ในยุคที่สถานการณ์โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วการรวมตัวกันของประเทศในกลุ่ม อาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ให้เข้มแข็ง จะทําให้ประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและปัญหาได้ดียิ่งขึ้นอีกทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพราะการที่มีสมาชิกถึง 10 ประเทศ มีท่าทีเป็นหนึ่งเดียวในเวทีระหว่างประเทศจะทําให้ประเทศในกลุ่มความร่วมมืออื่นๆให้ความเชื่อถือในอาเซียนมากขึ้น และทําให้อาเซียนมีอํานาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศมากขึ้นด้วย
ในการประชุมผู้นําอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 9 ในเดือนตลาคม 2546 ที่บาหลีผู้นํา อาเซียนต่างเห็นพ้องกันว่าอาเซียนควรร่วมมือกันให้เหนียวแน่น เข้มแข็ง และมั่นคงยิ่งขึ้น จึงได้ลงนาม ในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน (Declaration of ASEAN Concord II หรือ Bali Concord II) เพื่อกําหนดให้มีการสร้าง ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community)ขึ้นภายในปีพ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) ซึ่งได้มีการเลื่อนกําหนดเวลาสําหรับการรวมตัวให้เร็วขึ้นเป็นปีพ.ศ. 2558 โดยประชาคมอาเชียน ประกอบด้วย 3 เสาหลัก อันได้แก่
1. ประชาคมการเมืองความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community หรือ APSC)
ความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมืองเป็นพื้นฐานสําคัญในการพัฒนาด้านอื่นๆ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนจึงเป็นเสาหลักความร่วมมือหนึ่งในสามเสาหลัก ที่เน้นการ รวมตัวของอาเซียนเพื่สร้างความมั่นรใจ เสถียรภาพ และสนติภาพ ในภูมิภาค เพื่อให้ประชาชนใน อาเซียนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และปราศจากภัยคุกคามด้านการทหาร และภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ เช่น ปัญหายาเสพติด และปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ประชาคมการเมืองความมั่นคงอาเซียน มีเป้าหมาย 3 ประการ ได้แก่
1.1 สร้างประชาคมให้มีค่านิยมร่วมกันในเรื่องของการเคารพความหลากหลายของ แนวคิด และส่งเสริมให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางของนโยบายและกิจกรรมภายใต้เสาการเมืองและความ มั่นคง
1.2 ให้อาเซียนสามารถเผชิญกับภัยคุกคามความมั่นคงในร ูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ และส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์
1.3 ให้อาเซียนมีปฎิสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและสร้างสรรค์กับประชาคมโลก โดยอาเซียนมีบทบาทเป็นผู้นําในภูมิภาค และจะช่วยส่งเสริมความมั่นคงของภูมิภาค
นอกจากการมีเสถียรภาพทางการเมืองของภูมิภาคแล้ว ผลลัพธ์ประการสําคัญที่จะเกิดขึ้น จากการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ก็คือ การทที่ประเทศสมาชิกอาเซียนจะมีกลไก และเครื่องมือที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงต่างๆไม่ว่าจะ เป็นปัญหาความขัดแย้งด้านการเมืองระหว่างรัฐสมาชิกกับรัฐสมาชิกด้วยกันเอง ซึ่งจะต้องแก้ไขโดย สันติวิธีหรือปัญหาภัยคุกคามแรูปบบใหม่ๆซึ่งประเทศใดประเทศหนึ่งไม่สามารถแก้ไขได้โดยลําพัง เช่น การก่อการร้าย การลักลอบค้ายาเสพติด ปัญหาโจรสลัด และอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นต้น
2. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community หรือ AEC) ท่ามกลางบริบททางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศที่มีการแข่งขันสูงอันส่งผลให้ประเทศต่างๆ ต้องปรับตวเองเพื่ อให้ได้รับประโยชน์จากระบบเศรษฐกิจโลกรวมถึงการรวมกลุ่มการค้ากันของประเทศต่างๆ อาทิ สหภาพยุโรป และเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ ผู้นําประเทศสมาชิกอาเซียนได้เห็นชอบ ให้จัดตั้ง “ประชาคมเศรษฐกิจของอาเซียน” ภายในปี 2558 มีประสงค์ที่จะ ให้ภูมิภาคเอเชียตะวนออกเฉียงใต้มีความมั่นคง มั่งคั่งและสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่ๆได้โดย
2.1 มุ่งที่ จะจัดตั้งให้อาเซียนเป็นตลาดเดียวและเป็นฐานการผลิตร่วมกัน
2.2 มุ่งให้เกิดการเคลื่นย้ายเงินทุน สินค้า การบริการ การลงทุน แรงงานฝี มือระหว่าง ประเทศสมาชิกโดยเสรี
2.3 ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน (กัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม หรือ CLMV) เพื่อลดช่องว่างของระดับการพัฒนาของประเทศสมาชิกอาเซียน และช่วยให้ประเทศสมาชิกเหล่านี้ เข้าร่วมในกระบวนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนส่งเสริมให้อาเซียนสามารถรวมตัวเขัากับประชาคมโลกได้อย่างไม่อยู่ในภาวะที่เสียเปรียบ และส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียน
2.4 ส่งเสริมความร่วมมือในนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาค การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม กรอบความร่วมมือด้านกฎหมาย การพัฒนาความร่วมมือด้านการเกษตร พลังงาน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนษยุ ์โดยการยกระดบการศึกษาและการพัฒนาฝีมือ
ประชาคมเศรษฐกิจของอาเซียน จะเป็นเครื่องมือสําคัญที่จะช่วยขยายปริมาณการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาค ลดการพึ่งพาตลาดในประเทศที่สามสร้างอํานาจการต่อรองและศักยภาพในการแข่งขันของอาเซีนในเวทีเศรษฐกิจโลก เพิ่มสวัสดิการและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนของประเทศสมาชิกอาเซียน
3. ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community หรือ ASCC) มีเป้าหมายให้อาเซียนเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศนยู กลาง สังคมที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและมีการพัฒนาในทุกด้านเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของ ประชาชน ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมอัตลักษณ์ของอาเซียน โดยมีแผนปฏิบัติการด้านสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ระบุอยู่ในแผนปฏิบัติการเวียงจันทน์ ซึ่งประกอบด้วย ความร่วมมือใน 6 ด้าน ได้แก่
3.1 การพัฒนามนุษย์(Human Development)
3.2 การคุ้มครองและสวัสดิการสังคม (Social Welfare and Protection)
3.3 สิทธิและความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice and Rights)
3.4 ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม(Environmental Sustainability)
3.5 การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน (Building and ASEAN Identity)
3.6 การลดช่องว่างทางการพัฒนา (Narrowing the Development Gap)
กฎบัตรอาเชียน คืออะไร กฎบัตรอาเซียน เปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญของอาเซียน ที่จะทําให้อาเซียนมีสถานะเป็นนิติบุคคล เป็นการวางกรอบทาง กฎหมายและโครงสร้างองค์กรให้กับอาเซียน โดยนอกจากจะประมวลสิ่งที่ถือเป็นค่านิยม หลักการและแนวปฏิบัติในอดีตของอาเซียนมาประกอบกันเป็นข้อปฏิบัติอย่างเป็นทางการของประเทศสมาชิกแล้ว ยังมีการปรับปรุงแก้ไข และสร้างกลไกใหม่ขึ้นพร้อมกําหนดขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบขององค์กรที่สําคัญในอาเซียน ตลอดจนความสมพันธ์ในการดําเนินงานขององค์กรเหล่านี้ให้สอดคล้องกบความเปลี่ยนแปลงในโลก ปัจจุบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียนให้สามารถดําเนินการบรรลตามวัตถุประสงค์ และเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเเคลื่อนการรวมตัวของประชาคมอาเซียน ให้ได้ภายในปีพ.ศ.2558 ตามที่ผู้นําอาเซียนได้ตกลงกันไว ั
