ในสมัยที่พระเจ้าเอกทัศน์ปกครองเมืองนั้น บ้านเมืองมีความอยู่เย็นเป็นสุข การค้าขายเจริญก้าวหน้า แต่บ้างก็บันทึกไว้ว่าในสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ ทรงท าให้เมืองถดถอย พระชายามีอ านาจเท่ากับพระเจ้าแผ่นดิน จากเดิมผู้ที่กระท าความผิดร้ายแรงจะถูกประหารชีวิต แต่กลับเปลี่ยนมาเป็นการริบทรัพย์กลายเป็นของพระชายา จนท าให้เชื้อพระวงศ์หลายคน ไม่พอใจแล้วเริ่มตั้งตนเป็นกบฏ โดยมีความหวังว่าตนจะได้เป็นใหญ่ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจาก ขุนนางและชาวบ้าน ท าให้บ้านเมืองเริ่มมีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เพราะเหตุนี้เองที่ท าให้กรุงศรี อยุธยาเริ่มมีความตกต่ าเสื่อมถอยลงไปทุกวัน
เมื่อพระเจ้าอลองพญาแห่งเมืองพม่าได้ทราบถึงปัญหาในกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอลองพญาจึงได้ประกาศสงครามกับเมืองอยุธยา เพื่อที่จะได้เมืองอยุธยาเป็นเมืองขึ้น แต่ในระหว่างการท าศึกพระเจ้าอลองพญาก็ได้สิ้นพระชนม์ลงและพ่ายแพ้กลับไป หลังจากนั้น ฝั่งอยุธยาคิดว่าได้โอกาส เจ้าเมืองจึงตอบโต้โดยการส่งทูตไปยั่วยุให้ประเทศราชต่าง ๆ ของพม่า เกิดการแข็งข้อ เมื่อพระเจ้ามังระกษัตริย์องค์ใหม่ของพม่าได้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงตัดสินใจส่งเนเมียวสีหบดีและมังมหานรธาไปปราบเมืองขึ้นที่แข็งข้อให้หมด
ทัพของเนเมียวสีหบดีก็ได้เข้าตีในแคว้นล้านช้าง เชียงตุงและเชียงใหม่ จึงได้รับชัยชนะด้วยจ านวนคน 20,000 คน ส่วนทัพของมังมหานรธาก็ได้เข้าตีเมืองทวาย และ ทัพของพระเจ้ามังระก็เข้าตีที่เมืองมณีปุระ หลังจากที่ได้ชัยชนะแล้วทัพของพระเจ้ามังระ ก็ไปรวมตัวกับทัพของมังมหานรธารวมเป็นก าลังผลกว่า 30,000 คน หลังจากนั้นพระเจ้ามังระ จึงได้ท าการประกาศศึกกับเมืองอยุธยา เพราะเพียงแค่ต้องการท าลายอิทธิพลของเมืองอยุธยา ให้สิ้น เพื่อจะได้ไม่มีใครมายุยงการก่อกบฏอีก โดยพระเจ้ามังระได้ประกาศออกไปว่าหากเมือง ใดที่ยอมเข้าร่วมแต่โดยดี โดยส่งก าลังพลส่งเสบียงมาเข้าร่วมด้วยจะเว้นไว้ แต่หากหัวเมืองใด ขัดขืนก็จะถูกเผาให้สิ้นในไม่ช้า
พระเจ้าเอกทัศน์ก็ทราบถึงข่าวแล้วได้รวมก าลังพลกว่า 60,000 คน และวาง ก าลังพลไว้ที่เมืองกาญจนบุรี เมืองสุโขทัย เมืองพิษณุโลก และได้เตรียมกองทัพไว้ตั้งรับที่ กรุงศรีอยุธยา ส่วนในฝั่งของพม่าก็ได้เริ่มการโจมตีโดยแบ่งการโจมตีของทัพของเนเมียวสีหบดี โดยเริ่มตีเมืองจากเมืองล าปาง ก าแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก จนไปถึงเมืองอยุธยา ส่วนทาง ฝ่ายทัพของมังมหานรธาก็ได้แบ่งการโจมตีเป็น 