ดังนั้น ชนชาติไทยในอดีต จึงถือว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันสูงสุด ของชาติ ที่มีบทบาทส าคัญในการเป็นผู้นำ รวบรวมประเทศชาติให้เป็นปึกแผ่น และกษัตริย์ ทุกพระองค์ปกครอง ดูแลและบริหารประเทศชาติโดยใช้หลักธรรม ที่เป็นค าสอนของศาสนา ด้วยความเข้มแข็งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีความศรัทธาเลื่อมใสในสถาบันศาสนา ที่เป็น เสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้คนในชาติประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงาม เพราะทุกศาสนา ล้วนแต่สอนให้คนประพฤติและคอยประคับประคองจิตใจให้ดีงาม มีความศรัทธาในการบำเพ็ญตน
ตามรอยพระศาสดาของแต่ละศาสนา และเมื่อพระมหากษัตริย์เป็นผู้ที่ประพฤติตนอยู่ในธรรม และปกครองแผ่นดินโดยธรรมแล้ว ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ต่างอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข จึงท า ให้สถาบันชาติ ที่เป็นสัญลักษณ์เปรียบเสมือนอาณาเขตผืนแผ่นดินที่เราอยู่อาศัย มีความมั่นคง พัฒนาและยืนหยัดได้อย่างเท่าเทียมอารยประเทศ ดังนั้น สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และ สถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นสถาบันหลักของชาติไทย ที่ไม่สามารถแยกจากกันได้สามารถ ยึดเหนี่ยวจิตใจของปวงชาวไทยและคนในชาติมาจวบจนทุกวันนี้
ความหมายของ ชาติ
ชาติ[ชาด ชาดติ] น. ในพจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน ความหมายที่ 2 หมายถึง ประเทศ ประชาชนที่เป็นพลเมืองของประเทศ กลุ่มชนที่มีความรู้สึก ในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประวัติศาสตร์ความเป็นมา ขนบธรรมเนียมประเพณี และ วัฒนธรรมอย่างเดียวกันหรืออยู่ในปกครองรัฐบาลเดียวกัน
หรืออีกนัยหนึ่ง ชาติ จะหมายถึง กลุ่มคน หรือประชาชนที่มีจุดร่วมของการ เป็นชาติ เช่น มีประวัติศาสตร์ มีผู้น าหรือกษัตริย์ที่เก่งกล้า มีวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมา หรือมี เป้าหมายที่ดีส าหรับการรวมเป็นชาติเดียวกัน มีแผ่นดินที่มีประชาชนยึดครอง มีอาณาเขต ที่แน่นอน มีการปกครองเป็นสัดส่วน มีผู้น าเป็นผู้ปกครองประเทศและประชาชนทั้งหมด ด้วยกฎหมายที่ประชาชนในชาตินั้นก าหนดขึ้น เช่น ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข มีศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจ าชาติ มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี เป็นเอกลักษณ์ประจ าชาติของตนเอง สืบทอด กันมาจากบรรพบุรุษเป็นเวลายาวนาน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 แห่ง ราชวงศ์จักรี ท่านได้มีพระกระแสรับสั่งเกี่ยวกับคำว่า “ชาติ” ไว้ว่า “การที่จะเป็นชาติได้ ต้องมี องค์ประกอบ 2 สิ่ง คือ 1)คน และ 2) แผ่นดิน ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเป็นชาติไม่ได้ อธิบายได้ว่า ผืนแผ่นดินใด หากไร้คนอยู่อาศัย จะจัดว่าเป็นที่รกร้าง และหากผืนแผ่นดินใดมีแต่ค น แต่ผืนแผ่นดินนั้นไม่ใช่ของกลุ่มคนนั้นเป็นเจ้าของ ถือว่าพวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อย ไม่ถือเป็นชาต
ความเป็นมาของชนชาติไทย
