ทรัพยากรธรรมชาติสัตว์ป่าในอุทยานแห่งชาติแม่ยม
การศึกษาและสำรวจสัตว์ป่าได้ใช้วิธีการสำรวจโดยตรง (direct count) ตามสภาพถิ่นที่อยู่อาศัยลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง พื้นที่กสิกรรม ไร่ร้าง ฯลฯ ทำการจำแนกและบันทึกชนิดสัตว์ป่าที่พบเห็นตัว รวบรวมข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบวิเคราะห์ร่องรอยและหลักฐานที่ปรากฏ เช่น รอยเท้า กองมูล ขน ซาก ลักษณะปลักโคลน รัง รูดิน และโพรงที่สัตว์ใช้ประโยชน์ทำการถ่ายภาพ และเก็บตัวอย่างสัตว์ขนาดเล็กประเภทสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สะเทินน้ำ สะเทินบก เพื่อนำมาใช้ในการจำแนกชนิดพันธุ์ที่ถูกต้อง สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กจำพวกค้างคาวใช้ตาข่ายดักในเวลากลางคืน และสัตว์ฟันแทะ ใช้กรงดักสัตว์ขนาดเล็กพร้อมเหยื่อล่อ เช่น กล้วย ปลาเค็ม มันเทศ ขนุน
ผลการสำรวจ
จากการสำรวจสัตว์ป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ยม จังหวัดแพร่ พบสัตว์ป่าทั้งหมด ๒๑๖ ชนิด ใน ๗๒ วงศ์ จำแนกได้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ๓๙ ชนิด นก ๑๓๕ ชนิด สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ๑๔ ชนิด และสัตว์เลื้อยคลาน ๒๘ ชนิด ในจำนวนสัตว์ป่าที่พบทั้งหมด ๒๑๖ ชนิด พบว่า ๘๘ ชนิด (๔๐.๗๔%) มีระดับความชุกชมมาก ๑๑๙ ชนิด (๕๕.๐๙%) ชุกชมปานกลาง และ ๙ ชนิด (๔.๑๗%) ชุกชมน้อย ๑๖๐ ชนิด (๗๔.๐๗%) เป็นสัตว์ป่าที่ได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕
๒. บทลงโทษของการทำลายสัตว์ป่า
ทั้งสัตว์ป่าสงวนสัตว์ป่าคุ้มครองและซากของสัตว์ป่าสงวนหรือซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง ห้ามมิให้ผู้ใดทำการล่ามีไว้ในครอบครอง ค้าขายและนำเข้าหรือส่งออก หากผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
๓. ปัญหาทรัพยากรสัตว์ป่า
ในปัจจุบันสัตว์ป่ามีจำนวนลดน้อยลงมาก ชนิดที่สมัยก่อนมีอยู่ชุกชุมก็ไม่ค่อยได้พบเห็นอีกบางชนิดก็ถึงกับสูญพันธุ์ไปเลย ปัญหานี้สาเหตุมาจาก
๑. ถูกทำลายโดยการล่าโดยตรงไม่ว่าจะล่าเพื่ออาหารหรือเพื่อการกีฬาหรือเพื่ออาชีพ
๒. การสูญพันธุ์หรือลดน้อยลงไปตามธรรมชาติของสัตว์ป่าเอง ถ้าหากไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนของสภาพแวดล้อมได้ หรือจากสาเหตุภัยธรรมชาติต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม ไฟป่า
๓. การนำสัตว์ป่าต่างถิ่น (Exotic aminal) เข้าไปในระบบนิเวศสัตว์ป่าประจำถิ่น ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศ ความสมดุลของสัตว์ป่าประจำถิ่นจนอาจเกิดการสูญพันธุ์
๔. การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ซึ่งก็ได้แก่การที่ป่าไม้ถูกทำลายด้วยวิธีการ
ต่าง ๆ ไม่ว่าจะโดยถากถางและเผาเพื่อทำการเกษตรกิจกรรมการพัฒนา เช่น การตัดถนนผ่านเขตป่า การสร้างเขื่อน ฯลฯ ทำให้สัตว์ป่าบางส่วนต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นหรือไม่ก็เสียชีวิตขณะที่ถิ่นที่อยู่อาศัยถูกทำลาย
๕. การสูญเสียเนื่องจากสารพิษตกค้าง เมื่อเกษตรกรใช้สารเคมีในการเพาะปลูก เช่น ยาปราบศัตรูพืชจะทำให้เกิดการสะสมพิษในร่างกายทำให้บางชนิดถึงกับสูญพันธุ์ได้
๔. การอนุรักษ์ดูแลรักษาสัตว์ป่า
สัตว์ป่ามีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมถึงคนเราด้วยทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม จึงต้องมีวิธีการป้องกันและแก้ไขไม่ให้สัตว์ป่าลดจำนวนหรือสูญพันธุ์ด้วยการอนุรักษ์สัตว์ป่า ดังนี้
๑. กำหนดกฎหมายและวิธีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ป่าเป็นแหล่งอาหารที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า อาทิ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขตเพาะพันธุ์สัตว์ป่า ฯลฯ ให้มีมากเพียงพอ
๒. การรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้เห็นความสำคัญในการอนุรักษ์สัตว์ป่าอย่างจริงจัง
๓. การไม่ล่าสัตว์ป่า ไม่ควรมีการล่าสัตว์ป่าทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่าสงวนสัตว์ป่าคุ้มครองเพราะปัจจุบันสัตว์ป่าทุกชนิดได้ลดจำนวนลงอย่างมากทำให้ขาดความสมดุลทางธรรมชาติ
