เขตการค้าเสรีอาเซียน ( ASEAN Free Trade Area: AFTA) หรือเรียกว่าอาฟตา เป็นข้อตกลงทางการค้าของอาเซียน (ASEAN) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีวัตถุดิบมีผลผลิตทางการเกษตรอย่างอุดมสมบูรณ์และมีสินค้าอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับที่ผลิตได้ในส่วนต่างๆของโลก ทั้งยังเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพทางการซื้อสูง
ประวัติความเป็นมา
จากการประชุมผู้นําอาเซียน อันประกอบด้วย ไทย บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ได้ตกลงที่จะขายสินค้าระหว่างกันอย่างเสรี (ยกเว้นสินค้าเกษตร) เพื่อส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกโดยตั้งเป้าหมายที่จะลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างกันให้เหลือร้อยละ 0-5 ภายใน พ.ศ.2546 ซึ่งจะเริ่มดําเนินการตั้งแต่วันที่1 มกราคม พ.ศ. 2536 เป็นต้นไป เรียกข้อตกลงทางการค้าของกลุ่มอาเซียนนี้ว่า “เขตการค้าเสรีอาเซียน”
สาเหตุสําคัญของการก่อตั้ง AFTA คือ ประเทศต่างๆเกือบทั่วโลกต่างค้าขายและขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ประกอบกับการที่สหภาพโซเวียตล่มสลายลงทําให้หลายประเทศตางหวาดหวั่นว่าการลงทุนจากต่างประเทศจะหลั่งไหลไปยังยุโรปตะวันออกและสาธารณรัฐที่แยกตัวออกมาจากสหภาพโซเวียตไม่มาลงทุนในประเทศของตนจะทําให้ประสบกบภาวะฝืดดเคืองและเศรษฐกิจถดถอยจึงหาทางที่จะร่วมมือกันทางด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด กลุ่มแรก คือ ประชาคมยุโรปได้ตกลงที่จะรวมตัวกันเป็นตลาดเดียวภายใน พ.ศ.2535 และใช้มาตรการทางการค้าเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของกลุ่ม เช่น การกําหนดอัตราภาษีศุลกากรใหม่ การกําหนดมาตรฐานสินค้านําเข้า การจํากัดโควต้าสินค้านําเข้า เป็นต้น มาตรการเหล่านี้ทําให้กลุ่มอาเซียนเห็นว่าจะเป็นสาเหตุทําให้ สินค้าของตนขายได้น้อยลงจึงร่วมมือกนจัดตั้งเขตการค้าเสรีขึ้นในรูปที่คล้ายคลึงกัน
วัตถุประสงค์ในการก่อตั้ง
1. เพื่อให้การขายสินค้าภายในอาเซียนเป็นไปโดยเสรีมีอัตราภาษีตํ่าและปราศจากข้อจํากัดทางการค้า
2. เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนในอาเซียน
3. เพื่อจะได้มีอํานาจต่อรองและเป็นเวทีแสดงความคิดเห็นหากได้รับความกดดันหรือถูกเอารัดเอาเปรียบทางการค้าจากประเทศอื่นๆ
AFTA ได้ดําเนินการลดภาษีสินค้าระหวางประเทศที่แหล่งกำเนิดในอาเซียน ดังนี้
1. สินค้าลดปกติกําหนดให้ลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างกัน เหลือร้อยละ 0.5 ภายใน 10 ปี คือ ภายในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 ยกเว้นสมาชิกใหม่ของอาเซียน คือเวียดนาม ลาว พม่า และ กัมพูชา ให้เลื่อนเวลาสิ้นสุดดการลดภาษีออกไป
2. สินค้าเร่งลดภาษีประกอบด้วยสินค้า 15 สาขา ได้แก่ ปูนซีเมนต์ ปุ๋ย ผลิตภัณฑ์หนัง เยื่อกระดาษ สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้ า เฟอร์นิเจอร์ไม้ และหวาย น้ำมันพืช เคมีภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์เซรามิก และแก้ว เภสัชภัณฑ์และแคโทดที่ทําจาก ทองแดง กําหนดให้ลดอัตราภาษีศุลกากรเหลือร้อยละ 0-5 ภายใน 7 ปีคือสิ้นสุดวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2543
3. สินค้าที่เริ่มลดภาษีช้ากว่าสินค้าอื่นๆ ได้แก่ สินค้าเกษตรไม่สําเร็จรูป เริ่มลดภาษีภายใน พ.ศ.2544-2546 และลดเหลือร้อยละ 0-5 ภายใน พ.ศ. 2553 ยกเว้นสินค้าบางชนิด เช่น ข้าวและ น้ำตาลไม่ต้องลดเหลือร้อยละ 0-5 แต่ให่ ้ลดตามอัตราที่ตกลงกัน
ประโยชน์ของ AFTA ต่อไทย
1. ประโยชน์ต่อผู้ผลิต
1.1 กระตุ้นให้มีการปรับโครงสร้างการผลิตในประเทศทั้งงสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเพื่มเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งข่ ัน
1.2 ยกระดับความสามารถทางการผลิต
1.3 ผู้ผลิตสามารถนำเข้าวัตถุดิบที่ถูกลงและลดต้นทุนการผลิต
1.4 ผู้ผลิตสินค้าของไทยสามารถที่จะใช้ประโยชน์จาก Supply Chain ในอาเซียน เช่น การใช้วัตถุดิบ หรือสินค้า กึ่งสําเร็จรูปจากประเทศอาเซียนอื่นๆหรืออาจโยกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอาเซียนอื่นๆ หรือเลือกใช้ปัจจัยการผลิตที่มีความได้เปรียบสูงสุดจากประเทศอาเซียนนอื่นๆได้ อย่างเต็มที่ เช่น
- กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม มีจุดเด่นในด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัตถุดิบ และแรงงาน
- สิงคโปร์ มาเลเซีย มีจุดเด่นในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
- อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นฐานการผลิต เป็นต้น
2. ประโยชน์ต่อผู้ส่งออก – ผู้นำเข้า
2.1 ตลาดสินค้ากว้างขึ้นสามารถรักษาตลาดเดิม เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และขยายตลาดใหม่ เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
2.2 เป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาคใกล้เคียง
2.3 ผู้ส่งออกสามารถขยายการค้าและบริการ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันจากภาษีนําเข้าของประเทศคู่เจรจาลดลง
2.4 สร้างพันธมิตรเพิ่มอํานาจการต่อรอง
2.5 ขยายการส่งออกและโอกาสทางการค้า เมื่ออุปสรรคภาษีและมิใช่ภาษีระหว่างอาเซียนถูกยกเลิกไปจะเปิดโอกาสให้สินค้าเคลื่อนย้ายเสรี ไทยจะมีโอกาสที่ขยายการส่งออกไปยังอาเซียนได้มากขึ้น
3. ประโยชน์ต่อผู้บริโภค
3.1 ผู้บริโภคซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง เลือกซื้อสินค้าได้หลากหลายมากขึ้น
3.2 ผู้บริโภคได้รับความคุมครองจากข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกันของอาเซียน
4. ประโยชน์ต่อเกษตรกร
4.1 สามารถสงสินค้าเกษตรออกไปขายได้มากขึ้นเนื่องจากภาษีสินค้าเกษตรเป็น 0
4.2 สามารถขยายตลาดสินค้าเกษตรไปยังประเทศนอกกลุ่มได้ และมีอํานาจในการต่อรองที่สูงขึ้น
การเตรียมการของภาครัฐรองรับการเปิดเสรียกเลิกโควต้า
ภาครัฐได้จัดเตรียมแนวทางการใช้มาตรการอื่นๆ ที่ไม่ขัดต่อพันธกรณีภายใต้ AFTA ควบคู่ไปกับการยกเลิกโควต้าโดยอาศัย ขัอยกเว้น ทั่วไปของความตกลงทที่อนุญาตให้ประเทศสมาชิกสามารถบังคับใช้มาตรการที่จําเป็นเพือปกป้องชีวิตหรือสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ และพืช เช่น
- มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS)
- การกําหนดมาตรฐานสินค้า
- ช่องทางและเวลานําเข้าที่เหมาะสม