วิถีชีวิตด้านครอบครัว
วิถีชีวิตด้านครอบครัวอาข่าเป็นชาวเขาที่มีการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย หาเช้ากินค่ำ เวลาไปทำไร่หลังจากที่พ้นจากประตูหมู่บ้าน ก็จะมีการร้องเพลงไปด้วยผู้ชายจะร้องว่า โอ้เรา เวลาไปไร่ หรือไปทำอะไรก็รู้สึกเหงาเหลือเกิน เราอยากได้คนๆหนึ่ง มาอยู่กับเรา จะได้หายเหงา และเมื่อไปถึงไร่ของตนเองก็จะร้องเพลงโต้ตอบกับฝ่ายผู้หญิง โดยฝ่ายหญิงอาจทำไร่อยู่คนละฝั่งกับฝ่ายชาย เวลาจะกลับก็ล่ำลากันด้วยเสียงเพลง แล้วจะนัดกันตอนกลางคืน ที่ลานวัฒนธรรม ซึ่งเป็นชีวิตที่มีสีสันมากแต่สมัยนี้การใช้ชีวิตแบบนี้เริ่มหาดูได้ยาก เนื่องจากการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขา สิ่งเหล่านี้ก็เลยถูกกลืนไป เหลือเพียงแต่คำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ในชุมชน
โครงสร้างครอบครัวของชนเผ่าอาข่า มีผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัว เพราะเป็นผู้สืบสายวงศ์ตระกูล มีการนับลำดับชื่อบรรพบุรุษ เรียกว่า “จึ” ทำให้การขยายครอบครัวของอาข่าเป็นการขยายออกทางบิดา ฉะนั้นผู้ชายในครอบครัวอาข่า จึงมีความจำเป็นทีต้องเรียนรู้ลำดับชื่อของบรรพบุรุษ ตลอดจนพิธีกรรมประเพณีของครอบครัว เพื่อจะได้สืบสานและถ่ายทอดให้กับน้องหรือลูกหลานต่อไป ความสำคัญในการถือสายโลหิตของชนเผ่าอาข่านั้น เมื่อตายแล้วทุกคนต้องไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งถือเป็นข้อกำหนด ห้ามแต่งงานในตระกูลที่เหมือนกัน (สายโลหิตที่ใกล้กัน) กล่าวคือ สายโลหิตต้องห่างกัน 7 ชั่วโคตร ถึงจะแต่งงานกันได้ แต่ในกรณีที่สามีภรรยาแต่งงานแล้ว ไม่มีบุตรชายในการสืบสายตระกูล ก็มีความจำเป็นที่ต้องแต่งงานใหม่ เพื่อให้กำเนิดบุตรชายในการสืบสายตระกูลต่อไป
วิถีชีวิตด้านสังคมและการปกครอง
ชนเผ่าอาข่าจะให้เกียรติกับผู้อาวุโสกว่า เพราะถือว่ามีอำนาจในการตัดสินใจ การเข้าสังคมต่าง ๆ จะเป็นหน้าที่ของผู้ชาย ส่วนผู้หญิงจะคอยเป็นผู้ช่วยเหลือ สนับสนุน และเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆระบบโครงสร้างทางสังคมของอาข่า มีตำแหน่งการปกครองในด้านต่างๆ ดังนี้
เจ่วมา: เป็นผู้นำศาสนาของชุมชน มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างชุมชน จึงเป็นผู้นำหลักในการ บริหาร ตามโครงสร้างชุมชนอาข่าแบบดั้งเดิม ตำแหน่งเจ่วมา นี้ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือ
การสืบสายโลหิตก็ได้เจ่วหย่า เป็นตำแหน่งที่รองลงมาจาก “เจ่วมา” ซึ่งตำแหน่งนี้ในอดีตเคยดำรง