ทั้งนี้ ผู้นําอาเซียนได้ลงนามรับรองกฎบตรอาเซียน ในการประชมสุดยอดเซียน ครั้งที่ 13 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550 ณ ประเทศสิงคโปร์ในโอกาสครบรอบ 40 ของการก่อตั้งอาเซียน แสดงให้เห็นว่าอาเซียนกําลังแสดงให้ประชาคมโลกได้เห็นถึงความก้าวหน้าของอาเซียนที่กำลังจะก้าวเดินไปด้วยกันอย่างมั่นใจระหว่างประเทศสมาชิกต่าง ๆ ทั้ง 10 ประเทศ และถือเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ชิ้นสําคัญทที่จะปรับเปลี่ยนอาเซียนให้เป็นองค์กรที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลในฐานะที่เป็นองค์กรระหว่าง รัฐบาล ประเทศสมาชิกได้ให้สัตยาบนกฎบัตตรอาเซียนน ครบทั้ง 10 ประเทศแล้วเมื่อ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2551 กฎบัตรอาเซียน จึงมีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ 15 ธ.ค. 2551 เป็นต้นไป
วัตถุประสงค์ของกฎบัตรอาเซียน คือ ทําให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเคารพกฎกติกาในการทํางานมากขึ้นนอกจากนี้กฎบัตรอาเซียนจะให้สถานะนิติบุคคลแก่อาเซียนเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาล (intergovernmental organization)
โครงสร้างและสาระสำคัญของกฎบัตรอาเซียน กฏบัตรอาเซียน ประกอบด้วยบทบัญญัติ 13 หมวด 55 ข้อ ได้แก่
หมวดที่ 1 ความมุ่งประสงค์และหลักการของอาเซียน
หมวดที่ 2 สภาพบุคคลตามกฏหมายของอาเซียน
หมวดที่ 3 สมาชิกภาพ (รัฐสมาชิก สิทธิและพันธกรณีของรัฐสมาชิก และการรับสมาชิก ใหม่
หมวดที่ 4 โครงสร้างองค์กรของอาเซียน
หมวดที่ 5 องค์กรที่มีความสัมพันธ์กับอาเซียน
หมวดที่ 6 การคุ้มกันและเอกสิทธิ ์
หมวดที่ 7 กระบวนการตัดสินใจ
หมวดที่ 8 การระงับข้อพิพาท
หมวดที่ 9 งบประมาณและการเงิน
หมวดที่ 10 การบริหารและขั้นตอนการดำเนินงาน
หมวดที่ 11 อัตลักษณ์ และสัญลักษณ์ของอาเซียน
หมวดที่ 12 ความสัมพันธ์กับภายนอก
หมวดที่ 13 บทบัญญัติทั่วไปและบทบัญญัติสุดท้าย
กฎบัตรอาเซียนช่วยให้อาเซียนทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเสริมสร้างกลไกการติดตามความตกลงต่างๆให้มีผลเป็นรูปธรรมและผลักดันอาเซียนให้เป็นประชาคมเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
มีข้อกําหนดใหม่ๆ ที่ช่วยปรับปรุงโครงสร้างการทํางานและกลไกต่างๆ ของอาเซียนให้มีประสทธิ ิภาพมากขึ้น และเพิ่มความยืดหยนในการแก้ไขปัญหา เช่น
1. กําหนดให้เพิ่มการประชมสุดยอดอาเซียนจากเดิมปีละ 1 ครั้ง เป็นปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้ผู้นํามีโอกาสหารือกันมากขึ้น พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงเจตจํานงทางการเมืองที่จะผลักดันอาเซียนไปสู่การรวมตัวกันเป็นประชาคมในอนาคต
2. มีการตั้งคณะมนตร ีประจําประชาคมอาเซียนตามเสาหลักทั้ง 3 ด้าน คือ การเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวฒนธรรม
3. กําหนดให้ประเทศสมาชิกแต่งตั้งเอกอัคราชทูตประจำอาเซียนไปประจําที่กรุงจาการ์ตาซึ่งไม่เพียงแต่จะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจแน่วแน่ ของอาเซียนที่จะทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อมุ่งไปสู่การรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียนในอนาคต และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปร่วมประชุม และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานระหว่างประเทศสมาชิก
4. หากประเทศสมาชิกไม่สามารถตกลงกันได้โดยหลักฉันทามติให้ใช้การตัดสินใจรูปแบบอื่นๆได้ตามที่ผู้นํากําหนด