๔. การป้องกันไฟป่า ไฟป่านอกจากจะทำให้ป่าไม้ถูกทำลายแล้วยังเป็นการทำลายแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าด้วย
๕. การปลูกฝังการให้ความรัก และเมตตาต่อสัตว์อย่างถูกวิธีสัตว์ป่าทุกชนิดมีความรักชีวิตเหมือนกับมนุษย์ การฆ่าสัตว์ป่า การนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงไว้ในบ้านเป็นการทรมานสัตว์ป่า ซึ่งมักไม่มีชีวิตรอด
๖. การเพาะพันธุ์เพิ่มสัตว์ป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์หรือมีจำนวนน้อยลง ควรมีการเพาะพันธุ์ขยายพันธุ์ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการทดแทนและเร่งให้มีสัตว์ป่าเพิ่มมากขึ้น
๕. ประเภทของสัตว์ป่า
เพื่อเป็นการปกป้องรักษาสัตว์ป่าให้มีชีวิตสืบต่อไปถึงอนุชนรุ่นหลังจึงมีการออกพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ ภูมิพลอดุลเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ เป็นปีที่ ๔๗ ในรัชกาลปัจจุบัน แบ่งสัตว์ป่าออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. สัตว์ป่าสงวน เป็นสัตว์ป่าที่หายากและปัจจุบันมีจำนวนน้อยมากบางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้วมีอยู่ ๑๕ ชนิด คือ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร แรด กระซู่ กูปรีหรือโคไพร ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมันหรือ เนื้อสมัน เลียงผา นกแต้วแล้วท้องดำ นกกระเรียน แมวลายหินอ่อน สมเสร็จ เก้งหม้อและพะยูนหรือหมูน้ำ
๒. สัตว์ป่าคุ้มครอง เป็นสัตว์ทั้งที่ปกติไม่นิยมใช้เป็นอาหารและใช้เป็นอาหารทั้งที่ไม่ใช่ล่าเพื่อการกีฬาและล่าเพื่อการกีฬา ตามที่กฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดไว้ มากกว่า ๒๐๐ ชนิด เช่น ค่าง ชะนี อีเห็น ไก่ฟ้า เหยี่ยว ช้างป่า แร้ง กระทิง กวาง หมีควาย อีเก้ง นกเป็ดน้ำ เป็นต้น
๖. สถานการณ์สัตว์ป่าในปัจจุบัน
ประเทศไทยเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการสำรวจทำให้ทราบว่ามีจำนวนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในประเทศไทย ๒๘๕ ชนิด ในส่วนของสัตว์ปีกมีการสำรวจพบนก ๙๓๘ ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน จำนวน ๓๑๓ ชนิด และจำนวนที่พบมากที่สุดคือ งู ถึงร้อยละ ๕๓.๗ รองลงมาได้แก่ กลุ่มของตุ๊กแก จิ้งแหลนพบร้อยละ ๓๔.๕ ส่วนเต่าพบ ๒๗ ชนิด จากจำนวนที่มีอยู่ในโลก ๒๕๗ ชนิด จำแนกเป็นเต่าบก ๓ ชนิด เต่าปูลู ๑ ชนิด เต่าน้ำจืด ๑๓ ชนิด ตะพาบ ๕ ชนิด เต่าทะเล ๔ ชนิด และเต่ามะเฟือง ๑ ชนิด จำนวนชนิดพันธุ์ที่พบน้อยที่สุด คือ จระเข้พบ ๓ ชนิด
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่พบมากที่สุดในประเทศไทย คือ ค้างคาว คิดเป็นร้อยละ ๔๐ รองลงมาคือสัตว์แทะ(Rodentia) คิดเป็นร้อยละ ๒๕ สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ลดจำนวนลงจนคาดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วน่าจะมีจำนวน ๔ ชนิด และนกอีก ๙ ชนิด คือ นกช้อนหอยใหญ่ นกกระสาปากเหลือง นกกระเรียนและนกพงหญ้า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ได้แก่ สมัน ซึ่งถูกล่าจนสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย เมื่อ ๓๐ ปีมาแล้ว นอกจากจระเข้ปากกระทุงเหว ก็ไม่พบในสภาพธรรมชาติอีกต่อไป ปลาน้ำจืดอีก ๕ ชนิด ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ได้แก่ ปลาหางไหม้ ปลาหวีเกศ ปลาโจกหรือปลาไส้ตันส่วนอีกสองชนิดไม่มีชื่อสามัญคือ Longiculturecaihi และ OxygaSterwilla
Minae ปลาน้ำจืดที่อยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์มรประมาณ ๓๐ ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกจับเพื่อเป็นอาหาร เช่น ปลากระโห้ ปลาตะลุมพุก ปลานวลจันทร์น้ำจืด ปลาเกด ส่วนปลาที่ถูกจับเป็นปลาสวยงาม ได้แก่ ปลาหมูอารีย์ ปลาปักเป้าทอง ปลาเสือตอ ปลาตองลาย ปลาตะพัด เป็นต้น ส่วนพะยูน ฝูงสุดท้ายของประเทศไทย ปัจจุบันพบเฉพาะบริเวณหาดเจ้าไหม และเกาะลิบง จังหวัดตรัง