ตำแหน่งเป็น “เจ่วมา”มาก่อน
จิบ่า/บาจี่ เป็นตำแหน่งที่ใช้เรียกกับช่างตีเหล็กของหมู่บ้าน เนื่องจากตำแหน่งนี้ต้องมีการผลิต หรือซ่อมเครื่องมืออุปกรณ์การเกษตรของชุมชนทุกชนิด
พิมา/เบ้วหม่อ เป็นตำแหน่งของหมอสวดพิธีกรรมทางศาสนา ทำหน้าที่ในการสวดพิธีตามงานต่างๆตำแหน่งนี้เปรียบเสมือนพระในสังคมของคนไทย
หน่าเหง่อ มีหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ และเป็นไกล่เกลี่ยคู่กรณี ซึ่งมีบทบาทสำคัญ
ในชุมชนอาข่า
ยี้ผ่า เป็นตำแหน่งหมอทรง มีหน้าที่ในการรักษาคนไข้ คนไม่สบายในชุมชน โดยใช้ยา
สมุนไพรและการเข้าทรง
ขะมา/หละจ่า เป็นผู้ที่มีความรอบรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องต่าง ๆ ทำหน้าที่ประสานงานกับบุคคลภายนอก ปัจจุบันเปรียบเสมือน ผู้ใหญ่บ้านทางการ อย่างไรก็ตามโครงสร้างการปกครองของอาข่าในประเทศไทย หลายหมู่บ้านยังมีการใช้รูปแบบการปกครองนี้อยู่
วิถีชีวิตด้านเศรษฐกิจ
ชนเผ่าอาข่าเป็นกลุ่มชนที่มีความขยันเป็นอย่างมาก ทำอาชีพทางกสิกรรม เช่น การปลูกพืชไร่ เป็นการทำเพื่อยังชีพ กล่าวคือ เป็นการผลิตเพื่อบริโภคเอง แต่หากปีไหนได้ผลผลิตเยอะ ก็จะนำไปแบ่งขาย ในพื้นที่ไร่จะมีการปลูกพืชนาๆ ชนิด เช่น ข้าว ข้าวโพด ถั่วต่าง ๆ และพืชผักเพื่อการบริโภค เป็นต้น เทคนิคในการปลูก คือ จะผสมเมล็ดพันธ์ต่าง ๆ คลุกเคล้า และปลูกพร้อมข้าวในไร่ของตนผืนเดียว ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ชนเผ่าอาข่ายังนิยมเลี้ยงสัตว์จำพวก หมู เป็ด ไก่ แพะ สุนัข เป็นต้น เพื่อใช้บริโภคและใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา ส่วนสัตว์ที่เลี้ยงไว้ใช้งาน ได้แก่ วัว ควาย ม้า เป็นต้น
วิถีชีวิตด้านการละเล่น การละเล่นของเผ่าอาข่าแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท ดังนี้
๑. การละเล่นในพิธีกรรม
ลูกข่าง (ฉ่อง) เป็นการละเล่นของอาข่าที่เล่นในช่วงที่มีพิธีกรรม หรือประเพณีเท่านั้น มีปีละครั้ง เป็นการละเล่นของผู้ชาย ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยเมื่อถึงวันที่มีพิธีกรรมผู้ชายจะออกจากบ้านตั้งแต่เช้า เพื่อจะไปตัดไม้เนื้อแข็งมาทำเป็นลูกข่าง เมื่อกลับมาถึงบ้านก็จะเริ่มทำลูกข่างโดยเหลาปลายไม้ให้ปลายแหลมๆ บางคนจะใส่เหล็กตรงปลาย เพื่อให้ลูกข่างหมุนได้นาน จากนั้นก็จะมาเล่นแข่งกันโดยแบ่งเป็นสองฝ่ายๆ ละกี่คนก็ได้