การศึกษาเรื่องถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย ได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีเศษ มาแล้ว โดยนักวิชาการชาวตะวันตก ต่อมาได้มีนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ทั้งคนไทยและ ชาวต่างประเทศได้ศึกษาค้นคว้าต่อมาเป็นล าดับจนถึงปัจจุบัน การศึกษาค้นคว้าได้อาศัย หลักฐานต่าง ๆ เช่น โครงกระดูกมนุษย์ เครื่องมือเครื่องใช้ เอกสารโบราณ หลักฐานทางภาษา และวัฒนธรรมท้องถิ่น ผลจากการค้นคว้าปรากฏว่ามีนักวิชาการและผู้สนใจเรื่องถิ่นก าเนิดของ ชนชาติไทยต่างเสนอแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของชนชาติไทยไว้หลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มแรก ในระยะแรก ๆ นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าถิ่นก าเนิดของชนชาติไทยอยู่ในดินแดนเทือกเขาอัลไต แล้วอพยพถอยร่นลงมาทางตอนใต้ของประเทศจีน หรือกลุ่มที่สอง เชื่อว่า ถิ่นฐานก าเนิดของ ชนชาติไทย น่าจะอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีนบริเวณมณฑลเสฉวน ลุ่มแม่น้ าแยงซีเกียง แล้วอพยพลงมาทางใต้ และแนวคิดอีกกลุ่มหนึ่ง เชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของคนไทยอยู่กระจัด กระจายทางตอนใต้ของประเทศจีนและทางตอนเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนบริเวณรัฐอัสสัมของอินเดีย ต่อมาได้อพยพย้ายถิ่นกระจายออกไป นอกจากนี้ ยังมี นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการไทยและต่างชาติ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญและนักประวัติศาสตร์บางท่าน ได้ศึกษาค้นคว้าจากโครงกระดูกมนุษย์ของยุคหินใหม่ ที่ค้นพบในประเทศไทยจ านวนหลาย ๆ โครงกระดูก มีลักษณะเหมือนโครงกระดูกของคนไทยในปัจจุบัน จึงได้เสนอแนวคิดว่า ดินแดน ประเทศไทยน่าจะเป็นที่อยู่ของบรรพบุรุษคนไทยมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งแต่ละ แนวคิด ก็มีเหตุผลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์และทางกายวิภาคศาสตร์ที่น่าสนใจ แต่ยัง ไม่มีแนวคิดใดเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบัน
จากร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดี จดหมายเหตุจีน พระราชพงศาวดาร รวมถึงเอกสารทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มีการยืนยันและเชื่อว่า ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย ในแหลมทอง (Golden Khersonese) เริ่มต้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 800 (พุทธศตวรรษที่ 8 - 12) เป็นต้นมา โดยมีดินแดนของอาณาจักรและแคว้นต่าง ๆ เช่น อาณาจักรฟูนัน ตั้งอยู่บริเวณทาง ทิศตะวันตกและชายทะเลขอบอ่าวไทย และมีอาณาจักรหริภุญชัยทางเหนือ อาณาจักรศรีวิชัย ทางใต้ และมีอาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12) บริเวณลุ่มแม่น้ าเจ้าพระยาตอนล่าง เป็นต้น ต่อมาได้มีการรวมตัวเป็นปึกแผ่น โดยมีพระมหากษัตริย์ มีดินแดนและสถาปนาอาณาจักร สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของชนชาติไทย ราวปี พ.ศ. 1762 โดยพ่อขุนศรีนาวน าถม พระราช บิดาของพ่อขุนผาเมือง เป็นผู้ปกครองอาณาจักร
จากหลักฐานและข้อมูลข้างต้นนี้ รวมถึงสมมติฐานของแหล่งอารยธรรมต่าง ๆ ของโลก ซึ่งส่วนใหญ่แหล่งก าเนิดของชนชาติกลุ่มต่าง ๆ ในอดีตจะอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ าต่าง ๆ อาทิ แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ าไทกริส (Tigris) ทาง ตะวันออก และแม่น้ ายูเฟรติส (Euphrates) ทางตะวันตก หรืออารยธรรมอินเดียโบราณหรือ อารยธรรมลุ่มแม่น้ าสินธุ ก็ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ า เป็นต้น ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ชนชาติกลุ่ม ต่าง ๆ ที่เคยอาศัยในลุ่มแม่น้ าเจ้าพระยา หรือบริเวณรอบอ่าวไทย จะมีการรวมตัวกัน เป็นปึกแผ่นแล้วมีการพัฒนาเป็นชุมชน สังคม และเมือง จนกลายมาเป็นอาณาจักรต่าง ๆ ของ ชนชาติไทยตามพงศาวดาร
การรวมชาติไทยเป็นปึกแผ่น