5. เพิ่มความยืดหยุ่นในการตีความหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน โดยมีข้อกําหนดว่าหากเกิดปัญหาที่กระทบต่อผลประโยชน์ส่วนร่วมของอาเซียน หรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ประเทศสมาชิกต้องหารือกันเพื่อแก้ปัญหาและกําหนดให้ประธานอาเซียนเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
กฎบัตรอาเซีนสร้างกลไกตรวจสอบและติดตามการดําเนินการตามความตกลงต่างๆ ของ ประเทศสมาชิกในหลากหลายรูปแบบ เช่น
1. ให้อํานาจเลขาธิการอาเซียนดูแลการปฏิบัติตามพันธกรณีและคําตัดสินขององค์กรระงับข้อพิพาท
2. หากการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงต่างๆทําให้เกิดข้อพิพาทระหว่างรัฐสมาชิกสามารถใช้กลไกและขั้นตอนระงับข้อพิพาททั้งที่มีอยู่แล้และที่ตั้งขึ้นใหม่เพื่อแก้ไขข้อพิพาทที่เกิดขึ้นโดยสันติวิธี
3. หากมีการละเมิดพันธกรณีในกฎบัตรฯ อย่างร้ายแรง ผู้นําอาเซียนสามารถกําหนดมาตรการใดๆ ที่เหมาะสมว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อรัฐผู้ละเมิดพันธกรณี
ข้อบทต่างๆในกฎบัตรอาเซียนแสดงให้เห็นว่าอาเซียนกําลังผลักดันองค์กรให้เป็นประชาคมเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง จึงกําหนดให้การลดความยากจนและลดช่องว่างการพัฒนาเป็นเป้าหมายหนึ่งของอาเซียนกฎบัตรอาเซียนเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและภาคประชาสงคมเข้ามามีส่วนร่วมในอาเซียนผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับองค์กรต่างๆของอาเซียนมากขึ้น ทั้งยังกําหนดให้มีความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสมัชชารัฐสภาอาเซียน ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐสภาของประเทศสมาชิก กําหนดให้มีการจัดตั้งกลไกสิทธิมนษุยชนของอาเซียนเพื่อสงเสร ่ ิมและคุ้มครองสิทธิมนษยชนและสทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
กฎบัตรอาเซียน ให้ความสําคัญกับการปฏิบัติตามพันธกรณีต่างๆ ของประเทศสมาชิก ซึ่งจะช่วยสร้างเสริมหลักประกันให้กับไทยว่าจะสามารถได้รับผลประโยชน์ตามที่ตกลงกันไว้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากนี้การปรับปรุงการดําเนินงานและโครงสร้างองค์กรของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการเสริมสร้างความร่วมมือในทั้ง 3 เสาหลักของประชาคมอาเซียนจะเป็นฐานสําคัญที่จะ
1. อาเซียนขยายตลาดให้กับสินค้าไทยจากประชาชนไทย 60 ล้านคน เป็นประชาชนอาเซียน กว่า 550 ล้านคน ประกอบกับการขยายความร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เส้นทาง คมนาคม ระบบไฟฟ้ า โครงข่ายอินเตอร์เน็ต ฯลฯ จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทนให ุ ้กับไทย นอกจากนี้อาเซียนยังเป็นทั้งแหล่งเงินทุนและเป้าหมายการลงทุนของไทย และไทยได้เปรียบประเทศสมาชิกอื่นๆที่มีที่ตั้งอยู่ใจกลางอาเซียน สามารถเป็นศูนย์กลางทางการคมนาคมและขนส่งของ ประชาคม ซึ่งมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการและบุคคลระหว่างประเทศสมาชิกที่ สะดวกขึ้น
2.อาเซียนช่วยส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อเผชิญกับภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง เช่น SARs ไข้หวัดนก การค้ามนุษย์ภัยพิบัติทางธรรมชาติหมอกควัน ยาเสพติด ปัญหาโลกร้อน และปัญหาความยากจน เป็นต้น
3.อาเซียนจะช่วยเพิ่มอํานาจต่อรองของไทยในเวทีโลก และเป็นเวทีที่ไทยสามารถใช้ในการ ผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาของเพื่อนบ้านที่ กระทบมาถึงไทยด้วย เช่น ปัญหาพม่า ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์พหุภาคีในกรอบอาเซียนจะเกื้อหนุนความสัมพันธ์ของไทยในกรอบทวิภาคีเช่น ความร่วมมือกับมาเลเซียในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ด้วย