โล้ชิงช้า (หล่าเฉ่อบี่เออ) เป็นประเพณีที่จัดขึ้นช่วงประมาณปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายนของทุกปี หลังจากที่ทำการเพาะปลูกข้าว หรือข้าวโพดเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยชิงช้าที่ทำจะมี 3 ลักษณะ คือ ชิงช้าใหญ่ที่ชาวบ้านร่วมกันสร้างขึ้น (หล่าเฉ่อ), ชิงช้าหมุน (ก่าลาหล่าเฉ่อ), และชิงช้าขนาดเล็กที่สร้างไว้หน้าบ้านของแต่ละครอบครัว (เออเลอ) นอกจากให้ความเพลิดเพลินแล้ว ยังเป็นการโล้เพื่อเร่งผลผลิตต่าง ๆ ที่เพาะปลูกให้เจริญงอกงามอีกด้วย
การเต้นรำ (บ่อฉ่องตูเออ) เป็นการละเล่นในช่วงที่มีพิธีกรรม หรือประเพณีเท่านั้น โดยทั้งชายและหญิงจะแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่าที่งดงาม แล้วมารวมตัวกันที่ลานหมู่บ้านหรือที่ที่มีพื้นที่กว้างขวาง โดยจะมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการเต้นรำ ดังนี้ กลองที่ทำมาจากไม้ หนังวัว-กวาง (ถ่อง), ฆ้อง (โบวโล), ฉิ่ง (แจและ), และกระบอกไม้ (บ่อฉ่อง) สำหรับลักษณะการเต้นก็มีหลายแบบด้วยกัน
ดังนี้
- เต้นเป็นวงกลม โดยทุกคนจะเต้นเป็นจังหวะตามเสียงกลอง โดยจะเต้นจากด้านซ้ายไปยังขวาอย่างพร้อมเพรียงกัน
- เต้นแบบราวกระทบไม้ เป็นการเต้นที่เน้นในเนื่องของจังหวะ โดยผู้หญิงจะมีกระบอกไม้ไผ่สำหรับกระทบไม้แล้วให้ เกิดเสียงดัง และผู้ชายก็อาจเต้นเป็นวงกลมล้อมรอบผู้หญิงก็ได้
สะบ้า(อ๊ะเบอฉ่อเออ) เป็นการละเล่นของผู้หญิง นิยมเล่นกันในช่วงที่มีงานประเพณี หรืออยู่กรรม เพราะชาวบ้านจะมีเวลาว่าง โดยจะเก็บผลสะบ้าจากป่ามาแล้วเล่นกันเป็นทีมการละเล่นทั่วไปได้แก่
สามล้อ (ลาหล่อ) เป็นการละเล่นที่เด็กชนเผ่าอาข่านิยมเล่นกันมาก ค่อนข้างอันตราย เพราะถ้าเด็กทำหรือประดิษฐ์สิ่งของไม่แน่น อาจทำให้เกิดอันตรายได้ในการทำจะไปหาตัดท่อนไม้ที่มีขนาดใหญ่พอสมควรมา จากนั้นก็ตัดไม้มามัดหรือตอกให้แน่น โดยข้างหน้าจะมีเพียงล้อเดียว และข้างหลังมี 2 ล้อ ในเรื่องของความเร็ว เด็ก ๆ จะใช้เปลือกไม้ชนิดหนึ่ง นำเปลือกไม้มาแล้วทุบ หรือตำให้ละเอียดแล้วทาบริเวณล้อ เพราะเปลือกไม้ชนิดนี้จะเหนียว และลื่น ซึ่งจะทำให้สามล้อวิ่งได้เร็ว อีกทั้งยังเอาเปลือกไม้เหล่านี้มาดองเก็บไว้ในขวดพลาสติก เพื่อเอาไว้ใช้ในคราวต่อ ๆ ไป อีกทั้งเด็กอาข่าชอบไปกัดเปลือกไม้แล้วเคี้ยว ๆ ให้ละเอียด จากนั้นเอามาแปะที่ล้อ
ไม้โกงกาง (หม่อหน่อ) เป็นของเล่นที่ค่อนข้างหวาดเสียวสำหรับบุคคลที่ยังไม่เคยเล่น เพราะจะต้องจัดทรงให้ได้ก่อน และก็สูงอีกด้วย
ลานวัฒนธรรม /ลานชุมชน (แดข่อง /กาปา) การละเล่นในลานวัฒนธรรมเป็นการละเล่นในเวลาค่ำคืนใต้แสงพระจันทร์ที่สวยงาม โดยหลังจากกลับมาจากการทำไร่ทำสวนทั้งหนุ่มสาวก็จะเตรียมตัวจะมาที่ลานวัฒนธรรม (แดข่อง) โดยแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า เพื่อร้องรำทำเพลง และมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกับผู้อาวุโส