3 ทาง ในทางแรกเป็นการโจมตีจากเมืองเมาะตามะ แล้วตามด้วยเมืองสุพรรณบุรี ทางที่สองโจมตีโดยเริ่มจากเมืองมะริด เมืองเพชรบุรี เมืองชุมพร นนทบุรี ในทางที่เป็นการโจมตีเริ่มจากทวายไปยังเมืองกาญจนบุรีและทั้ง 3 ทัพก็ไปรวมตัวกัน ที่กรุงศรีอยุธยา และสาเหตุที่ทัพของเนเมียวสีหบดีและทัพของมังมหานรธาสามารถเข้าไปถึง กรุงศรีอยุธยาได้ง่ายก็เพราะว่าการต้านทานของแต่ละเมืองนั้นมีการต้านทานเพียงเล็กน้อย ที่เป็นเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากความกลัวของหัวเมืองจากการโจมตีของพม่า
พระเจ้าเอกทัศน์จึงได้ตัดสินใจให้สร้างค่ายล้อมเมืองเอาไว้ทั้ง 8 แห่ง ซึ่งในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2309 พม่าได้รุกคืบไปอยู่ใกล้กับก าแพงเมืองและได้สร้างค่ายกว่า 27 ค่าย ล้อมรอบกรุงศรีอยุธยาเอาไว้ เมื่อพวกขุนนางรู้ก็พากันกันหนีเอาตัวรอด เพราะคิดว่าอย่างไร กรุงศรีอยุธยาก็ต้องผ่ายแพ้ให้กับพม่าแน่นอน
ระหว่างที่กองทัพพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น พระยาตาก (สิน) เห็นว่า ไม่อาจจะต่อสู้พม่าได้ จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกประมาณ 500 คน ตีฝ่าวงล้อมของกองทัพพม่า ออกไปทางทิศตะวันออก และไปตั้งอยู่ที่เมืองจันทบุรี เพื่อหาฐานที่มั่นวางแผนกลับมาตีกองทัพ พม่าต่อไป ในที่สุดฝ่ายพม่าที่ตั้งทัพล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้นก็สามารถตีกรุงศรีอยุธยาได้ส าเร็จ เป็นครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้บ้านเมืองสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เพราะพม่าได้ ทำลายบ้านเรือน และวัดต่าง ๆ ด้วยการจุดไฟเผา รวมทั้งกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย และ นำทรัพย์สมบัติต่าง ๆ กลับไปเป็นจ านวนมาก
สาเหตุของสงคราม
พระเจ้ามังระ สืบราชย์ต่อจากพระเจ้ามังลอก พระเชษฐา ใน พ.ศ. 2306 และ อาจนับได้ว่า พระเจ้ามังระมีพระราชด าริพิชิตดินแดนอยุธยานับแต่นั้น ในคราวที่พระเจ้าอลองพญา เสด็จมาบุกครองอาณาจักรอยุธยานั้น พระเจ้ามังระก็ทรงร่วมทัพมาด้วย หลังเสวยราชย์แล้ว ด้วยความที่ทรงมีประสบการณ์ในการสู้รบครั้งก่อน พระเจ้ามังระจึงทรงทราบจุดอ่อนของอาณาจักร อยุธยาพอสมควร และตระเตรียมงานสงครามไว้เป็นอันดี