ไม่ว่าแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของชนชาติไทย จะอพยพมาจากที่ใด จะมีการพิสูจน์หรือได้รับการยอมรับหรือไม่ คงไม่ใช่ประเด็นส าคัญที่จะต้องพิสูจน์หาค าตอบ คงปล่อยให้เป็นเรื่องของนักประวัติศาสตร์หรือนักวิชาการที่ต้องศึกษาหรือค้นคว้าต่อไป แต่ความส าคัญอยู่ที่ลูกหลานคนไทยทุกคนที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินไทย ต้องได้เรียนรู้และต้อง ยอมรับว่าการรวบรวมชนชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น และให้ชนชาติไทยมีแผ่นดินอยู่สุขสบาย ชั่วลูกชั่วหลานจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ จะสามารถท าได้โดยง่าย จะสังเกตจากที่หลาย ชนชาติที่เคยเรืองอ านาจในอดีต แต่เนื่องจากขาดผู้น าที่เข้มแข็ง ไม่สามารถรวบรวมประชาชน ให้เป็นปึกแผ่น ปัจจุบันได้กลายเป็นชนกลุ่มน้อย ต้องไปอาศัยแผ่นดินของชนชาติอื่นอยู่ หรือ ต้องไปอยู่ภายใต้การปกครองของชนชาติอื่น ด้วยเหตุนี้ คนไทยและลูกหลานไทยทุกคนต้อง ตระหนักถึงบุญคุณของบรรพบุรุษไทยและพระปรีชาสามารถของบูรพมหากษัตริย์ไทยในอดีตที่ สามารถรวบรวมชนชาวไทย ปกป้องรักษาเอกราชและดินแดนของประเทศไทยไว้ได้มาโดยตลอด การรวบรวมชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น จึงเป็นเสมือนเป็นพระราชกรณียกิจที่ส าคัญของ พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตซึ่งหากจะย้อนรอยไปศึกษาพงศาวดารฉบับต่าง ๆ รวมถึง ประวัติศาสตร์ชาติไทย ตั้งแต่ยุคก่อนการสถาปนากรุงสุโขทัย ให้เป็นราชธานีแห่งแรกของ ชนชาวไทยแล้ว การสถาปนาราชธานีของชนชาวไทยทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะเป็นการสถาปนา กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ รวมไปถึงการกอบกู้เอกราชหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยา ทั้ง 2 ครั้ง ล้วนเป็นวีรกรรมและบทบาทอันส าคัญของพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น
เหตุการณ์การรวบรวมชนชาติไทยให้เป็นปึกแผ่นในอดีต เกิดขึ้นหลายครั้ง นับตั้งแต่การรวมชาติครั้งแรกในสมัยพ่อขุนศรีนาวน าถมผู้สถาปนากรุงสุโขทัย ให้เป็นราชธานี ของชนชาติไทย ต่อมาเมื่อพระองค์ได้เสด็จสวรรคต ขอมสบาดโขลญล าพง ได้ท าการยึด กรุงสุโขทัย พระราชโอรสของพ่อขุนศรีนาวน าถม พระนามว่า พ่อขุนผาเมือง และพระสหาย นามว่า พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยางได้เข้ายึดอ านาจคืนจากขอมได้ส าเร็จ พ่อขุนผาเมือง จึงได้ยกให้พ่อขุนบางกลางหาวขึ้นเป็นกษัตริย์ในปี พ.ศ. 1792 ภายหลังถวายพระนามเป็น พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ จึงถือเป็นปฐมกษัตริย์พระองค์แรกของราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีของไทยได้ประมาณ 200 ปี ก่อนที่อ่อนอ านาจลง และ ถูกผนวกในฐานะหัวเมืองหนึ่งในพระราชอาณาเขตของกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 1921 ในสมัย พระมหาธรรมราชาที่ 2 แม้ว่าพระมหากษัตริย์ของราชวงศ์พระร่วงหรือราชวงศ์สุโขทัยจะหมดอ านาจลง แต่การรวมอ านาจของเมืองอโยธยา กับเมืองสุพรรณบุรี ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี แห่งใหม่ โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ในปี พ.