สภาพทางธรณีวิทยา
เนื่องจากอุทยานแห่งชาติแม่ยม มีภูเขาอยู่ในแนวด้านทิศตะวันออกและตะวันตกของพื้นที่ มีความลาดลงมายังฝั่งแม่น้ำยม จึงมีลักษณะทางธรณีวิทยาแตกต่างกันไปตามส่วนต่าง ๆ ซึ่งอาจแบ่งชนิดของหินและอายุตามลักษณะธรณีวิทยาเป็นพวกใหญ่ ๆ ตามบริเวณต่าง ๆ ของพื้นที่อย่างกว้าง ๆ ดังนี้คือ
๑. บริเวณที่ราบลุ่มและค่อนข้างราบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริเวณสองฝั่งแม่น้ำยมเป็นบริเวณที่เกิดขึ้นจากตะกอนลำน้ำของแม่น้ำยม ป่าแม่เป้าและป่าแม่สอง ในท้องที่ตำบลเตาปูน อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ถือว่าดินที่เกิดขึ้นในบริเวณเหล่านี้ยังมีอายุน้อย เป็นดินใหม่ (ในทางธรณีวิทยาสันนิษฐานว่าเกิดขึ้นใน ยุคควอเตอร์นารี (Qurternary) คือประมาณไม่เกิน ๑ ล้านปีมาแล้ว
๒. บริเวณตอนเหนือของพื้นที่ที่ติดต่อกับจังหวัดน่าน และตอนเหนืออำเภอสอง ติดต่อกับจังหวัดพะเยาบริเวณเหล่านี้จะพบหินชุดต่าง ๆ แล้วยังพบหินอัคนีชุดภูเขาไฟ (Volcanic group) แทรกขึ้นมาในหินชุดดังกล่าวด้วย หินชุดภูเขาไฟนี้ประกอบด้วย ไรโอไรต์ แอนดีไซต์ และเศษหิน ซึ่งสันนิษฐานระยะเวลามีอายุอยู่ในยุค ไทรแอสริก (Triassic) กับเพอร์เมียน (Permian)
๓. บริเวณเทือกเขาด้านทิศตะวันตกของอุทยานแห่งชาติ หรือทางฝั่งขวาของแม่น้ำยม เป็นบริเวณที่ประกอบด้วยหินพวกหินดินดาน ซึ่งเกิดในยุค ไซลูเรียน (Silurian)
๔. บริเวณเทือกเขาด้านตะวันออก ซึ่งเป็นแนวยาวตั้งแต่ด้านตะวันออกขึ้นไปถึงตะวันตก แนวเทือกเขานี้มีลักษณะทางธรณีวิทยาและหินแตกต่างกันคือ
- หินชุดลำปาง ( Lampang Formation) เป็นหินชั้นที่ประกอบด้วยหินดินดานมีสีเทาเข้มและสีเทาเขียว, หินทราย และหินรวดมน ซึ่งสันนิษฐานว่าเกิดในยุคไทรแอสซิก (Triassic) (ประมาณ ๒๓๐ ล้านปีมาแล้ว) สำรวจพบเศษเปลือกหอยซากสิ่งมีชีวิตปะปนอยู่ในเนื้อหินเหล่านี้ หินชุดเหล่านี้พบในบริเวณด้านตะวันตกของพื้นที่อุทยานฯ
- หินชุดราชบุรี (Ratburi Formation) เป็นหินพวกที่มีอายุเก่าแก่กว่าหินชุดลำปาง ประกอบด้วยหินปูน หินดินดานที่มีเนื้อหยาบ พบในบริเวณด้านตะวันตกของพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
ลักษณะดิน
จากรายงานการสำรวจดินของกรมพัฒนาที่ดินพบว่าในอาณาเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ยม ประกอบด้วยดินลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
๑. บริเวณที่ราบน้ำท่วมถึง (Flood plain) เป็นที่ราบขนานกับลำน้ำยม
- บริเวณสันดินริมน้ำ (River Levees) มีลักษณะเป็นสันดินหรือเนิน มักพบเป็นแนวแคบ ๆ ขนานไปกับลำน้ำยม ดินที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้เป็นดินที่เกิดจากตะกอนลำน้ำพัดพามาทับถมกัน มีเนื้อดินค่อนข้างหยาบ จนถึงละเอียดปานกลาง
- บริเวณที่ราบลุ่มหรือที่แอ่ง (River basin) เป็นบริเวณที่ราบลุ่มที่อยู่ต่ำถัดลงมาจาก บริเวณสันริมน้ำ เป็นที่ราบต่ำเป็นแนวแคบ ๆ ใกล้กับแม่น้ำยม เนื้อดินเป็นเนื้อดินละเอียดและส่วนมากจะเป็นดินเหนียว
๒. หน่วยผสมของดินชุดแม่ริม (Mae Rim Complex)
เป็นดินที่เกิดจากตะกอนลำน้ำ กรวดและก้อนหิน ถูกกระแสน้ำพัดมาทับถมกันเป็นเวลานานสภาพพื้นที่เป็นลูกคลื่นลอนลาดและลอนชัน มีความลาดเทประมาณ ๒-๑๖% ดินในหน่วยผสมนี้เป็นดินลึกปานกลางถึงลึกมีการระบายน้ำดี
หน่วยผสมของดินชุดแม่ริมส่วนมากเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ดินบนเนื้อดินเป็นดินทรายปนดินร่วน และก้อนกรวดจนถึงดินร่วนเหนียวปนทราย และก้อนกรวด สีพื้นเป็นสีน้ำตาลซีดจนถึงสีน้ำตาลเข้มหรือสีน้ำตาลปนเทา มีก้อนหินลักษณะกลม หรือค่อนข้างกลมขนาดต่าง ๆ ปะปนกับเนื้อดินในระดับความลึกไม่เกิน ๕๐ เซนติเมตรจากผิวดิน ปฏิกิริยาดินเป็นดินร่วนปนทรายและกรวดจนถึงดินเหนียวปนทรายและกรวด สีน้ำตาลเข้ม หรือสีแดงปนเหลืองหรือสีเหลืองปนแดงจนถึงสีแดง กรวดและก้อนหินมักจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นตามความลึก ปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัดจนถึงด่างปานกลาง มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ ๔.๕-๘.๐
๓. หน่วยสัมพันธ์ของดินชุดห้างฉัตร/หน่วยผสมของดินชุดแม่ริม
เป็นดินที่พบในบริเวณตะพักลำน้ำเก่า เกิดจากการทับถมของ ตะกอนลำน้ำ กรวดและก้อนหินที่ถูกพัดพามาทับถมกัน เป็นเวลานานแล้วสภาพพื้นที่มีลักษณะเป็นลูกคลื่นลอนลาดถึงลูกคลื่นลอนชัน เพราะดินทั้งสองชุดนี้เกิดใกล้เคียงและสลับกัน และแต่ละชุดดินมีเนื้อที่น้อยจนไม่สามารถจะแยกขอบเขตออกจากกันได้จึงได้รวมเอาดินทั้งสองชุดในบริเวณนี้เข้าไว้ในหน่วยแผนที่เดียวกัน
ดินชุดห้างฉัตรและหน่วยผสมของดินชุดแม่ริมมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เป็นดินลึกปานกลางถึงลึกที่มีการระบายน้ำดี มีความสามารถให้น้ำซึมผ่านได้เร็วปานกลาง และมีการไหลบ่าของน้ำบนผิวดินเร็วปานกลางถึงเร็วมากในที่ลาดชันสูง
๔. หน่วยสัมพันธ์ของดินชุดท่ายาง/ชุดลาดหญ้า
หน่วยแผนที่ดินชุดนี้ประกอบด้วยดินชุดท่ายาง และดินชุดลาดหญ้า เกิดจากการสลายตัวอยู่กับที่หรือเคลื่อนที่ลงมาทับถมกันของพวกหินทราย ,หินควอทไวท์ และอาจมีหินดินดาน,หินฟิลไลท์และหินชนวนปะปนอยู่ด้วย ในบริเวณที่ลาดเชิงเขาและพื้นผิวที่เหลือค้างจากการกัดกร่อน สภาพพื้นที่เป็นลูกคลื่นลอนลาด ถึงลูกคลื่นลอนชัน ประมาณ ๒ ถึง ๒๐% ดินทั้งสองชุดนี้เป็นดินลึก ที่มีการระบายน้ำดี มีความสามารถให้น้ำซึมผ่านได้ดีปานกลาง และมีการไหล่บ่าของน้ำบริเวณผิวดินปานกลางถึงเร็ว ปกติแล้วระดับน้ำจะลึกมากกว่า ๑.๕๐ เมตร
๕. หินชุดงาว (Ngao series)
เป็นหินที่เกิดจากหินดินดาน (shale) ผุพังสลายตัวอยู่กับที่ในบริเวณพื้นผิวที่เหลือค้างจากการกัดกร่อน สภาพพื้นที่ที่พบลักษณะเป็นลูกคลื่นลอนลาดถึงลูกคลื่นลอนชันมีความลาดเทประมาณ ๒-๒๐% ดินชุดนี้เป็นดินตื้นมาก มีการระบายน้ำดี คาดว่ามีความสามารถให้น้ำซึมผ่านได้เร็วปานกลางและมีการไหลบ่าของน้ำบนผิดดินเร็ว
ดินชุดงาว เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เนื้อดินเป็นดินร่วนปนกรวดหรือดินร่วนเหนียวปนกรวด (มีกรวด๕๐-๙๐%) สีพื้นเป็นสีเทาเข้มหรือสีน้ำตาลหรือสีแดงปนเหลืองหรือทั้งสามสีปะปนกัน มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ ๕.๑-๖.๕ ส่วนในชั้นล่างที่ลึกจากผิวดินไปประมาณ ๑๐-๑๕ เซนติเมตร จะพบชั้นของหินดินดานที่ยังไม่สลายตัว
๖. หน่วยหินของดินชุดหมวกเหล็ก/ชุดลี้
ประกอบด้วยดินชุดหมวกเหล็กและชุดลี้ซึ่งเกิดจากหินดินดาน (shale) และหินฟิลไลท์ (Phullite) ผุพังสลายตัวอยู่กับที่ หรือพังทลายลงมาทับถมกันโดยแรงดึงดูดของโลกหรือทั้งสองอย่างประกอบกันซึ่งเกิดในบริเวณที่ลาดเชิงเขา หรือบริเวณพื้นผิวที่เหลือค้างจากการกัดกร่อน สภาพพื้นที่มีลักษณะเป็นลูกคลื่นลอนลาดถึงลูกคลื่นลอนชัน มีความลาดชันประมาณ ๒-๑๖% ดินทั้งสองชุดนี้เป็นดินตื้นที่มีการระบายน้ำดีการไหลซึมผ่านของน้ำดี ปานกลาง เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงสูง
๗. หน่วยหินของดินชุดหมวกเหล็ก/ชุดลี้/ชุดงาว
ประกอบขึ้นด้วยดินชุดหมวกเหล็กและชุดลี้ซึ่งเป็นดินตื้น และชุดดินงาวซึ่งเป็นดินตื้นมาก ชุดดินเหล่านี้เกิดขึ้นจากการสลายตัว หรือเคลื่อนที่ลงมาทับถมของดินดาน,หินฟิลไลท์หรือหินชนวน ในบริเวณพื้นผิวที่เหลือค้าง จากการกัดกร่อนและที่ลาดเชิงเขา ซึ่งสภาพพื้นที่มีลักษณะเป็นลูกคลื่นลอนลาดถึงลูกคลื่นลอนชัน
ดินชุดหมวกเหล็กและชุดลี้เป็นดินตื้น การระบายน้ำดี ภายในความลึกไม่เกิน ๕๐ เซนติเมตร จากผิวดินจะพบชั้นของหินดินดาน หินฟิลไลท์หรือหินชนวน ซึ่งเป็นวัตถุต้นกำเนิดดินที่กำลังสลายตัวหรือไม่สลายตัว ส่วนดินชุดงาวเป็นดินตื้นมาก ลึกเพียง ๑๐-๑๕ เซนติเมตร ก็พบชั้นของวัตถุต้นกำเนิดดิน
๘. หน่วยสัมพันธ์ของดินชุดท่ายาง/ชุดลาดหญ้า/ชุดหมวกเหล็ก
เป็นหน่วยดินร่วมระหว่างดินลึกกับดินตื้นซึ่งมีกรวดปะปนอยู่ในเนื้อดินเช่นเดียวกันเกิดติดต่อกันและปะปนกัน ในบริเวณที่ลาดเชิงเขาหรือบริเวณที่เหลือค้างจากการกัดกร่อน ซึ่งมีสภาพพื้นที่เป็นลูกคลื่นลอนลาด ถึงลูกคลื่นลอนชันเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี มีการพังทลายของหน้าดินค่อนข้างสูงและปกติจะมีระดับน้ำใต้ดินลึกมากกว่า ๒ เมตร
ดินชุดท่ายางและดินชุดลาดหญ้าเป็นดินลึกที่เกิดจากดการสลายตัว หรือเคลื่อนที่ลงมาทับถมกันของหินทราย,หินควอทไซท์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนดินชุดหมวกเหล็กนั้นเป็นดินตื้นที่เกิดจากการสลายตัวหรือเคลื่อนที่ลงมาทับถมกันของหินดินดาน,หิลฟิลไลท์และหินชนวน
๙. ดินชุดวังสะพุง (Wang Saphumg Series)
ดินชุดนี้เกิดจากการสลายตัวของหินดินดานที่มีเนื้อค่อนข้างหยาบ (sandy shale) และหินฟิลไลท์ ในบริเวณพื้นผิวที่เหลือค้างจากการกัดกร่อนซึ่งสภาพพื้นที่มีลักษณะเป็นลูกคลื่นลอนลาด และลูกคลื่นลอนชันมีความลาดชันประมาณ ๒-๘ % เป็นดินลึกปานกลางที่มีการระบายน้ำดี
ดินชุดวังสะพุง ส่วนใหญ่เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ดินบนเป็นดินร่วนหรือดินร่วนเหนียว สีน้ำตาลเข้มหรือสีเขียวของสีน้ำตาลปนเทา โครงสร้างของดินไม่ดี ปฏิกิริยาดินเป็นกรดเล็กน้อย มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ ๖.๕
ส่วนดินล่างเป็นดินร่วนเหนียวหรือดินเหนียวปนกรวด สีน้ำตาลปนแดง หรือแดงปนเหลือง มักพบจุดประสีในส่วนลึกของชั้นล่างที่เกิดจากการสลายตัวของหินดินดานวัตถุต้นกำเนิด กรวดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหินดินดาน มีปริมาณมากขึ้นและขนาดใหญ่ขึ้นตามความลึกจนถึงชั้นของหินวัตถุต้นกำเนิดในความลึกระหว่าง ๗๕ เซนติเมตร ถึง ๑๒๐ เซนติเมตร จากผิวดินปฏิกิริยาดินล่างเป็นกรวดเล็กน้อยถึงกรดจัด มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ ๔.๕-๖.๕
๑๐. บริเวณที่มีก้อนหินอยู่ตามผิวดิน (Stony Land)
หน่วยแผนที่ดินนี้รวมเอาดินที่มีก้อนหินต่าง ๆ (มีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ ๒๕ ซม. ขึ้นไป) กระจัดกระจายอยู่บริเวณผิวหน้าดินและมีปริมาณปานกลางถึงมาก (ปริมาณตั้งแต่ ๑๕% ถึง ๙๐% ของพื้นที่) หินเหล่านี้มีลักษณะกลมค่อนข้างกลมหรือเป็นเหลี่ยมมุมมน ซึ่งเป็นลักษณะที่พัดพามารวมกันโดยกระแสน้ำ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหินทราย และหินควอทซ์ สภาพพื้นที่มีลักษณะเป็นลูกคลื่นลอนลาด จนถึงลูกคลื่นลอนชันในบางแห่ง
หน่วยแผนที่ดินนี้นอกจากจะมีก้อนหินกระจัดกระจายหน้าผิวดิน ในปริมาณมากแล้ว ส่วนใหญ่ยังเป็นดินตื้น ไม่สามารถจะนำมาใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกได้ จึงสมควรรักษาไว้ในสภาพป่าธรรมชาติและต้นน้ำลำธาร
๑๑. หน่วยผสมของดินบริเวณพื้นที่สูงชัน (Slope Complex)
หน่วยแผนที่ดินนี้ได้รวมเอาดินหลาย ๆ ชุดเข้าไว้ด้วยกัน เนื่องจากเกิดอยู่ปะปนกันจนแยกขอบเขตของแต่ละชุดออกจากกันไม่ได้ มีทั้งดินลึก,ดินตื้น และบริเวณที่มีหินโผล่อย่างหนาแน่น รวมทั้งดินที่มีลักษณะไม่แน่นอน และดินที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อที่อยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งดินที่เกิดขึ้นในบริเวณที่มีความสูงชันมาก มีความลาดชันตั้งแต่ ๒๕% ขึ้นไป จนถึงเป็นภูเขาซึ่งประกอบด้วยหินต้นกำเนิดดินชนิดต่าง ๆ
ในบริเวณหน่วยแผนที่ดินนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นป่าชนิดต่าง ๆ ยังไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูก เนื่องจากมีความสูงชันจนเกินไป และเป็นดินตื้น หรือมีหินโผล่บริเวณหน่วยแผนที่ดินนี้สมควรที่จะรักษาไว้เป็นป่าตามธรรมชาติเพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของที่ราบลุ่มข้างล่าง
๑๒. ดินชุดห้างฉัตร (Hand Chat series)
เป็นดินที่เกิดจากการตะกอนลำน้ำ พัดพามาทับถมกันเป็นเวลานาน ในบริเวณตะพักลำน้ำเก่าและบริเวณที่เป็นเนินตะกอนรูปพัด สภาพพื้นที่มีลักษณะเป็นลูกคลื่นลอนลาดจนถึงลูกคลื่นลอนชัน มีความลาดชันประมาณ ๒-๑๖% ดินชุดนี้เป็นดินลึกที่มีการระบายน้ำดี
ดินชุดห้างฉัตร เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ดินบนเป็นดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายหรือดินร่วนเหนียวปนทราย สีน้ำตาลเข้ม หรือสีเข้มของสีน้ำตาลปนเทา โครงสร้างของดินไม่ดี ปฏิกิริยาของดินเป็นดินร่วนเหนียวปนทราย หรือดินร่วนเหนียว และอาจจะพบเป็นดินเหนียวในส่วนลึกของดินชั้นล่าง สีพื้นเป็นสีแดงปนเหลืองจนถึงสีแดง และส่วนมากสีจะแดงมากขึ้นตามความลึก อาจจะพบทรายหยาบ และก้อนกรวดปะปนอยู่ในเนื้อดินในปริมาณเล็กน้อย โครงสร้างของดินดีปานกลาง ปฏิกิริยาของดินเป็นกรดแก่ถึงเป็นกรดจัดมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ ๔.๕ - ๕.๕
แหล่งน้ำ
แม่น้ำสายสำคัญทางภาคเหนือของประเทศไทย ได้แก่ แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน นอกจากจะเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของภาคเหนือแล้ว แม่น้ำสำคัญสี่สายนี้ยังบรรจบกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาที่หล่อเลี้ยงการเกษตรกรภาคกลาง อันเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญที่สุดของประเทศ ได้มีการศึกษาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของการทำลายป่าต่อลักษณะการไหลของกระแสน้ำในแม่น้ำทั้งสี่ คือ ปิง วัง ยม และน่าน โดยเลือกสถานที่ศึกษา ดังนี้
๑. ลุ่มน้ำปิง
กำหนดจุดวัดน้ำที่ออบหลวง ห่างจากอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ๗.๕ กม. ตามถนนสายฮอด-แม่สะเรียง มีพื้นที่ลุ่มน้ำ ๓,๘๕๘ ตารางกิโลเมตร
๒. ลุ่มน้ำวัง
กำหนดจุดวัดน้ำที่สะพานรัชฎาภิเษก อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง พื้นที่ลุ่มน้ำ ๓,๔๙๗ ตารางกิโลเมตร
๓. ลุ่มน้ำยม
กำหนดจุดวัดน้ำที่อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ พื้นที่ลุ่มน้ำ ๗,๕๑๗ ตารางกิโลเมตร
๔. ลุ่มน้ำน่าน
กำหนดจุดวัดน้ำที่หน้าศาลากลาง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน พื้นที่ลุ่มน้ำ ๔,๖๐๙ ตารางกิโลเมตร
แหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัดแพร่
แหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัดแพร่ แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ แหล่งน้ำในอากาศและแหล่งน้ำผิวดินจัดเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญที่สุด เพราะก่อให้เกิดฝนซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแหล่งน้ำต่าง ๆ จากสภาพภูมิอากาศที่ได้กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าจังหวัดแพร่ปริมาณฝนตกเฉลี่ยปีละประมาณ ๑,๒๒๗.๗ มิลลิเมตรเดือนสิงหาคมเป็นเดือนที่ฝนตกมากที่สุด มีปริมาณเฉลี่ยเดือนละ ๒๗๘.๗ มิลลิเมตร และเดือนธันวาคม จะมีฝนตกน้อยที่สุด มีประมาณเฉลี่ยเดือนละ ๔.๑มิลลิเมตร เท่านั้น สำหรับปริมาณน้ำบ่า Runoff เฉลี่ยเป็นรายเดือน จะพบว่าเดือนสิงหาคม เป็นเดือนที่มีปริมาณน้ำไหลบ่าเฉลี่ยมากที่สุด และเดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนที่มีปริมาณน้ำไหลบ่าน้อยที่สุด
แหล่งน้ำในอุทยานแห่งชาติแม่ยม
มีแหล่งน้ำที่สำคัญโดยรอบและในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ยม ดังนี้
๑. แม่น้ำยม เป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของจังหวัดแพร่ ต้นกำเนิดจากเทือกเขาผีปันน้ำในเขตจังหวัดพะเยา ไหลจากทางด้านทิศเหนือ ผ่านอำเภอสอง อำเภอเมืองแพร่ ลงสู่ทางทิศใต้ของจังหวัดแพร่แล้วไหลเข้าสู่จังหวัดสุโขทัย
๒. น้ำแม่ปุง ต้นน้ำเกิดจากห้วยต่าง ๆ ทางเหนือสุดของจังหวัดแพร่ไหลลงสู่แม่น้ำยม บริเวณบ้านแม่เต้นตำบลสะเอียบ อำเภอสอง
๓. น้ำแม่เต้น ต้นกำเนิดจากเทือกเขาต่าง ๆ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอสอง บริเวณดอยยาว ไหลลงสู่แม่น้ำยมบริเวณตำบลสะเอียบ อำเภอสอง
๔. น้ำแม่สอง ต้นน้ำเกิดจากห้วยต่าง ๆ บริเวณบ้านปงค่าและตำบลบ้านกลางผ่านหมู่บ้านปง ,บ้านคุ้ม,บ้านกลาง,บ้านศรีมูลเรือง แล้วไหลลงสู่แม่น้ำยมบริเวณบ้านหัวเมือง อำเภอสอง
๕. แม่น้ำงาว ต้นกำเนิดจากเทือกเขาในเขตอำเภองาว จังหวัดลำปาง ไหลลงสู่แม่น้ำยม บริเวณปากงาว อำเภอสอง
๖. น้ำแม่ใส ต้นกำเนิดจากห้วยต่าง ๆ บริเวณบ้านข่วงชมพู ไหลลงสู่แม่น้ำยมบริเวณตอนกลางของอำเภอสอง
นอกจากแม่น้ำต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วนี้ อุทยานแห่งชาติแม่ยมยังมีห้วยอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะไหลลงสู่แม่น้ำยมเช่นกัน เช่น น้ำแม่สะกึ๋น น้ำแม่ลำ น้ำแม่เป้า ห้วยผาลาด ห้วยแม่ปง ห้วยแม่พุงและห้วยแม่แปง เป็นต้น
พันธุ์พืช
สภาพป่าโดยทั่วไปของอุทยานแห่งชาติแม่ยม ประกอบด้วยชนิดป่าต่าง ๆ คือ
๑. ป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest) พบทั่วไปในเขตอุทยานแห่งชาติ โดยเฉพาะตั้งแต่บริเวณเหนือที่ทำการอุทยานแห่งชาติขึ้นไปทางทิศตะวันตกของลำน้ำยม มีไม้มีค่าหลายชนิดขึ้นอยู่หนาแน่น คุณค่าที่สำคัญอย่างหนึ่งของป่าบริเวณนี้ คือ แหล่งไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ชนิดไม้ที่สำคัญได้แก่ สัก (Tectona grandis) แดง (Xylia xylocarpa) ประดู่ (Pterocarpus macrocarpus) ตะแบก (Largerstroemia calyculata) มะค่าโมง(Afzeliaxylo carpa)
๒. ป่าเต็งรัง (Dry Dipterocarp Forest) พบส่วนใหญ่บริเวณตอนเหนือของพื้นที่บางแห่งก็ขึ้นสลับอยู่กับป่าเบญจพรรณชนิดไม้ที่สำคัญในป่าชนิดนี้ได้แก่ เต็ง (Shorea obtusa) รัง (Shorea Siamensis) พลวง (Dipterocarpus tuberculatus) รัก (Melanorrhoea spp) มะเกิ้ม (Canarium Kerrii) ประดู่ (Pterocarpus macrocarpus) ชิงชันหรือเก็ดแดง (Dalbergia oliveri)
๓. ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) พบตามบริเวณริมห้วยที่สำคัญ ๆ มีน้ำไหลตลอดทั้งปี และทางด้านตัวนออกของพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ชนิดไม้ที่สำคัญที่พบได้แก่ตะเคียนทอง (Hopea odorata) กระบาก (Anisoptera costata) มะหาด (Lepisanthes rubiginosa) หว้า (Eugenia sp.) ก่อ (Quercus spp.)