สงครามช้างเผือก เป็นสงครามก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง สงคราม มีสาเหตุมาจาก ในปีพ.ศ. 2106 พระเจ้าบุเรงนอง ทรงส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายสมเด็จ พระมหาจักรพรรดิเพื่อทูลขอช้างเผือก 2 เชือก เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาในขณะนั้นมีช้างเผือกอยู่ ทั้งหมด 7 เชือก ฝ่ายขุนนางจึงมีความเห็นเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการให้ส่งช้างเผือกไปถวาย แก่พระเจ้าบุเรงนองเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม ส่วนอีกฝ่ายอันได้แก่ พระราเมศวร พระยาจักรี พระสุนทรสงครามไม่เห็นด้วยกับการส่งช้างเผือกไป เนื่องจากจะเป็นการอ่อนข้อให้หงสาวดี ในที่สุดสมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ทรงมีพระบรมราชโองการไม่ประทานช้างเผือก แล้วมี พระราชสาสน์ตอบกลับไปดังนี้
“ช้างเผือกย่อมเกิดส าหรับบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นเจ้าของ เมื่อ พระเจ้าหงสาวดีได้บำเพ็ญธรรมให้ไพบูรณ์คงจะได้ช้างเผือกมาสู่บารมีเป็นมั่นคงอย่าได้ทรงวิตกเลย”
พร้อมรับสั่งให้เตรียมไพร่พลพร้อมรับศึกอย่างเข้มแข็ง ทางฝ่ายพระเจ้าบุเรงนอง ได้ยกทัพรวมพลที่เมืองเมาะตะมะ จัดทัพใหญ่ออกเป็น 5 ทัพ มีเจ้าเมืองเชียงใหม่ควบคุมกองเรือเสบียง ล่องลงมาถึงเมืองตาก รวมไพล่พลเป็นจ านวนประมาณ 500,000 คน ส่วนทางอยุธยาได้ เตรียมพลพร้อมรบและเรือรบจ านวนมาก เพื่อป้องกันการโจมตีจากทัพหลวงของหงสาวดี ทางด่านเจดีย์สามองค์แต่เหตุการณ์ไม่เป็นดังที่คาดไว้ กองทัพพม่ากลับยกทัพมาทางด่านแม่ละเมา และเข้าตีก าแพงเพชรจนชนะ แล้วแยกทัพไปตีสุโขทัย เนื่องด้วยทางสุโขทัยมีก าลังน้อยกว่ามาก แต่ก็สู้รบอย่างเต็มความสามารถ แต่ท้ายที่สุดก็ถูกพม่ายึดเมืองได้ส าเร็จ จากนั้นพม่าจึงล้อม เมืองพิษณุโลก พระมหาธรรมราชาก็ต่อสู้เต็มความสามารถเช่นกัน แต่เกิดไข้ทรพิษขึ้นในเมือง และเสบียงอาหารก็หมดจึงยอมจ านน หลังจากที่พม่าได้หัวเมืองฝ่ายเหนือแล้วจึงบังคับให้ พระมหาธรรมราชาและเจ้าเมืองถือน้ ากระท าสัตย์ให้อยู่ใต้บังคับของพม่า พร้อมทั้งสั่งให้ยกทัพ ตามลงมาเพื่อตีกรุงศรีอยุธยาด้วย
ในเวลาต่อมา กองทัพพม่าก็ยกมาประชิดเขตเมืองใกล้ทุ่งลุมพลีพระมหาจักรพรรดิทรงให้กองทัพบก กองทัพเรือ ระดมยิงใส่พม่าเป็นสามารถ แต่สู้ไม่ได้จึงถอย ทางพม่า จึงยึดได้ป้อมพระยาจักรี(ทุ่งลุมพลี) ป้อมจ าปา ป้อมพระยามหาเสนา (ทุ่งหันตรา) แล้วล้อมกรุงศรี อยุธยาอยู่นาน พระมหาจักรพรรดิทรงเห็นว่าพม่ามีก าลังมาก การที่จะออกไปรบเพื่อเอาชัยคงจะ ยากนัก จึงทรงสั่งให้เรือรบน าปืนใหญ่ล่องไปยิงทหารพม่าเป็นการถ่วงเวลาให้เสบียงอาหารหมด หรือเข้าฤดูน้ าหลากพม่าคงจะถอยไปเอง แต่พม่าได้เตรียมเรือรบและปืนใหญ่มาจ านวนมาก ยิงใส่เรือรบไทยพังเสียหายหมด แล้วตั้งปืนใหญ่ยิงเข้ามาในพระนครทุกวันถูกชาวบ้านล้มตาย บ้านเรือน วัด เสียหายมาก ทางพระเจ้าบุเรงนอง จึงมีพระราชสาส์นมาว่า จะรบต่อไปหรือยอม เป็นไมตรี เนื่องด้วยทางไทยเสียเปรียบมาก พระมหาจักรพรรดิจึงทรงยอมเป็นไมตรี ท าให้ฝ่ายไทย ต้องเสียช้างเผือกจาก 2 เชือกเป็น 4 เชือกและทุกปีต้องส่งช้างให้30 เชือก พร้อมเงิน 300 ชั่ง ับตัวพระยาจักรี ไปเป็นตัวประกัน นอกจากนี้ยังจะขอเก็บภาษีอากรจากเมืองมะริดที่ขึ้นกับไทย อีกด้วย ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรทรงพระชมมายุได้9 พรรษาถูกน าเสด็จไปประทับที่กรุงหงสาวดี เพื่อเป็นองค์ประกันด้วย
สงครามช้างเผือกเป็นสงครามที่เกิดขึ้นหลังจากพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ถูกกลุ่ม แม่ทัพมอญลอบปลงพระชนม์เพื่อชิงราชสมบัติบุเรงนองซึ่งปราบกบฏส าเร็จแล้วได้ขึ้นครองราชย์ เป็นพระเจ้าหงสาวดีได้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2106 เนื่องจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไม่ทรงยอมมอบช้างเผือกให้ตามที่ขอมา บุเรงนองยกทัพมาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือผ่าน ด่านแม่ละเมาและตีเมืองพิษณุโลกได้ท าให้พระมหาธรรมราชาต้องถวายสัตย์อยู่ข้างฝ่ายหงสาวดี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงยอมหย่าศึกกับพระเจ้าบุเรงนอง
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ท าให้กรุงศรีอยุธยาต้องมอบช้างเผือกให้แก่พระเจ้าหงสาวดี4 เชือกส่วยช้าง ปีละ 30 เชือกเงิน ปีละ 300 ชั่ง ภาษีอากรที่เมืองมะริดเก็บได้ และยอม ให้น าตัวพระราเมศวร พระยาจักรีและพระสุนทรสงคราม ไปกรุงหงสาวดี บุเรงนองได้แวะ เมืองพิษณุโลกและขอพระนเรศวร ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 9 พรรษา ไปเลี้ยงดูที่กรุงหงสาวดี อีกด้วย
หากมองตามสภาพเหตุการณ์สงครามครั้งนี้ พม่าเป็นผู้มาหยั่งเชิง ลองก าลัง กรุงศรีอยุธยาก่อน จึงใช้ข้ออ้างเรื่องช้างเผือก แต่เมื่อน าก าลังมาล้อมกรุงศรีอยุธยาแล้วก็คงจะ รู้ว่ายากที่จะตีกรุงศรีอยุธยาได้ง่าย ๆ และหากแม้จะพิชิตได้ก็จะเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล ดังนั้น หากจะตีอยุธยาให้ได้ต้องกลับไปเตรียมทัพมาให้ดีกว่าที่เป็นอยู่สิ่งที่ท าได้คือ ไม่หักหาญ กรุงศรีอยุธยาจนเกินไป จึงยกเอาแค่เงื่อนไขในระดับที่กรุงศรีอยุธยายังรับได้ เพื่อที่จะสร้าง ภาพลักษณ์เกียรติยศศักดิ์ศรีให้ทั้งสองฝ่าย ทางด้านหงสาวดีเองก็ได้รับผลประโยชน์ที่ต้องการ หรือแม้กระทั่งกรุงศรีอยุธยาเองจะสามารถรักษาตัวเองเอาไว้ได้แม้จะต้องเสียอะไรไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ตกเป็นประเทศราช และไม่ถึงขั้นแพ้สงคราม