ศ. 2893 สุโขทัยก็ได้ ถูกผนวกในฐานะเมืองประเทศราชซึ่งต่อมาผู้สืบทอดอ านาจราชวงศ์สุโขทัยหรือราชวงศ์ พระร่วง ยังกลับมามีบทบาทและมีอ านาจอีกครั้งในสมัยกรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตาม การเรือง อ านาจหรือหมดอ านาจของอาณาจักรน้อยใหญ่ในอดีต เป็นแค่เพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตามกาลเวลา แคว้นใดหรืออาณาจักรใด มีผู้น าที่เข้มแข็ง แคว้นนั้นหรืออาณาจักรนั้น ก็จะ สามารถยึดเมือง รวบรวมประชาชนและสถาปนาเมืองขึ้นมาให้เป็นปึกแผ่นได้ เฉกเช่น ชนชาติไทย ในอดีตทั้งในสมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา รวมไปถึงอาณาจักรล้านนา หริภุญชัย พิษณุโลก ชากังราว สุพรรณบุรี และเมืองอื่น ๆ ในดินแดนสุวรรณภูมิหรือแหลมทองแห่งนี้ แม้นว่าจะเสื่อม อ านาจลง ถูกผนวกเข้ามารวมเป็นปึกแผ่นภายหลัง แต่ประชาชนและชนชาติในอาณาจักรต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนถือเป็นบรรพบุรุษรากเหง้าของคนไทยในปัจจุบันเช่นเดียวกัน ชนชาติใดหรือกลุ่มคนใดก็ตาม ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ยอมมีหลักยึดเหนี่ยว ในการด าเนินชีวิตที่คล้ายกัน เช่น มีพระมหากษัตริย์ที่รักและเคารพองค์เดียวกัน มีศาสนาที่รัก และศรัทธาเหมือนกัน มีบ้านเมืองที่อยู่อาศัยในอาณาเขตเดียวกัน และมีแผ่นดินที่ต้องปกป้อง ผืนเดียวกัน ชนชาติไทยในอดีตก็เช่นเดียวกัน ประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ เหล่าเสนาอ ามาตย์ ทหาร นักรบ นักบวชพระภิกษุสงฆ์ ชาวบ้านหญิงชาย และอื่น ๆ จะมีหลักยึดเหนี่ยวของการเป็นชนชาติเดียวกัน จึงท าให้การต่อสู้เพื่อรวมชาติไทย ให้เป็นปึกแผ่นเกิดขึ้นหลายครั้ง แม้ว่าจะถูกรุกราน ตีแตกพ่ายอพยพไร้แผ่นดินอยู่ หรือจะถูก ยึดครองหลายต่อหลายครั้ง แต่บรรพบุรุษไทยที่มีความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไม่เคย ยอมให้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน มีการต่อสู้เพี่อกอบกู้เอกราชและดินแดน เพื่อหวังว่าลูกหลานไทย จะได้มีชาติมีแผ่นดินอยู่สืบต่อไป
บทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยในการรวมชาติ ดังที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นว่า บทบาทการรวบรวมชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น เป็นบทบาทที่ส าคัญของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต หากรัฐใดแคว้นใด ไม่มีผู้น าหรือ พระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็ง มีพระปรีชาสามารถทั้งด้านการรบ การปกครองรวมถึงด้านการค้า เศรษฐกิจการคลัง รัฐนั้นหรือแคว้นนั้น ย่อมมีการเสื่อมอ านาจลงและถูกยึดครอง ผนวกไปเป็น เมืองขึ้นหรือประเทศราชภายใต้การปกครองของชนชาติอื่นไป การถูกยึดครองหรือผนวกไปเป็น เมืองขึ้นภายใต้การปกครองของอาณาจักรอื่นในอดีต สามารถท าได้หลายกรณี อาทิเช่น การยอม สิโรราบโดยดี โดยการเจริญไมตรีและส่งบรรณาธิการถวาย โดยไม่มีศึกสงครามและการเสีย เลือดเนื้อ เช่น การรวมแผ่นดินและสถาปนากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง กษัตริย์ พระองค์แรกของกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 1893 พระองค์ได้ทรงสร้างพระราชวังและพระที่นั่ง ต่าง ๆ ให้มีความมั่นคง ต่อมาพระยาประเทศราชทั้ง 16 หัวเมือง คือ เมืองมะละกา เมืองชวา เมืองนครศรีธรรมราช เมืองทวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะล าเริง เมืองสงขลา เมืองจันทบูร เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองก าแพงเพชร และเมืองนครสวรรค์ ได้มาถวายบังคมอยู่ร่วมเขตขัณฑสีมา หรือการรวมแผ่นดินโดยการการยกทัพไปตีเมื่อชนะ ก็ยึดครอง เกณฑ์ไพร่พลกลับมาเมืองตนเองและแต่งตั้งเจ้านายหรือผู้ที่ได้รับการไว้ใจไปปกครอง เช่น สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ทรงพระกรุณาให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราเมศวร ยกพล 5000 ไปตี กรุงกัมพูชาธิบดี ซึ่งพระองค์ทรงรบชนะ จึงได้กวาดเอาครัวชาวกรุงกัมพูชาธิบดีเข้าพระนคร เป็นอันมาก
