การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นเป้าหมายที่ท้าทายสําหรับไทย ซึ่งไทยจําเป็นต้องเร่งดําเนินการและเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆทั้งนี้ การดําเนินงานเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ที่ผ่านมาถือว่าประสบผลสําเร็จพอสมควรเห็นได้จากปริมาณการค้าภายในอาเซียนที่ขยายตัวมากขึ้นอย่างไรก็ดีในด้านการลงทุนยังไม่บรรลุผลเนื่องจากปริมาณการลงทุนทั้งจากภายในและภายนอกอาเซียนยังอยู่ในระดับต่ำมาก
นอกจากนี้ประเทศจีนและอินเดียเริ่มมีบทบาทมากขึ้นนในภูมิภาค และเป็นแหล่งดึงดูดในด้านเศรษฐกิจสําคัญ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอาเซียนแต่ละประเทศที่มีเศรษฐกิจเล็กมากจึงมีความจําเป็นที่อาเซียนจะต้องเร่งดําเนินการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจภายในเพื่อไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในลักษณะเดียวกับ EU โดยจะต้องจัดทำแผนงานและดําเนินการตามอย่างเคร่งครัด และจําเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ต่างๆร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก
ทั้งนี้อาเซียนได้ตกลงที่จะเปิดเสรีด้านการค้าสินค้าและบริการให้เร็วขึ้นกว่ากําหนดการเดิมในสาขาสินค้าและบริการสําคัญ 11 สาขา ซึ่งต่อมาได้เพิ่มสาขาที่ 12 คือสาขาโลจิสติกส์เพื่อเป็นการนําร่องและส่งเสริมการผลิตสินค้าโดยใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนที่ผลิตภายในอาเซียน ซึ่งเป็นไปตาม แผนการดําเนินการเพื่อมุ่งไปสู่การเป็น AEC และได้มอบหมายให้ประเทศต่างๆทําหน้าที่รับผิดชอบเป็นผู้ประสานงานหลัก (Country Coordinators) ในแต่ละสาขา ดังนี้
- พม่า สาขาผลิตภัณฑ์เกษตรและสาขาประมง
- มาเลเซีย สาขาผลิต ภัณฑ์ยางและสาขาสิ่งทอ
- อินโดนีเซีย สาขายานยนต์และสาขาผลิตภัณฑ์ไม้
- ฟิลิปปินส์ สาขาอิเล็กทรอนิกส์
- สิงคโปร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ และสาขาสุขภาพ
- ไทย สาขาการท่องเที่ยวและสาขาการบิน
- เวียดนาม สาขาโลจิสติกส์
การที่ไทยได้ รับเป็นประเทศผู้ประสานงานหลักในสาขาการท่องเที่ยวและการบินนั้นสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวและการบินในภูมิภาคนี้
นอกจากนี้ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ได้เห็นชอบและมอบหมายให้ที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวโสุ (SEOM) จัดทําพิมพ์เขียว AEC Blueprint เพื่อเป็นแผนงานภาพรวมที่จะระบุกิจกรรมด้านเศรษฐกิจครอบคลุมทั้งสินค้า/บริการ การลงทุน แรงงาน และเงินลงทุนที่จะเปิดเสรีมากขึ้นในอนาคต เพื่อจะกําหนดทิศทางแผนงานในด้านเศรษฐกิจที่ต้องดําเนินงานให้ชัดเจนตามกรอบระยะเวลาที่กําหนดจนกวาจะบรรลุเป้าหมาย
1. การเร่งลดภาษีสินค้าใน 9 สาขา (ผลิตภัณฑ์เกษตร/ ประมง/ ผลิตภัณฑ์ไม้/ ผลิตภัณฑ์ยาง/ สิ่งทอ/ยานยนต์/ อิเล็กทรอนิกส์/ เทคโนโลยีสารสนเทศ/ สาขาสุขภาพ ) ให้เร็วขึ้นจากกรอบอาฟตา 3 ปี โดย ประเทศสมาชิกเก่าจากเดิมปี 2553 เป็นปี 2550 และอาเซียนใหม่ (CLMV) จากปี 2558 เป็น ปี 2555
2. การขจัดมาตรการที่มิใช่ภาษีโดยการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ WTO ในเรื่องอุปสรรคทางเทคนิคมาตรฐานสุขอนามัย และการขออนุญาตนําเข้ารวมทั้งพัฒนาแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในเรื่องดังกล่าวสําหรับประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อนําไปสู่การลด/เลิกมาตรการที่เป็ น อุปสรรคทางการค้า
3. การปรับปรุงกฎว่าด้วยแหล่งกําเนิดสินค้าให้มีความโปร่งใส มีมาตรฐานที่เป็นสากล และอํานวยความสะดวกให้แก่เอกชนมากขึ้น
4. การค้าบริการ ตั้งเป้าหมายการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการอย่างชัดเจนเพื่อให้การค้า บริการของอาเซียนเป็นไปอย่างเสรีมากขึ้น และพัฒนาระบบการยอมรับร่วมกันเพื่ออํานวยความสะดวกในการประกอบวิชาชีพในสาขาบริการ รวมทั้งงส่งเสริมการร่วมลงทุนของอาเซียนไปยังประเทศที่สาม
5. การลงทุน เร่งเปิดเสรีสาขาการลงทุนภายใต้กรอบความตกลงด้านการลงทุนของอาเซียน โดยการลด/ยกเลิกข้อจํากัดด้านการลงทุนต่างๆ ส่งเสริมการร่วมลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และสร้างเครือข่ายด้านการลงทุนของอาเซียนที่มีประสทธิ ิภาพ
6. การอํานวยความสะดวกด้านพิธีการด้านศุลกากรในการค้าระหว่างอาเซียนกับประเทศนอกกลุ่ม และพัฒนาระบบพิธีการศุลกากรเพื่ออํานวยความสะดวกในด้านการค้าให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งพัฒนาเอกสารด้านการค้าและศุลกากรให้มีความเรียบง่ายและสอดคล้องกัน
7. การพัฒนามาตรฐานและความสอดคล้องของผลิตภัณฑ์พัฒนาการยอมรับมาตรฐานซึ่งกันและกัน ในด้านคุณภาพสินค้าการตรวจสอบการออกใบรับรอง และปรับปรุงกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ ข้อกําหนดสําหรับผลิตภัณฑ์สาขาต่างๆให้มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น
8. การเคลื่อนย้ายของนักธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบวิชาชีพ แรงงานมีฝี มือ และผู้มี ความสามารถพิเศษเพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่นักธุรกิจ อาทิ การปรับประสานพิธีการ
นอกจากมาตรการข้างต้นแล้วก็ยังมีเรื่องของการพัฒนาระบบข้อมูล/สถิติการค้าและการลงทุนภายในอาเซียน การส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม (Industrial Complementation) การพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร การส่งเสริมสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและการอํานวยความสะดวกในการเดินทางภายในอาเซียนอีกด้วย