การแข่งขันสูบยา (ห่อฉี่ห่อถ่าเออ) เป็นการละเล่นของผู้อาวุโสในยามว่าง ๆ โดยผู้อาวุโสจะมารวมตัวกันแล้วสูบยาขื่นให้แดงที่สุด จากนั้นก็มีการทายปัญหาเล่น หลังจากทายปัญหาเสร็จแล้ว มาลองสูบดูว่าของใครยังดับ ถ้าดับถือว่าคนนั้นแพ้ แต่ถ้าของใครยังไม่ดับก็จะถือว่าชนะ
ปั้นถ้วย (อู่หม่าแตเออ) เป็นการเล่นของเด็กที่ต้องใช้ในพิธีกรรม คือ จะต้องสวดคาถาเวลาที่คนแก่เสียชีวิตลง ฉะนั้นถือเป็นการละเล่น ที่มีความสำคัญมากของอาข่า โดยเด็กจะขุดดินเหนียวมาแล้วเอาศอกตำลงตรงกลางดินเหนียวให้เป็นรู และลักษณะคล้าย ๆ กับถ้วย แล้วเด็กก็จะใส่น้ำลงไป
ลักษณะบ้านเรือน
ชนเผ่าอาข่า เป็นชนเผ่าที่นิยมอาศัยอยู่บนที่สูง การตั้งชุมชนของอาข่าจะมีการเลือกทำเล พร้อมทั้งมีการเสี่ยงทาย โดยการใช้ไข่ไก่ เรียกว่า “จ้ออูแจเออ” ซึ่งการเสี่ยงทายนี้จะทำโดยการโยนไข่ หากไข่แตก จะไม่สามารถตั้งชุมชนได้ แต่ถ้าไข่ไม่แตกก็ไม่สามารถจะตั้งชุมชนในบริเวณนั้นได้ เนื่องจากอาข่ามีความเชื่อว่าเจ้าที่เจ้าทางไม่อนุญาต นอกจากนี้ชนเผ่าอาข่า ยังมีการนำหลักความเชื่อตามธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง สถานที่ในการตั้งชุมชนต้อง อยู่ห่างจากแม่น้ำ หรือหนองน้ำ หรือพื้นที่ราบ ทั้งนี้เนื่องจากในอดีตการแพร่ระบาดของโรคมาลาเรีย เป็นเหตุสำคัญที่ชุมชนต้องอยู่ห่างจากแม่น้ำ และอีกประการหนึ่งชาวอาข่ากลัวว่า เมื่อฝนตกลงมาอาจทำให้บ้านเรือนถูกน้ำท่วม และทำให้เกิดความเสียหายการตั้งชุมชนของอาข่ามักนิยมตั้งในพื้นที่ลาดเท หรือตามสันเขา ปากทางเข้าหมู่บ้านจะมีการสร้างประตูหมู่บ้านไว้ เรียกว่า “ล้อข่อง” เพื่อไว้ป้องกันสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ไม่ให้ เข้ามาในชุมชน นอกจากนี้ยังมีศาสนาสถานที่สำคัญ เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรม อาทิเช่น ศาลพระภูมิชุมชน บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ลานวัฒนธรรม เป็นต้นลักษณะบ้านของชนเผ่าอาข่า จะยกพื้นสูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตร มีบันได ๓ – ๕ ขั้น บ้านสร้างด้วยไม้ไผ่มีเสาเป็นไม้เนื้อแข็ง ฝาบ้านทำด้วยฟากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคาที่คลุมยาวลงมาจนเกือบถึงพื้นดิน ไม่มีหน้าต่าง มีเตาไฟ ๒ เตา สำหรับปรุงอาหาร และสำหรับต้มน้ำชาไว้เลี้ยงแขก