จะเห็นว่าในการทำศึกสงครามเพื่อการปกป้องแผ่นดินของตนเองหรือการ ท าศึกสงครามเพื่อขยายพระราชอาณาเขต ล้วนเป็นบทบาทของพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ต้องยกทัพน าไพร่พลออกท าศึกสงครามด้วยพระองค์เอง การศึกสงครามเพื่อ ปกป้องบ้านเมืองจากอริราชศัตรูในอดีตสมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา เกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น การท ายุทธหัตถีหรือการชนช้างระหว่างเจ้าราม หรือพ่อขุนรามค าแหง กับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ในสมัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระราชบิดา ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ราวปี พ.ศ. 1800 หรือเหตุการณ์การยุทธหัตถี และการกอบกู้เอกราช และรวบรวมไพร่พลเพื่อสร้างกรุงศรีอยุธยา ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลังจากที่เสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1 ให้กับพระเจ้าหงสาวดี ซึ่งในขณะนั้นคือพระเจ้าบุเรงนอง เมื่อปี พ.ศ. 2112
ศาสนา เป็นลัทธิความเชื่อของมนุษย์ เกี่ยวกับการก าเนิดและสิ้นสุดของโลก หลักศีลธรรมตลอดจนลัทธิพิธีที่กระท าตามความเชื่อนั้น ๆ หลายศาสนามีการบรรยาย สัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเจตนาอธิบายความหมายของชีวิตและหรืออธิบาย ก าเนิดชีวิตหรือเอกภพ จากความเชื่อของศาสนาเกี่ยวกับจักรวาลและธรรมชาติมนุษย์ โดยศาสนาถือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี และขัดเกลาจิตใจมนุษย์จาก ที่กระด้างให้บริสุทธิ์ โดยก่อนที่จะมีศาสนาก าเนิดขึ้นมามนุษย์ยุคแรก ๆ นั้นมีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว เนื่องจากไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ต่อมาเมื่อมีศาสนาก าเนิดขึ้นมาท าให้จิตใจ มนุษย์อ่อนโยนลง มนุษย์มีความเห็นใจต่อกันและกัน มีน้ าใจโอบอ้อมอารีต่อกัน และจะเห็นได้ว่า แต่ละประเทศนั้นจะยึดค าสั่งสอนของศาสนาเป็นหลักในการปกครองประเทศ และมีการ ก าหนดศาสนาเป็นศาสนาประจ าชาติด้วย นอกจากศาสนาจะมีอิทธิพลต่อการปกครองของ ประเทศแล้วยังมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของแต่ละประเทศด้วย เช่น ประเทศไทยที่มีการหล่อ พระพุทธรูปเป็นงานศิลปะ วัฒนธรรมการไหว้ การเผาศพ วัฒนธรรมเหล่านี้ก็น ามาจากศาสนา เหมือนกัน ดังนั้น ศาสนาจึงเป็นสถาบันที่ส าคัญต่อประเทศเป็นอย่างมาก
ประเทศไทย เป็นประเทศเสรี รัฐมอบสิทธิและเสรีภาพให้กับประชาชนในการ นับถือศาสนา จึงท าให้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา การส ารวจสภาวะทาง สังคมและวัฒนธรรม เน้นในด้านการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาของประชากร 3 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ (ไม่รวมผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ๆ และผู้ไม่มีศาสนา) จากผลการส ารวจของส านักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2554 พบว่าประชากรอายุ 13 ปีขึ้นไปเกินกว่า ร้อยละ 90 เป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ (ร้อยละ 94.6) รองลงมา นับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 4.6)
และนับถือศาสนาคริสต์ (ร้อยละ 0.7) ที่เหลือคือผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ๆ รวมทั้ง ผู้ไม่มีศาสนา (ร้อยละ 0.1)
หน้าที่ของสถาบันศาสนา
1) สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่สังคม
2) สร้างเสริมและถ่ายทอดวัฒนธรรมแก่สังคม
3) ควบคุมสมาชิกให้ปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม
4) สนองความต้องการทางจิตใจแก่สมาชิกเมื่อสมาชิกเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ แบบแผนพฤติกรรมในการประพฤติปฏิบัติตนของสมาชิก
โดยทั่วไปแบบแผน พฤติกรรมในการปฏิบัติของสมาชิกในสังคม ย่อมเป็นไปตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ และเป็นไปตามประเพณีทางศาสนานั้น ๆ กิจกรรมของประเพณีทางศาสนามีความส าคัญ ในการสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสมาชิกในสังคม
สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นหนึ่งสถาบันหลักของชนชาติไทยมายาวนานตั้งแต่ อดีตกาลจวบจนปัจจุบัน คนไทย รัก เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และถือเป็น ศูนย์รวมจิตใจของคนไทย ทั้งนี้ไม่เพียงมาจากความเชื่อของคนไทยที่ยึดถือในเรื่องของกษัตริย์ คือ “ผู้มีบุญ” เป็น “สมมติเทพ” เท่านั้น แต่เพราะพระราชจริยวัตร พระราชกรณียกิจ วีรกรรม มากมาย รวมถึงความเสียสละของบูรพมหากษัตริย์ไทยทุก ๆ พระองค์ที่ทรงปฏิบัติ ให้ราษฎรและไพร่ฟ้าประชาราษฎร์เห็น ตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน รวมไปถึงรากฐาน ความเชื่อและวัฒนธรรม ทางด้านศาสนาพุทธ ในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ ความกตัญญูรู้คุณ จึงท าให้คนไทยส านึกถึงความส าคัญ และส านึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ มิเสื่อมคลาย
บทบาทและความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์
แม้ว่าบทบาทของพระมหากษัตริย์จะเปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัย เช่น ในอดีต พระมหากษัตริย์ต้องเป็นเสมือนจอมทัพ ที่ต้องน าทัพออกบัญชาท าศึกสงคราม ดูแลปกครอง ไพร่ฟ้าประชาชน รวมถึงบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจการค้าด้วยพระองค์เอง บางพระองค์ มีวีรกรรมเป็นที่ประจักษ์ในการกอบกู้เอกราชของชาติด้วยความกล้าหาญและเสียสละ อาทิ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งบทบาทเหล่านี้ อาจแตกต่างไป จากปัจจุบัน เนื่องจากปัจจุบันพระมหากษัตริย์ต่างใช้พระราชอ านาจผ่านกองทัพ ผ่านรัฐสภา หรือผ่านคณะรัฐมนตรี แต่สิ่งที่ทุกรัชสมัยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือ พระมหากษัตริย์ ทุกพระองค์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เป็นเสมือนประมุขของประเทศ เป็นผู้ที่คอยบ าบัดทุกข์ บ ารุงสุขของประชาชน ได้ทรงท านุบ ารุงบ้านเมืองให้มีความเจริญมั่นคงก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาราษฎร์ แก้ไขปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และที่ ส าคัญ พระมหากษัตริย์ เป็นเสมือนมิ่งขวัญและศูนย์รวมทางด้านจิตใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ แต่ทั้งนี้ อาจสามารถสรุปได้ว่า บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยตั้งแต่ในอดีตจนถึง ปัจจุบัน เปรียบเสมือนจอมทัพของประเทศ เป็นนักบริหารและปกครองประเทศ เป็นนักการทูต เป็นศาลยุติธรรม เป็นนักการค้าพาณิชย์ ส่งเสริมการค้าและเศรษฐกิจ รวมไปถึงเป็นผู้ทำนุบำรุง ส่งเสริม ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม เป็นองค์อุปถัมภ์ศาสนา และเป็นนักประวัติศาสตร์และ วรรณกรรม เป็นต้น ซึ่งบทบาทเหล่านี้ล้วนเป็นบทบาทและความส าคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทย
จากอดีตยุคก่อนการสถาปนากรุงสุโขทัย เป็นราชธานีของไทย ราวปี พ.ศ. 1800 มาสู่ยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ รวมระยะเวลาเจ็ดร้อยกว่าปีที่ สถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงมีความส าคัญและอยู่คู่กับผืนแผ่นดินไทยตลอด ชนชาติไทย ตระหนักถึงบุญคุณและพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่เริ่มมีการรวมชาติ รวมแผ่นดิน ก่อร่างสร้างเมืองตั้งแต่อดีต จนมาเป็นปึกแผ่นได้อย่างทุกวันนี้ ก็เพราะสถาบัน พระมหากษัตริย์ แม้ว่ารูปแบบการปกครองหรือสถานะ และบทบาทของพระมหากษัตริย์ จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่พระราชกรณียกิจ วีรกรรมและพระปรีชาสามารถของ พระมหากษัตริย์ในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็ล้วนแต่เป็นประโยชน์เพื่อแผ่นดินและเพื่อประชาชน ทั้งสิ้น
พระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาส่วนใหญ่จะมีพระปรีชา สามารถทางด้านการศึกและการรบ ซึ่งยังมีเหตุการณ์ วีรกรรม ความกล้าหาญ ความเสียสละ และพระปรีชาสามารถด้านอื่น ๆ ของเหล่าบูรพมหากษัตริย์ไทยพระองค์อื่น ๆ และวีรชน บรรพบุรุษไทยที่ไม่ได้เป็นกษัตริย์อีกหลายท่านในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มอบไว้ให้กับแผ่นดิน และชนชาติไทยที่ยังไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งพระปรีชาสามารถและวีรกรรมเหล่านี้มีอีกมากมาย มหาศาลที่ลูกหลานไทยควรได้ศึกษาและเรียนรู้ อาทิ พระปรีชาสามารถและวีรกรรมของสมเด็จ พระสุริโยทัย และชาวบ้านบางระจัน ซึ่งจะได้ยกเหตุการณ์ต่าง ๆ มาให้ศึกษาในตอนต่อไป
นับเป็นความโชคดีของประเทศไทย และประชาชนคนไทย ที่เรามีสถาบัน พระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็งมาแต่ครั้งในอดีต เรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรงท าทุกอย่าง เพื่อประเทศชาติและประชาชน หลายพระองค์ได้สละชีพเพื่อปกป้องชาติและผืนแผ่นดินไทยไว้ หลายพระองค์สละแม้แต่ความสุขส่วนพระองค์เพื่อความสุขของประชาราษฎร์หลายพระองค์ ต่างทรงปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม หลายพระองค์ทรงมองการณ์ไกล น าพาประเทศชาติ ให้รอดพันจากภัยสงคราม พัฒนาและน าประชาชนไปสู่ความเจริญที่ดี หลายพระองค์มีพระจริยวัตร ที่งดงาม ทรงเป็นแบบอย่างให้พสกนิกรในการด ารงชีวิต ตลอดระยะเวลากว่า 700 ปีที่ผ่านมา ปวงชนชาวไทยมีพระมหากษัตริย์ รวมแล้วเกือบร้อยพระองค์ และด้วยพระบารมีปกเกล้า ปกกระหม่อมของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ได้ท าให้ประชาชนคนไทยอยู่เย็นเป็นสุขใต้ร่ม พระบารมี พระองค์ได้ช่วยระงับเหตุวิกฤติของบ้านเมืองทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ท าให้ประเทศชาติเราสามารถรอดพ้นจากวิกฤติและสถานการณ์เลวร้าย มาได้ด้วยดี สถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นเหมือนเสาหลักของแผ่นดิน เป็นเสมือนศูนย์รวม จิตใจของคนไทยทั้งชาติ และด้วยเหตุนี้ ประชาชนคนไทยตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน จึงมีความ ผูกพันอย่างลึกซึ้งกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแนบแน่น ทุกคนต่างรัก เทิดทูนองค์ พระมหากษัตริย์ไว้เหนือสิ่งอื่นใด และการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็น 3 สถาบันหลัก ของชาติไทย เป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่แสดงออกถึงการเป็นพลเมืองดีของชาติ ธ ารงไว้ซึ่ง ความเป็นชาติ ศรัทธา ยึดมั่นในศาสนา และเคารพเทิดทูนสถาบัน พระมหากษัตริย์ผู้ที่มีความรัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะเป็นผู้ที่แสดงออกถึงการเป็นพลเมืองดีของชาติ มีความสามัคคี ปรองดอง ภูมิใจ เชิดชูความเป็นไทย ปฏิบัติตนตามหลักศาสนาที่ตนนับถือ และแสดงความจงรักภักดีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง