่ าราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมาร ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี และจ าจนขึ้นใจ ทั้งนี้เพราะ ธรรมบาลกุมารรู้ภาษานก จึงกลับสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่แห่งตน รุ่งขึ้นเป็นวันครบก าหนดแก้ปัญหา ท้าวกบิลพรหมมาฟังค าตอบ ธรรมบาลกุมารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุยกันทุกประการ ท้าวกบิลพรหม จึงเรียกธิดาทั้ง 7 ของตนอันเป็นบริจาริกา คือ หญิงรับใช้ของ พระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าเอาศีรษะพ่อวางไว้ บนแผ่นดิน แผ่นดินก็จะลุกไหม้ไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ อากาศจะแห้งแล้งฟ้าฝนจะ หายไปสิ้น ถ้าทิ้งลงไปในมหาสมุทร น้ าในมหาสมุทรจะเหือดแห้งไปเช่นกัน จึงสั่งให้นางทั้ง 7 คน เอาพานมารองรับศีรษะ แล้วจึงตัดศีรษะส่งให้นางทุงษะ ธิดาคนโต นางทุงษะ จึงเอาพานรับ เศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วอัญเชิญไปไว้ในมณฑปถ้ าคันธุรลี เขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ชื่อ ภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วก็แจกกันเสวยทุกๆ องค์ ครั้นครบ 365วันโลกสมมุติว่าเป็นหนึ่งปีเป็นสงกรานต์ธิดา7องค์ของ ท้าวกบิลพรหม ก็ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของพระบิดาออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ ทุกป
ประเพณีการลงแขกทำนา เป็นประเพณีอีกประเพณีหนึ่งที่ชาวกรุงศรี- อยุธยารักษาเอาไว้กล่าวคือ เมื่อถึงฤดูเกี่ยวข้าวชาวนาจะช่วยกันเก็บเกี่ยว ในการเก็บเกี่ยวจะมี การร้องรำทำเพลงร่วมกัน ซึ่งจะได้ทั้งงานได้ทั้งความเบิกบานส าราญใจ และไมตรีจิตมิตรภาพ ประเพณีนี้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียง ความรักพวกพ้องของชาวกรุงศรีอยุธยา เป็นการปฏิบัติ เข้าทำนองสุภาษิตโบราณว่า “ถ้าเหลือกำลังลาก ให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม” ประเพณีนี้ เป็นเครื่องยืนยันถึงลักษณะนิสัยใจคอของคนไทยได้อีกกรณีหนึ่งด้วย
ประเพณีเดือน 11 การแข่งเรือเป็นการเสี่ยงทายระหว่างพระเจ้าแผ่นดินกับ พระมเหสี และพระบรมวงศานุวงศ์เป็นพิธีปลอบขวัญก าลังใจแก่ราษฎรมากกว่าจะแข่งกันอย่าง จริงจัง เพราะถ้าหากเรือไกรสรมุขเป็นเรือศีรษะราชสีห์ของพระเจ้าแผ่นดินชนะ ทายว่า ข้าวจะ ได้มาก จะอุดมสมบูรณ์ ราษฎรก็จะได้สบายใจ แต่ถ้าหากเรือสมรรถไชยเป็นเรือของพระมเหสีชนะ ทายว่า จะเกิดยุคเข็ญเดือดร้อน จึงเข้าใจว่าในการแข่งเรือทุกๆ ครั้ง เรือสมรรถไชยของพระมเหสี จะต้องแพ้ทุกครั้ง ประเพณีการแข่งเรือจัดเป็นพระราชพิธีใหญ่ เมื่อเสร็จการแข่งเรือแล้วจะมี มหรสพ พระราชทานเลี้ยงขุนนาง และพระราชทานรางวัล ในยามค่ าคืนพระมหากษัตริย์จะ เสด็จทางชลมารคแห่รอบพระนครและลอยพระประทีปถวายเป็นพุทธบูชา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาพระราชพิธีจองเปรียงตามประทีป (ชักโคม) มีทั้งใน พระราชวัง และตามบ้านเรือน ทั้งในพระนคร และนอกพระนคร พิธีนี้มีกำหนด 15 วัน การพระราชพิธีจองเปรียง ลดชุดโคมลอยนี้ทำในเดือนสิบสอง ซึ่งปรากฏอยู่ในกฎมณเฑียรบาล ตามคำโบราณกล่าวว่า พิธีจองเปรียงตามประเพณีนี้เป็นพิธียกโคมขึ้นบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ ในศาสนาพราหมณ์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ครั้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงมา นับถือพระพุทธศาสนา พระราชพิธีนี้จึงเป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณีในสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์และพระพุทธบาท ได้กำหนดการยกไว้ว่า ถ้าปีใดที่มีอธิกามาส ให้ยกโคมขึ้นตั้งแต่ วันแรม 14 ค่ า ถึงวันขึ้น 1ค่ำ เดือนอ้ายเป็นวันลดโคม หรืออีกนัยหนึ่งก าหนดตามโหราศาสตร์ว่า พระอาทิตย์ถึงราศีพฤศจิก พระจันทร์อยู่ราศีพฤษภ เมื่อใดเมื่อนั้นเป็นกำหนดที่จะยกโคม หรือ อีกนัยหนึ่งกำหนดด้วยดวงดาวกฤติกา คือ ดาวลูกไก่ ถ้าเห็นดาวลูกไก่ตั้งแต่หัวค่ำจนรุ่งเมื่อใด เมื่อนั้นเป็นเวลายกโคม