ในรัชกาลพระเจ้ามังระ มีการปราบกบฏในแว่นแคว้นต่าง ๆ และพระองค์ ก็ทรงเห็นความจ าเป็นต้องลดอ านาจของกรุงศรีอยุธยาลง ถึงขนาดต้องให้แตกสลายหรือ อ่อนแอไป เพื่อมิให้เป็นที่พึ่งของเหล่าหัวเมืองที่คิดตีตัวออกห่างได้อีก พระองค์ไม่มีพระราชประสงค์ในอันที่จะขยายอาณาเขตอย่างเคย ในเวลาไล่เลี่ยกัน หัวเมืองล้านนาและหัวเมืองทวาย ก็กระด้างกระเดื่องต่ออาณาจักรพม่า พระเจ้ามังระจึงต้องทรงส่งรี้พลไปปราบกบฏเดี๋ยวนั้น ฝ่ายพม่าบันทึกว่าอยุธยาได้ส่งก าลังมาหนุนกบฏล้านนานี้ด้วย แต่พงศาวดารไทยระบุว่า ทหาร อยุธยาไม่ได้ร่วมรบ เพราะพม่าปราบปรามกบฏเสร็จก่อนกองทัพอยุธยาจะไปถึง
นอกจากนี้ คาดว่ามีสาเหตุอื่น ๆ อันน าไปสู่การสงครามกับอยุธยาด้วยเป็นต้นว่า อยุธยาไม่ส่งหุยตองจา ที่เป็นผู้น ากบฏมอญ คืนพม่าตามที่พม่าร้องขอ (ตามความเข้าใจของ ชาวกรุงเก่าพระเจ้ามังระ หมายพระทัยจะเป็นใหญ่เสมอพระเจ้าบุเรงนอง หลังพระเจ้าอลองพญา รุกรานในครั้งก่อน มีการตกลงว่าฝ่ายอยุธยาจะถวายราชบรรณาการ แต่กลับบิดพลิ้ว (ปรากฏใน The Description of the Burmese Empire) หรือไม่ก็พระเจ้ามังระ มีพระด าริว่า อาณาจักร อยุธยาอ่อนแอ จึงสบโอกาสที่จะเข้าช่วงชิงเอาทรัพย์ศฤงคาร และจะได้น าไปใช้เตรียมตัวรับศึก กับจีนด้วย
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 มีสาเหตุ เนื่องจากปัญหาการแย่งชิงอ านาจ ของชนชั้นปกครองปลายกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์จนถึงสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ซึ่งน าไปสู่การกวาดล้างบ้านเมือง อีกทั้งการขาดผู้มีความรู้ความสามารถในการบริหาร และการรบ ซึ่งผู้แพ้จะถูกฆ่าล้างโคตร เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนาม หรือถูกจองจ า ถูกถอดยศยิ่งเกิด การชิงอ านาจบ่อยเท่าใด บ้านเมืองก็ยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น นอกจากนี้ได้เกิดความแตกสามัคคี ในหมู่ข้าราชการ โดยแตกเป็นสองฝ่ายตามแต่เจ้านายตน แม้จะมีข้าศึกประชิดเมือง ข้าราชการ ก็ไม่สามารถสามัคคีกันได้จากสาเหตุข้างต้นจึงส่งผลให้เศรษฐกิจในสมัยนั้นตกต่ า เพราะไพร่พล ถูกเกณฑ์ไปรบ ไม่มีเวลาท ามาหากิน พ่อค้าต่างชาติไม่กล้าเข้ามาค้าขาย ท าให้บ้านเมืองขาดเสบียง เมื่อพม่าล้อมจึงเสียกรุงในที่สุด
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เกิดจากการขาดความสามัคคี ความอ่อนแอ ของกองทัพ กระทั่งคนในชาติเอง อีกทั้งส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้บริหารบ้านเมืองยึดติดอยู่กับ การแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว และหลงเพ้อกับภาพลวงตาของความมั่งคั่งจนมองไม่เห็นปัญหา ที่สะสมอยู่ ที่ส าคัญจะเห็นได้จากความเข้มแข็งของผู้รุกราน คือ พม่า ซึ่งมีกองก าลังที่พร้อมจะ รบทุกเมื่อ จึงส่งผลให้พม่าสามารถตีกรุงศรีอยุธยาและกวาดต้อนผู้คน พร้อมทั้งท าลายสิ่งที่เป็น ทรัพย์สินของชาติไทยไปอย่างน่าเสียดาย